เลื่อนปลาย57(เกาะติดประมูล4G)กสทช.เก็บคลื่นระวังคุก/CATทำตามกม.ชัดเจน/ICTชี้ระหว่างประมูลกับได้เศษเหล็กใช้งานอะไรคุ้ม

18 มีนาคม 2556 เลื่อนแล้วปลาย57++(เกาะติดประมูล4G)กสทช.เก็บคลื่นระวังติดคุกแนะอย่าเอารัฐบาลติดคุกด้วย//CATย่ำทำตามรัฐธรรมนูญฯ2550และพรบ.กสทช.ชัดเจน//ICTชี้กสทช.ระหว่างประมูลกับได้เศษเหล็กใช้งานอะไรคุ้มกว่ากัน

ประเด็นหลัก



นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกฎหมายในกิจการโทรคมนาคม กล่าวว่า จากกรณีที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคมได้แสดงท่าทีว่าจะยื้อหรือไม่ยอมคืนคลื่น 1800 MHz ที่จะหมดสัญญาสัมปทานในช่วงปลายปีนี้ มาให้ กสทช. ดำเนินการตามบทบัญญัติของกฎหมายนั้น ในเบื้องต้น กสทช.จะขอความร่วมมือดีๆก่อน แต่ถ้าไม่ให้ความร่วมมือก็จำเป็นต้องใช้ทุกมาตรการเพื่อบังคับใช้กฎหมายให้เด็ดขาด
      
       ทั้งมาตรการทางปกครอง มาตรการทางแพ่ง และอาญา ซึ่งกรณีที่มีการฝ่าฝืนใช้คลื่นความถี่โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งๆที่ได้มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าแล้วว่าหมดสิทธิ์ใช้ แต่หากยังมีการดื้อดึงฝ่าฝืนไปใช้คลื่นหรือไปสนับสนุนให้มีการลงทุนหรือหาลูกค้าเพิ่ม ก็เท่ากับว่ามีเจตนาจะกระทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน
      
       ดังนั้นจึงขอเตือนว่าผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าวจะต้องรับความเสี่ยงต่อบทกำหนดโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 10 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถ้ามีการกระทำที่ต่างกรรมต่างวาระก็ต้องเรียงกระทงลงโทษ ส่งผลให้มีโทษมากขึ้น นอกจากนี้ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบอัตราโทษสูงถึงจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
     

       'ส่วนกรณีที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ของกสทหยิบยกประเด็นว่า กสทช.จะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภานั้น ผมขอย้ำว่าที่ผ่านมา กสทช. โดยกทค.ได้ดำเนินงานให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว แต่เท่าที่ทราบมาในขณะนี้ไม่ปรากฎนโยบายรัฐบาลที่ไม่ให้คืนคลื่นเมื่อสิ้นสุดสัมปทาน และไม่ปรากฎว่ามีนโยบายใดที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นฯ ปี 2553 อีกทั้งผมไม่เห็นด้วยต่อความพยายามในการไปขอมติครม. ให้ยื้อเวลาในการคืนคลื่นเพื่อใช้ประโยชน์ในคลื่น 1800 MHz ต่อไป ทั้งๆที่สัมปทานสิ้นสุดแล้ว เพราะเท่ากับเป็นการขอให้รัฐบาลทำผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการถูกเช็คบิลจากภาคการเมืองและภาคประชาชน'


ในขณะที่มีความพยายามยื้อความถี่ 1800 MHz ไว้ แต่ฝ่ายบริหารกสท กลับละเลยที่จะเร่งให้มีการโอนทรัพย์สิน โครงข่ายทั้งของทรูมูฟและดีพีซี ทำให้ในการประชุมบอร์ดกสทเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีมติกระตุ้นฝ่ายบริหารกสท ให้รีบดำเนินการเรื่องโอนทรัพย์สินตามสัญญาสัมปทานบีทีโอ ที่เนิ่นนานกว่า 20 เดือนแล้วยังไม่มีความคืบหน้า โดยน.ท.สมพงษ์ โพธิเกษม กรรมการบอร์ดกสทระบุว่าที่ประชุมบอร์ดกสท.สัปดาห์ที่ผ่านมามีมติรับทราบการรายงานผลการติดตามการโอนทรัพย์สินตามสัญญาสัมปทานโทรศัพท์ มือถือระหว่างกสท กับ บริษัท ทรูมูฟ และบริษัท ดิจิตอลโฟน (ดีพีซี)ในเครือบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) ซึ่งยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
      
       '
       ปัจจุบันทรูมูฟ ได้โอนสถานีฐานให้แล้ว 7,892 สถานีฐาน เสาอากาศ 6,951 เสา ชุมสาย 16 แห่งขณะที่ดีพีซีได้โอนสถานีฐานให้กสท 3,609 สถานีฐาน ชุมสาย 10 แห่ง แต่ทั้งนี้การโอนทรัพย์สินดังกล่าวที่กสทสั่งให้คืนนั้นเป็นเพียงการโอน เพียงเฉพาะอุปกรณ์ แต่ไม่รวมถึงการโอนโครงสร้างเสา สถานีฐาน รวมถึงพื้นที่แต่อย่างใด เนื่องจากโครงข่ายบางส่วนยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ
      
       หากมองภาพรวมพฤติกรรมทั้งหมดของกสท เกี่ยวกับความถี่ 1800 MHz น่าสงสัยเป็นอย่างมากว่าทำเพื่อใครกันแน่ หากวิเคราะห์จาก 1.ต้องการใช้ความถี่ 1800 MHz ต่ออีกยาวนาน แต่เรื่องสำคัญเช่นการโอนทรัพย์สินโครงข่าย ผ่านมากว่า 20 เดือน แต่ฝ่ายบริหารกลับไม่ทำอะไร เดือดร้อนถึงระดับบอร์ดต้องออกเป็นมติเพื่อเร่งให้ทำในสิ่งที่ควรจะต้องทำก่อนหน้านี้ ซึ่งสงสัยได้ว่า หากดำเนินการอะไรให้เอกชนคู่สัญญาสัมปทานอยู่ในภาวะไม่นิ่ง หรือ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง ไม่ใช่วิสัยที่กสทต้องเร่ง 2.การอ้างข้อกฎหมาย เพื่อหวังใช้ความถี่ 1800 MHz อีกนาน หมายถึงกว่ากสทช.จะได้ความถี่ 1800 MHz มาประมูลเพื่อจัดสรรใหม่ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3-4 ปี ซึ่งความถี่ 1800 MHz สามารถนำมาให้บริการ 4G ได้ ทำให้ในช่ง 3-4 ปีนี้ คู่แข่งของเอกชนบางราย ไม่สามารถประมูลความถี่ 1800 MHz เพื่อให้บริการ 4G เสริมจากใบอนุญาต 3G ความถี่ 2.1 GHz ที่มีอยู่ เพราะผู้ให้บริการที่มีความถี่อยู่ในมือจำนวนมาก ย่อมได้เปรียบคู่แข่งขันในตลาด

    

"กรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า กสท. ได้รับประโยชน์ตามบทเฉพาะกาล มิฉะนั้นจะมีบทเฉพาะกาลไว้เพื่ออะไร ขอให้เข้าใจให้ถูกต้องว่า บทเฉพาะกาล มาตรา 82-84 ของพ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นฯปี 2553 นั้น ให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้ได้รับประโยชน์ตามกฎหมาย เดิมไม่ให้หายไปพร้อมกับพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นฯ ปี 2543 ที่ถูกยกเลิกไป  ทั้งนี้เพื่อเชื่อมรอยต่อระหว่างระบบเก่ากับระบบใหม่ แต่บทเฉพาะกาลก็มิได้คุ้มครองให้สามารถใช้คลื่นได้ตลอดไป  มิฉะนั้นระบบใหม่คือระบบใบอนุญาตจะไม่สามารถเริ่มเดินหน้าได้เลย ในกรณีสัญญาสัมปทานที่มีระยะเวลา บทเฉพาะกาลรับรองสิทธิจนสิ้นสุดระยะเวลาของสัมปทานเท่านั้น โดยเมื่อสัญญาสัมปทานหมดอายุ สิทธิในการใช้คลื่นนั้นๆก็หมดตามไปด้วย ข้อกฎหมายเรื่องนี้ชัดเจนมากจะไปเอานักกฎหมายกี่สำนักมาตีความ หากมองตรงไปตรงมาโดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ก็ไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้ ผมว่าน่าจะยอมรับความจริงกันได้แล้วว่าระบบสัมปทานให้ใช้คลื่นความถี่กำลังจะกลายเป็นอดีต หากเห็นแก่ประโยชน์ของชาติก็ไม่ควรที่จะอ้างเหตุต่างๆนานา เพื่อยื้อระบบสัมปทานให้อยู่ต่อไป เพราะถึงเวลาแล้วที่จะคืนคลื่นที่หมดสัมปทานมาให้กสทช. ที่เป็นหน่วยงานกำกับดูแลตามกฎหมาย นำไปจัดสรรให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง”


เลื่อนประมูล 4G
คณะทำงานชุดนี้ จะมีลักษณะคล้ายกับคณะทำงานจัดการประมูลคลื่นความถี่ 3G 2.1 กิกะเฮิรตซ์ โดยจะจัดทำแผนการประมูล วิธีการประมูล ราคาคลื่นความถี่ทั้ง 20 เมกะเฮิรตซ์ หรือ 4 ชุดคลื่นความถี่ จำนวนชุดละ 5 เมกะเฮิรตซ์ว่าจะมีราคาเท่าไร จากเดิมคาดว่าแผนการประมูล 4จีจะเกิดเดือน ต.ค. 2556 แต่ต้องเลื่อนเป็นปลายปี 2557 เพราะติดปัญหาด้านกฎหมาย และการถือครองคลื่นของ บมจ.กสท โทรคมนาคม






CAT สู้

นายกิตติศักดิ์กล่าวว่า การที่ กสทช.ขอคืนคลื่นความถี่ 1800 MHz โดยอ้างบทบัญญัติตามมาตรา 47 และ มาตรา 305 ของ
รัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 ที่กำหนดให้ส่งความถี่กลับมาให้ กสทช.นำมาจัดสรรและประมูลใหม่ นั้น ในมุมมองของ กสท เห็นว่า มาตราดังกล่าวเป็นบทบัญญัติทั่วไปที่ใช้ เป็นแนวทางกำกับกิจการโทรคมนาคม โดยทั่วไปเพื่อกำกับดูแลคลื่นความถี่ใหม่ที่ยังไม่มีการจัดสรร หรือใช้อยู่ก่อนพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ เท่านั้น แต่ในส่วนของคลื่น 1800 MHz ที่ กสทครอบครองอยู่นั้นมีบทเฉพาะกาล ตามมาตรา 82 มาตรา 83 และ มาตรา 84 ของ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯพ.ศ.2553 บัญญัติไว้ เพื่อรองรับการ “เปลี่ยนผ่าน”อยู่แล้ว

โดยในมาตรา 82 บัญญัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือผู้ที่ได้รับการจัดสรรคลื่นความถี่ หรือใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติใช้บังคับ มีหน้าที่ต้องแจ้งรายละเอียด รวมทั้งเหตุแห่งความจำเป็นในการถือครองคลื่นความถี่ ขณะที่บทบัญญัติมาตรา 84 วรรค 4 ก็ให้ กสทช.กำหนดระยะเวลา ที่แน่นอนให้ผู้ได้รับจัดสรรคลื่นความถี่ดังกล่าวคืนคลื่นเพื่อนำไปจัดสรรใหม่ โดยคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ และความจำเป็นของการประกอบกิจการ

“เมื่อกสท ได้ดำเนินการตามมาตรา 82 ย่อมต้องถือว่า หน่วยงานได้รับอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ตามกฎหมายฉบับนี้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะมีบทบัญญัติมาตรา 82, 83 และ 84 ไว้เพื่ออะไร นอกจากนี้ในบทบัญญัติเดียวกันในมาตรา 84 วรรค 4 ยังบัญญัติให้ กสทช.กำหนดระยะเวลาที่แน่นอนของการใช้คลื่นความถี่ที่ได้รับจัดสรรตามความจำเป็นที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐได้แจ้งตามมาตรา 82 ประกอบการ พิจารณาด้วย ซึ่ง กสท ได้มีหนังสือแจ้งรายละเอียดการใช้คลื่นความถี่ รวมทั้งเหตุแห่งความจำเป็นในการถือครองคลื่นดังกล่าวไปตั้งแต่ 12 กันยายน 2555 และ 29 พฤศจิกายน 2555 รวมทั้งมีหนังสือแจ้งการขอปรับปรุงคลื่นความถี่ย่าน 800 MHz และ 1800 MHz ตามนัยมาตรา 84 เพื่อรองรับการให้บริการหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานแล้ว”

นอกจากนี้ตามกฎหมายที่ว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของ กสทช.นั้นก็กำหนดให้ กสทช.ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายที่ คณะรัฐมนตรีแถลงไว้ต่อรัฐสภา ดังนั้น บมจ.กสท ในฐานะที่เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) เมื่อได้จัดทำแผนการบริหารทรัพย์สินที่ได้จากสัมปทาน และเป็นการดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลในมิติต่างๆ แล้ว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ CAT ต้องได้รับอนุญาตให้ปรับปรุงการใช้งานคลื่นความถี่ต่อไป

“เราพร้อมที่จะเดินหน้าต่อสู้เรื่องนี้อย่างถึงที่สุด ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากคืนความถี่ให้ กสทช. แต่เนื่องจาก กสท เองมีความจำเป็นต้องขอเวลาเพื่อบริหารจัดการคลื่นความถี่ดังกล่าวต่อไปอีกระยะ เพราะยังมีลูกค้าที่อยู่ในระบบ 2จี เดิมอีกเป็นจำนวนมากที่เราต้องดูแลและลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้ต้องการโยกย้ายไประบบใหม่เพราะเน้นการโทร.ราคาถูกที่ กสท สามารถจะรองรับให้ได้ จึงเห็นว่า กสทช.ควรขยายเวลาให้ กสท ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้”


ICT



ก.ไอซีที ชี้ CATสามารถบริหารจัดการคลื่น 1800 ต่อได้เพราะมีความพร้อม เผย เคารพการตัดสินใจของทุกฝ่าย ฟาก กสทช.ยันแคทไม่มีสิทธิ์ถือครองคลื่น ผิดกฎหมายชัดเจน
    น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที กล่าวถึงกรณีที่ บมจ. กสท โทรคมนาคม หรือ CAT ยืนยันที่จะบริหารจัดการคลื่นย่านความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ ต่อ หลังหมดสัญญาสัมปทาน ว่า บมจ.กสท มีความพร้อมทั้งในส่วนของบุคลากร และโครงข่ายที่มีอยู่เดิม ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสามารถที่จะบริหารจัดการได้ โดยที่ทำให้คลื่นดังกล่าวใช้งานได้ตามปกติ ซึ่งทั้งนี้ บมจ.กสท ก็ต้องเสนอแนวทางการบริหารจัดการ มาที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช. โดย กสทช.จะรับหรือไม่นั้น เป็นสิทธิของ กสทช. เพราะคนที่จะอนุญาตให้ใช้คลื่นคือ กสทช.
    "ตามกฎหมายของ กสทช.ก็มีระบุชัดเจนเช่นเดียวกันว่า กระบวนการบริหารจัดการคลื่นนั้น กสทช.ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนหารือกันอยู่ เพราะสุดท้ายเงินที่ได้จากการประมูลก็ต้องส่งเข้าคลัง ในระดับนี้ก็คงพิจารณาได้ว่า จำนวนที่จะมาเป็นค่าใบอนุญาต กับเงินที่จะได้จากการจัดการบริหารทรัพย์สินที่เป็นเศษเหล็กแน่นอนจากการที่ไม่มีคลื่นมาใช้งาน อันไหนมันคุ้มกว่ากัน เพราะฉะนั้น ไม่อยากเถียงกันไปมา ทั้งนี้ ชื่นชมและเข้าใจ กสทช.ว่าต้องยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าสิ้นมีนาคมนี้จะได้ข้อยุติ" น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
    โดยส่วนตัวเคารพการตัดสินใจในกระบวนการที่ยึดเอาหลักของกฎหมายเป็นที่ตั้ง มองว่าปัญหานี้ยังไงก็มีทางออก เห็นชัดๆ อยู่แล้วว่าประชาชนเดือดร้อนแน่ๆ หากไม่มีใครดูแล ถ้าเกิดปล่อยลอยแพไปทั้งหมด 17 ล้าน จะเกิดอะไรขึ้น กระบวนการในการบริหารจัดการในบริษัทที่มีขนาดใหญ่ มีบุคลากร มีความพร้อมที่มีทรัพยากรครบถ้วนแบบนี้ คิดว่าไม่มีอีกแล้ว

สำนักข่าวที่อ้างอิงในประเด็นนี้
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9560000033055
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1363589678&grpid=03&catid=03
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/it/it/20130318/495641/%A1%CA%B7%AA.%E0%C5%D7%E8%CD%B9%BB%C3%D0%C1%D9%C5-4G.html
http://www.naewna.com/business/44996
http://www.thaipost.net/news/190313/71072
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่