อันจากข้อสังเกตุพื้นฐาน ถึงการปฎิบัติหน้าที่ของ กกต. กับการเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม. ครั้งที่ผ่านมาหยกๆ หน้าที่ของท่าน ก็คือการประสานงานให้การเลือกตั้ง และลงคะแนนเสียง เป็นไปโดย บริสุทธ์โปร่งใส และตามกฏกฏิกา ของกฏระเบียบของ รธน. อันหมายถึงว่า เป็นประชาธิปไตย นั่นเอง ในเมื่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง มีจำนวนบัตร์คะแนนมากกว่า ผู้ไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง ในเมื่อมีผู้ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว ปรากฏอยู่ใน บ/ช ผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง ในเมื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อยู่ใน บ/ช เป็นผู้ที่ลงทะเบียนบ้านโดยที่เจ้าบ้านไม่ได้รับรู้ หรือเห็นชอบยินยอม ในเมื่อมีผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ทับสิทธิ์ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง อันโดยเฉพาะเพียงตัวอย่างเช่นนี้ น่าจะเป็นที่เชื่อมั่นและยอมรับ ในโลกสากลได้ว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้ “ไม่เป็นไปโดยชอบธรรม” และไม่สามารถประกาศรับรองผลการเลือกตั้งได้ นอกเสียจาก “ประกาศการเลือกตั้งให้เป็นโมฆะ” อย่างจริงใจและแน่นอนครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปรากฏการณ์เช่นนี้ อยู่ในความรับผิดชอบตามหน้าที่ ของ ท่าน กกต. ทั้งหลายโดยตรง ที่จำเป็นต้องชี้จุดยืน และขอบข่ายการรับผิดชอบของท่าน นอกเสียว่า การแสดงความ ยอมรับกับความไม่โปร่งใส ของการเลือกตั้ง แล้วก็ยังจำเป็นที่จะชี้แจงสอบสวน นำผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่อยู่ในองค์กร กกต. และจากหน่วยประสานงานต่างๆ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อีกด้วย ทำใม และเพราะเหตุใด จึงไม่มีความเคลื่อนใหวในกรณีนี้ หรือท่านมีเจตนารมณ์ ให้ ปชช. ยอมรับว่าเป็นสิ่งชอบธรรมโดยปริยาย ครับ
คำถามที่ตามมา ก็คือ ในเมื่อจากอดีตที่ผ่านมา กกต. สามารถลงมติให้ใบแดง ได้โดยมติ ๓ ต่อ ๒ ด้วยเหตุใด ท่านถึงออกมาแถลงว่า การให้ใบแดง ในกรณี เลือกตั้ง ผู้ว่า กทม. จำเป็นที่จะต้องใช้มติ ๔ ต่อ ๑ หรือว่า เป็นเพราะต่าง “ผู้กระทำ” จำเป็นต้อง ใช้หลักวินิจฉัยที่แตกต่างกันออกไปล๊ะ ครับ
ในคำถาม ถึงการพิจารณา ใช้กรณี “รับไปก่อน และจะสอยทีหลัง” อันตามความรู้สึกนึกคิดของ สามัญชน ในการมองเจตนารมณ์ของกฏหมายการเลือกตั้ง ที่จะต้อง ประกาศรับรองภายใน ๓๐ วันหลังจากเสร็จสิ้นการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยนำเอาตัวอย่าง จากการเลือกตั้ง สส. จำนวน ๕๐๐ ท่าน อันการตรวจสอบความถูกต้องไม่เป็นไปตามกำหนด (๓๐) จึงเป็นที่มาของการ “ให้รับรองไปก่อน” ส่วนในกรณี เลือกตั้ง ผู้ว่า กทม. ที่เป็นเฉพาะผู้สมัครท่านเดียว การนำเหตุผลเช่นเดียวกันมาใช้ น่าจะขัดธรรมชาติ และจิตสำนึกของสามัญชนอย่างแน่นอน นอกเสียว่า ท่าน กกต. พยายามที่จะให้สังคมยอมรับ การใช้สิทธิอำนาจ ของท่านเพื่อผ่อนหนักเป็นเบาให้กับ ผลการเลือกตั้ง ล๊ะครับ
คำถามกับกรณี ตัวบทกฏหมายเลือกตั้ง ที่ระบุ ข้อต้องห้าม ของผู้สมัคร เป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่สามารถ ตีความจากข้อมูลหลักฐาน ให้เป็นอย่างอื่นได้ และในลักษณะต้องห้ามก็ยังระบุชัดเจนอีก ถึงการพิจารณา ให้ใบเหลือง และใบแดง กับผู้กระทำผิด และในกรณี ที่เกิดการกระทำผิด ในข้อต้องห้าม ก็มิได้ระบุ ถึงกรณียกเว้นหรือผ่อนผัน อย่างในกรณีกฏหมายอาญา ในกรณีมีหรือขาดเจตนารมณ์ นอกเสียว่า การกระทำผิดที่ผู้สมัครมิได้มีส่วนรู้เห็น ก็จะเป็นกรณี “ใบเหลือง” และถ้ามีส่วนผูกพันธ์ อย่างที่ปรากฏ ในข้อมูลหลักฐานอย่างชัดเจน ก็จะเป็นกรณี การพิจารณาให้ “ใบแดง” ได้เท่านั้น การที่มีข้อแย้ง ถึงการให้ฝ่ายผู้ถูกร้อง มาใช้สิทธิ์ในการแก้ข้อกล่าวหา โดยนำวิธีการมาจาก วิธีพิจารณาคดีความ ของกระบวนการยุติธรรมปรกติมาใช้นั้น ในกรณี กระบวนการเลือกตั้ง ไม่น่าจะนำมาใช้ได้ เพราะการให้การของผู้ถูกร้อง มิได้เป็นกรณีบังคับ ที่ต้องนำเอาเจตนารมณ์ ของการกระทำมาเป็นส่วนประกอบของการพิจารณา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากข้อมูลหลักฐานที่ปรากฏ รวมทั้งมาตราการ การพิจารณาในการกระทำ ตามข้อต้องห้าม ไม่ทำให้คำให้การแก้ข้อกล่าวหา หรือข้อกำหนดในการพิจารณาเปลี่ยนไปได้ ฉนั้น กกต. สามารถพิจารณาได้โดยทันที่ๆ ได้รับทราบถึงข้อกล่าวหา ที่พร้อมสมบูรณ์ในการชี้ชัด ถึงการกระทำในข้อต้องห้ามนั้นๆ ครับ
อย่างน้อย ท่าน กกต. ควรตรวจสอบความเป็นจริง ในกรณีการประสานงาน กับหน่วยงานต่างๆ ในการเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม. อันในขณะที่มีการประสานงาน อย่างเช่น ในกรณีโยกย้ายทะเบียนบ้าน เป็นต้น อยู่ในความรับผิดชอบ ของหน่วยงานในสังกัด ของผู้สมัครเลือกตั้ง ที่ยังอยู่ในฐานะ ผู้ว่า กทม. ในขณะนั้น เพียงการใช้กรณี “รับไปก่อน” น่าจะทำให้เกิดข้อสังเกตุ จากสามัญสำนึก ขึ้นมาได้ว่า โอกาศที่จะตรวจสอบหาพยานหลักฐาน ถึงความผิดปรกติ การใช้และลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง อันอยู่ในความรับผิดชอบของ กกต. จะไม่สามารถสอบหาผู้กระทำ หรือผู้รับจ้างวาน รวมทั้ง กกต. เอง ฯลฯ มารับผิดชอบตามกระบวนการยุติธรรมได้ ในขณะเดียวกัน สามารถให้ผู้ได้รับรอง สามารถใช้อำนาจ ในฐานะ ผู้ว่า กทม. อันมีที่มาไม่ชอบธรรมสมบูรณ์ ในการบริหาร อันอาจเป็นกรณีไม่ตรงกับเจตจำนงค์ จนกว่าจะถูก “สอยทีหลัง” ขึ้นได้ ครับ
ในฐานะ การมีสิทธิอำนาจในการปฎิบัติหน้าที่ ในการบริหารและประสาน การเลือกตั้ง ของท่าน กกต. ให้เป็นไปตามบทบัญญัติและเจตจำนงค์ ของกฏหมายเลือกตั้ง ย่อมก็เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่ท่านจะเป็นผู้รับผิดชอบในหน้าที่ ในกรณีที่เป็นความผิดพลาดให้เกิด ผลการเลือกตั้ง ขึ้นมา คำถามคาใจ ของสามัญชน ก็คือ ท่านเอาเหตุผลอะไรมาเป็นข้ออ้าง ในการไม่ยกเลิกให้การเลือกตั้ง กทม. ในครั้งนี้ ให้เป็นโมฆะ และแถลงรับผิดชอบ หลังจากที่ความไม่โปร่งใสปรากฏขึ้นมา ครับ
ในฐานะ เป็น “กรรมการควบคุมการเลือกตั้ง” โดยเป็นผู้ควบคุมและบริหาร ให้การเลือกตั้งเป็นไปตาม บทบัญญัติกฏหมายเลือกตั้ง อันหมายถึงว่า ท่านมีหน้าที่ในการบังคับใช้โดยเฉพาะ แต่มิได้รวมถึงการพิจารณา หรือพิพากษาตีความ ตามลักษณะผู้พิพากษา หรือดุลย์พินิจในการลงอาญาที่มีเจตตนรมณ์เป็นองค์ประกอบ ในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากคำร้องมีข้อพิสูจน์ ที่ปรากฏถึงข้อมูลพยานหลักฐานแน่ชัด โดยไม่มีเหตุผลใด ที่ต้องสอบสวนหรือพิสูจน์ ที่สามารถลบร้าง การกระทำต้องห้ามลงได้ รวมทั้งไม่ปรากฏอยู่ในกฏระเบียบ ที่มีความจำเป็นให้มีการรับฟัง เจตนารมณ์ ของผู้กระทำต้องห้าม อันมีผลบังคับให้มีการแก้คำร้อง ของผู้ถูกกล่าวหา ในกรณี ผู้สมัครเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม ท่านเอาเหตุผลอะไรมาเป็นข้ออ้าง ในการยืดรอการประกาศ กำหนดโทษ กับผู้กระทำต้องห้าม “ใบแดง” ตามบทบัญญัติกฏหมายเลือกตั้ง และตามหลักพิจารณาในกรณีเช่นเดียวกัน ที่เคยมีมาในอดีต ครับ
ข้อสะดุดในความรู้สึก ในกรณีเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม. ของ กกต.
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปรากฏการณ์เช่นนี้ อยู่ในความรับผิดชอบตามหน้าที่ ของ ท่าน กกต. ทั้งหลายโดยตรง ที่จำเป็นต้องชี้จุดยืน และขอบข่ายการรับผิดชอบของท่าน นอกเสียว่า การแสดงความ ยอมรับกับความไม่โปร่งใส ของการเลือกตั้ง แล้วก็ยังจำเป็นที่จะชี้แจงสอบสวน นำผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่อยู่ในองค์กร กกต. และจากหน่วยประสานงานต่างๆ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อีกด้วย ทำใม และเพราะเหตุใด จึงไม่มีความเคลื่อนใหวในกรณีนี้ หรือท่านมีเจตนารมณ์ ให้ ปชช. ยอมรับว่าเป็นสิ่งชอบธรรมโดยปริยาย ครับ
คำถามที่ตามมา ก็คือ ในเมื่อจากอดีตที่ผ่านมา กกต. สามารถลงมติให้ใบแดง ได้โดยมติ ๓ ต่อ ๒ ด้วยเหตุใด ท่านถึงออกมาแถลงว่า การให้ใบแดง ในกรณี เลือกตั้ง ผู้ว่า กทม. จำเป็นที่จะต้องใช้มติ ๔ ต่อ ๑ หรือว่า เป็นเพราะต่าง “ผู้กระทำ” จำเป็นต้อง ใช้หลักวินิจฉัยที่แตกต่างกันออกไปล๊ะ ครับ
ในคำถาม ถึงการพิจารณา ใช้กรณี “รับไปก่อน และจะสอยทีหลัง” อันตามความรู้สึกนึกคิดของ สามัญชน ในการมองเจตนารมณ์ของกฏหมายการเลือกตั้ง ที่จะต้อง ประกาศรับรองภายใน ๓๐ วันหลังจากเสร็จสิ้นการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยนำเอาตัวอย่าง จากการเลือกตั้ง สส. จำนวน ๕๐๐ ท่าน อันการตรวจสอบความถูกต้องไม่เป็นไปตามกำหนด (๓๐) จึงเป็นที่มาของการ “ให้รับรองไปก่อน” ส่วนในกรณี เลือกตั้ง ผู้ว่า กทม. ที่เป็นเฉพาะผู้สมัครท่านเดียว การนำเหตุผลเช่นเดียวกันมาใช้ น่าจะขัดธรรมชาติ และจิตสำนึกของสามัญชนอย่างแน่นอน นอกเสียว่า ท่าน กกต. พยายามที่จะให้สังคมยอมรับ การใช้สิทธิอำนาจ ของท่านเพื่อผ่อนหนักเป็นเบาให้กับ ผลการเลือกตั้ง ล๊ะครับ
คำถามกับกรณี ตัวบทกฏหมายเลือกตั้ง ที่ระบุ ข้อต้องห้าม ของผู้สมัคร เป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่สามารถ ตีความจากข้อมูลหลักฐาน ให้เป็นอย่างอื่นได้ และในลักษณะต้องห้ามก็ยังระบุชัดเจนอีก ถึงการพิจารณา ให้ใบเหลือง และใบแดง กับผู้กระทำผิด และในกรณี ที่เกิดการกระทำผิด ในข้อต้องห้าม ก็มิได้ระบุ ถึงกรณียกเว้นหรือผ่อนผัน อย่างในกรณีกฏหมายอาญา ในกรณีมีหรือขาดเจตนารมณ์ นอกเสียว่า การกระทำผิดที่ผู้สมัครมิได้มีส่วนรู้เห็น ก็จะเป็นกรณี “ใบเหลือง” และถ้ามีส่วนผูกพันธ์ อย่างที่ปรากฏ ในข้อมูลหลักฐานอย่างชัดเจน ก็จะเป็นกรณี การพิจารณาให้ “ใบแดง” ได้เท่านั้น การที่มีข้อแย้ง ถึงการให้ฝ่ายผู้ถูกร้อง มาใช้สิทธิ์ในการแก้ข้อกล่าวหา โดยนำวิธีการมาจาก วิธีพิจารณาคดีความ ของกระบวนการยุติธรรมปรกติมาใช้นั้น ในกรณี กระบวนการเลือกตั้ง ไม่น่าจะนำมาใช้ได้ เพราะการให้การของผู้ถูกร้อง มิได้เป็นกรณีบังคับ ที่ต้องนำเอาเจตนารมณ์ ของการกระทำมาเป็นส่วนประกอบของการพิจารณา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากข้อมูลหลักฐานที่ปรากฏ รวมทั้งมาตราการ การพิจารณาในการกระทำ ตามข้อต้องห้าม ไม่ทำให้คำให้การแก้ข้อกล่าวหา หรือข้อกำหนดในการพิจารณาเปลี่ยนไปได้ ฉนั้น กกต. สามารถพิจารณาได้โดยทันที่ๆ ได้รับทราบถึงข้อกล่าวหา ที่พร้อมสมบูรณ์ในการชี้ชัด ถึงการกระทำในข้อต้องห้ามนั้นๆ ครับ
อย่างน้อย ท่าน กกต. ควรตรวจสอบความเป็นจริง ในกรณีการประสานงาน กับหน่วยงานต่างๆ ในการเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม. อันในขณะที่มีการประสานงาน อย่างเช่น ในกรณีโยกย้ายทะเบียนบ้าน เป็นต้น อยู่ในความรับผิดชอบ ของหน่วยงานในสังกัด ของผู้สมัครเลือกตั้ง ที่ยังอยู่ในฐานะ ผู้ว่า กทม. ในขณะนั้น เพียงการใช้กรณี “รับไปก่อน” น่าจะทำให้เกิดข้อสังเกตุ จากสามัญสำนึก ขึ้นมาได้ว่า โอกาศที่จะตรวจสอบหาพยานหลักฐาน ถึงความผิดปรกติ การใช้และลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง อันอยู่ในความรับผิดชอบของ กกต. จะไม่สามารถสอบหาผู้กระทำ หรือผู้รับจ้างวาน รวมทั้ง กกต. เอง ฯลฯ มารับผิดชอบตามกระบวนการยุติธรรมได้ ในขณะเดียวกัน สามารถให้ผู้ได้รับรอง สามารถใช้อำนาจ ในฐานะ ผู้ว่า กทม. อันมีที่มาไม่ชอบธรรมสมบูรณ์ ในการบริหาร อันอาจเป็นกรณีไม่ตรงกับเจตจำนงค์ จนกว่าจะถูก “สอยทีหลัง” ขึ้นได้ ครับ
ในฐานะ การมีสิทธิอำนาจในการปฎิบัติหน้าที่ ในการบริหารและประสาน การเลือกตั้ง ของท่าน กกต. ให้เป็นไปตามบทบัญญัติและเจตจำนงค์ ของกฏหมายเลือกตั้ง ย่อมก็เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่ท่านจะเป็นผู้รับผิดชอบในหน้าที่ ในกรณีที่เป็นความผิดพลาดให้เกิด ผลการเลือกตั้ง ขึ้นมา คำถามคาใจ ของสามัญชน ก็คือ ท่านเอาเหตุผลอะไรมาเป็นข้ออ้าง ในการไม่ยกเลิกให้การเลือกตั้ง กทม. ในครั้งนี้ ให้เป็นโมฆะ และแถลงรับผิดชอบ หลังจากที่ความไม่โปร่งใสปรากฏขึ้นมา ครับ
ในฐานะ เป็น “กรรมการควบคุมการเลือกตั้ง” โดยเป็นผู้ควบคุมและบริหาร ให้การเลือกตั้งเป็นไปตาม บทบัญญัติกฏหมายเลือกตั้ง อันหมายถึงว่า ท่านมีหน้าที่ในการบังคับใช้โดยเฉพาะ แต่มิได้รวมถึงการพิจารณา หรือพิพากษาตีความ ตามลักษณะผู้พิพากษา หรือดุลย์พินิจในการลงอาญาที่มีเจตตนรมณ์เป็นองค์ประกอบ ในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากคำร้องมีข้อพิสูจน์ ที่ปรากฏถึงข้อมูลพยานหลักฐานแน่ชัด โดยไม่มีเหตุผลใด ที่ต้องสอบสวนหรือพิสูจน์ ที่สามารถลบร้าง การกระทำต้องห้ามลงได้ รวมทั้งไม่ปรากฏอยู่ในกฏระเบียบ ที่มีความจำเป็นให้มีการรับฟัง เจตนารมณ์ ของผู้กระทำต้องห้าม อันมีผลบังคับให้มีการแก้คำร้อง ของผู้ถูกกล่าวหา ในกรณี ผู้สมัครเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม ท่านเอาเหตุผลอะไรมาเป็นข้ออ้าง ในการยืดรอการประกาศ กำหนดโทษ กับผู้กระทำต้องห้าม “ใบแดง” ตามบทบัญญัติกฏหมายเลือกตั้ง และตามหลักพิจารณาในกรณีเช่นเดียวกัน ที่เคยมีมาในอดีต ครับ