โครตหน้าเลือด!! DTAC เห็นดีเห็นงามกับAIS เสนอเก็บค่าเลขหมายวันละ1บาท(หากไม่ใช้เกิน30วัน) // กสทช. ชี้เติมเงินทุกครั้งต้องได้อีก30วันทันที (ไม่มีช่องว่างระหว่างคนจนคนรวย)
ประเด็นหลัก
นายปกรณ์กล่าวถึงเรื่องการยื่นข้อเสนอ กสทช. ในประเด็นของการขอเก็บค่ารักษาเลขหมาย 1 บาทต่อวันกรณีลูกค้าไม่มีการใช้งานต่อเนื่องเกิน 30 วันว่า ทางดีแทคก็ได้มีการยื่นเรื่องดังกล่าวไปยัง กสทช.เช่นเดียวกัน เพียงแต่เอไอเอสอาจมีการยื่นก่อน จึงทำให้ข่าวที่ออกมามีเพียงแต่เอไอเอสเท่านั้น ซึ่งในประเด็นนี้มองว่า กสทช.ควรต้องคำนึงถึงค่าบำรุงรักษาเลขหมายในระบบด้วย ไม่ใช่คิดเฉพาะค่าเลขหมายที่จ่ายให้แก่ กสทช.
โดยการเก็บค่ารักษาเลขหมาย มีขึ้นเพื่อช่วยลดปริมาณหมายเลขในตลาด เพราะพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคชาวไทยจะนิยมเปลี่ยนซิมใหม่ ส่วนซิมเก่าก็ทิ้งไว้ ดังนั้นในการคิดบริการค่ารักษาเลขหมายจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อไม่มีการใช้งานเกิน 30 วัน ดังนั้นถ้าลูกค้ายังมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องก็จะไม่มีการคิดค่าบริการดังกล่าวแต่อย่างใด
“การขอเก็บค่ารักษาเลขหมายก็เป็นเหมือนข้อกำหนด ที่ช่วยให้ลูกค้าที่ไม่ใช้งานปิดเบอร์ และนำเบอร์กลับมาให้บริการลูกค้ารายอื่นต่อไปแทน เป็นการช่วยรักษาทรัพยากรของชาติด้วยเช่นเดียวกัน และเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วก็จะมีข้อยุติออกมา”
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกฎหมายในกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า
การแก้ไขปัญหาบัตรเติมเงิน (พรีเพด) นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่คาราคาซังมาตั้งแต่ยุค กทช.ก็ยังแก้ปัญหาในเรื่องนี้ไม่สำเร็จ พอมาถึงยุคกสทช. โดย กทค.ได้เดินหน้าฝ่ากระแสจนให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยที่ผ่านมามีแต่คนบ่นแต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องบัตรเติมเงินได้ เงื่อนไขใหม่ทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้าได้ประโยชน์ เงินที่เติมเข้าไปแม้จะมีจำนวนน้อยเท่าไรก็ตามก็จะได้วันสะสมอย่างน้อย 30 วัน ทำให้ไม่มีช่องว่างระหว่างคนจนคนรวย เงื่อนไขใหม่ที่ออกมาเพื่อกำกับผู้ประกอบการทั้งสามรายดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากกทค. โดยมติเอกฉันท์ ซึ่งสามารถตรวจสอบจากรายงานการประชุมได้ ซึ่งแนวทางดังกล่าวอาจไม่ถูกใจทุกคน แต่มั่นใจว่าเป็นประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่
ประเด็นที่เกี่ยวข้อง
12 เมษายน 2556 โครตหน้าเลือด!! AIS เสนอเก็บค่าเลขหมายวันละ1บาท(หากไม่ใช้เกิน30วัน)//อนุชี้คิดเกินต้นทุน15เท่าค่ายอื่น1เดือน2บาทเอง
http://somagawn.blogspot.com/2013/03/12-2556-ais-1301512.html
สำนักข่าวที่อ้างอิงในประเด็นนี้
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9560000031110
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=174018:2013-03-14-10-36-51&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524
__________________________
ดีแทคประสานเสียงเอไอเอส เก็บค่ารักษาเลขหมาย 1 บาท
ดีแทค ไม่หวั่นเปิดให้บริการ 3G ความถี่ 2.1 GHz ช้ากว่ารายอื่น เชื่อมั่นประสิทธิภาพ 3G ความถี่ 850 MHz ดีอยู่แล้ว ลุยเพิ่มฐานลูกค้า “แฮปปี้” ให้ใช้งานดาต้าเพิ่มกว่า 10 ล้านราย จากปัจจุบัน 7 ล้านราย ชี้ตลาดพรีเพดยังมีโอกาสเติบโต เห็นด้วยเอไอเอสเก็บค่ารักษาเลขหมาย 1 บาทต่อวันเหมาะสมแล้ว
นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คแซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่า ตอนนี้ผู้ให้บริการเครือข่ายส่วนใหญ่หันไปให้ความสำคัญกับการเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz แต่ทางดีแทคกลับมองว่า การเปิดให้บริการ 3G ไม่ว่าจะบนคลื่นความถี่ใด ถ้ามีประสิทธิภาพการใช้งานที่ลูกค้าพึงพอใจทุกอย่างก็โอเค
“ลูกค้าไม่สนใจว่าจะใช้งาน 3G บนความถี่ 2.1 GHz หรือ 3G ความถี่ 850 MHz เพราะในการใช้งานจริง ถ้าสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ความเร็วสูงที่เสถียร มีประสิทธิภาพในการใช้งานโทรศัพท์ได้ดีก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นดีแทคจึงเน้นไปที่การให้บริการลูกค้าให้ดีที่สุด”
ดีแทคยังมองว่าปีนี้จะยังไม่เกิดการแข่งขันในการแย่งลูกค้าของแต่ละผู้ให้บริการ เนื่องจากทั้งเอไอเอส และทรูมูฟ จำเป็นต้องมีการโอนย้ายลูกค้าให้ไปใช้งานบนใบอนุญาต แทนระบบสัมปทานที่ใกล้จะหมดลงมากกว่า รวมกับอุปกรณ์ที่รองรับ 3G ความถี่ 2.1 GHz ในปัจจุบันยังมีจำนวนน้อย ถ้าลูกค้าของทุกโอเปอเรเตอร์ต้องการใช้งาน 3G ทั้งหมด ก็จะต้องมีอุปกรณ์ที่รองรับ 3G เข้ามามากกว่า 50 ล้านเครื่อง
ดีแทคยังให้ข้อมูลว่า จากการสำรวจการให้บริการเครือข่าย 3G ภายในกรุงเทพฯ เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2555 พบว่า การให้บริการ 3G ของดีแทคดีที่สุดใน 8 เขต จาก 11 เขตหลักในกรุงเทพฯ รวมกับรถไฟฟ้า และทางด่วน ส่วนอีก 5 เขตก็อยู่ในอันดับที่ 2 ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากการลงทุนเครือข่ายใหม่ในช่วงปีที่ผ่านมา
นายปกรณ์กล่าวถึงโอกาสในการทำตลาดพรีเพดว่า แม้ว่าปัจจุบันจะมีหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกเปิดใช้งานเกิน 125% แล้ว แต่ปีที่ผ่านมาก็ยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายใต้แบรนด์แฮปปี้ ถ้ามองในแง่ของการใช้งานดาต้าพบว่ามีการเติบโตมากกว่า 200% ในปีเดียว
โดยปีที่ผ่านมา แฮปปี้มีลูกค้าใหม่ประมาณ 1.7 ล้านราย ทำให้รวมแล้วปัจจุบันมีลูกค้าแฮปปี้อยู่ในระบบราว 22.5 ล้านเลขหมาย ซึ่งถ้ารวมลูกค้าโพสต์เพดเข้าไปด้วยจะทำให้ดีแทคมีลูกค้าทั้งหมด 25.3 ล้านราย ซึ่งในจำนวนนี้มีลูกค้าที่ใช้งาน 3G ราว 3.5 ล้านราย และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นเกิน 10 ล้านราย
“ถ้ามองเฉพาะในแฮปปี้ มีลูกค้าที่ใช้งานดาต้า (ทั้ง EDGE และ 3G) อยู่ประมาณ 7 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วนใช้งานดาต้าราว 30% ขณะที่ในส่วนของโพสต์เพดสัดส่วนการใช้งานดาต้าอยู่ที่ราว 70% จึงตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีนี้ลูกค้าพรีเพดน่าจะมีการใช้งานดาต้าเกิน 10 ล้านราย”
ซึ่งจากปริมาณการใช้งานดาต้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้สัดส่วนรายได้จาก ARPU (ค่าบริการเฉลี่ยต่อเลขหมายต่อเดือน) ของแฮปปี้ที่ 220 บาท แบ่งเป็นการใช้งานบริการเสริม 20% เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากช่วงต้นปี 2555 โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการนำเสนอโปรโมชันแก่ลูกค้าที่ใช้งาน
“การทำตลาดแฮปปี้แบบเซกเมนต์ ร่วมกับแพกเกจซูเปอร์จิ๋ว ช่วยให้ลูกค้าพรีเพดหันมาใช้งานบริการเสริมมากขึ้น เพราะมีบริการให้เลือกหลากหลาย ที่คิดเป็นปริมาณการสมัครกว่า 100 ล้านครั้งต่อดือน”
บริการซูปเปอร์จิ๋วถือเป็นโปรโมชันเสริมในราคาเริ่มต้นที่ 5 บาท ให้ลูกค้ากดสมัครผ่านระบบอัตโนมัติเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ต โทร. แม้กระทั่งใช้งานเฟซบุ๊ก เนื่องจากดีแทคมั่นใจว่าลูกค้าในระบบดีแทคมีการใช้งานเฟซบุ๊กผ่านโทรศัพท์มือถือมากที่สุดด้วยส่วนแบ่งกว่า 40% จาก ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กผ่านโทรศัพท์มือถือ 10 ล้านราย
ค่ารักษาเลขหมาย 1 บาทเหมาะสมแล้ว
นายปกรณ์กล่าวถึงเรื่องการยื่นข้อเสนอ กสทช. ในประเด็นของการขอเก็บค่ารักษาเลขหมาย 1 บาทต่อวันกรณีลูกค้าไม่มีการใช้งานต่อเนื่องเกิน 30 วันว่า ทางดีแทคก็ได้มีการยื่นเรื่องดังกล่าวไปยัง กสทช.เช่นเดียวกัน เพียงแต่เอไอเอสอาจมีการยื่นก่อน จึงทำให้ข่าวที่ออกมามีเพียงแต่เอไอเอสเท่านั้น ซึ่งในประเด็นนี้มองว่า กสทช.ควรต้องคำนึงถึงค่าบำรุงรักษาเลขหมายในระบบด้วย ไม่ใช่คิดเฉพาะค่าเลขหมายที่จ่ายให้แก่ กสทช.
โดยการเก็บค่ารักษาเลขหมาย มีขึ้นเพื่อช่วยลดปริมาณหมายเลขในตลาด เพราะพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคชาวไทยจะนิยมเปลี่ยนซิมใหม่ ส่วนซิมเก่าก็ทิ้งไว้ ดังนั้นในการคิดบริการค่ารักษาเลขหมายจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อไม่มีการใช้งานเกิน 30 วัน ดังนั้นถ้าลูกค้ายังมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องก็จะไม่มีการคิดค่าบริการดังกล่าวแต่อย่างใด
“การขอเก็บค่ารักษาเลขหมายก็เป็นเหมือนข้อกำหนด ที่ช่วยให้ลูกค้าที่ไม่ใช้งานปิดเบอร์ และนำเบอร์กลับมาให้บริการลูกค้ารายอื่นต่อไปแทน เป็นการช่วยรักษาทรัพยากรของชาติด้วยเช่นเดียวกัน และเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วก็จะมีข้อยุติออกมา”
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9560000031110
__________________________________________
กทค. ย้ำเดินหน้าแก้ปัญหาพรีเพดเน้นประโยชน์ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้า
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกฎหมายในกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า
การแก้ไขปัญหาบัตรเติมเงิน (พรีเพด) นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่คาราคาซังมาตั้งแต่ยุค กทช.ก็ยังแก้ปัญหาในเรื่องนี้ไม่สำเร็จ พอมาถึงยุคกสทช. โดย กทค.ได้เดินหน้าฝ่ากระแสจนให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยที่ผ่านมามีแต่คนบ่นแต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องบัตรเติมเงินได้ เงื่อนไขใหม่ทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้าได้ประโยชน์ เงินที่เติมเข้าไปแม้จะมีจำนวนน้อยเท่าไรก็ตามก็จะได้วันสะสมอย่างน้อย 30 วัน ทำให้ไม่มีช่องว่างระหว่างคนจนคนรวย เงื่อนไขใหม่ที่ออกมาเพื่อกำกับผู้ประกอบการทั้งสามรายดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากกทค. โดยมติเอกฉันท์ ซึ่งสามารถตรวจสอบจากรายงานการประชุมได้ ซึ่งแนวทางดังกล่าวอาจไม่ถูกใจทุกคน แต่มั่นใจว่าเป็นประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่
การที่มีกลุ่มบางกลุ่มมายื่นคำร้องแสดงความไม่พอใจ ซึ่งเป็นกลุ่มเดิมที่มีความเห็นแตกต่างจากวิธีการแก้ปัญหาของกทค. ในเรื่องพรีเพดนั้น หลายเรื่องเกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เช่น ที่ระบุว่ามีข้อเสนอให้กำหนดเวลาขั้นต่ำ 60 วัน ต่อการเติมเงินทุกมูลค่า แต่กทค.กลับไปเลือกเงื่อนไขที่แย่กว่านั้น ขอชี้แจงว่าแท้จริงแล้วเป็นข้อเสนอให้ใช้กับบางโปรโมชั่นเท่านั้น ไม่ได้บังคับกับทุกโปรโมชั่น อีกทั้งผู้ประกอบการบางรายมีข้อโต้แย้ง จึงทำให้มีปัญหาต่อการนำมากำหนดเป็นเงื่อนไข รวมทั้งการที่อ้างว่า กทค. มีมติกำหนดระยะเวลาใช้บริการพรีเพด 30 วัน และขัดต่อข้อ 34 ของประกาศฯ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะมติของ กทค.เพียงกำหนดเงื่อนไขมาตรฐานขั้นต่ำว่า การเติมเงินทุกมูลค่าทุกโปรโมชั่นต้องได้วันสะสมอย่างน้อย 30 วัน ซึ่งมิได้ไปจำกัดวันใช้เพียง 30 วัน ตามที่ผู้เรียกร้องเข้าใจ ทั้งยังระบุในเงื่อนไขชัดเจนว่ากรณีผู้ใช้บริการมีเงินค้างชำระต้องเป็นไปตามข้อ 34 ของประกาศฯ
นอกจากนี้แนวคิดต่างๆที่เสนอมาในข้อเรียกร้องเป็นเรื่องเดิมที่เคยเสนอมาเมื่อครั้งที่ กทช. พยายามแก้ไขปัญหา โดยจัดประชุมหลายครั้งเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งกลุ่มผู้ร้องเรียนได้เคยเสนอความเห็นในเรื่องนี้มาแล้ว แต่เมื่อกทค.และสำนักงาน กสทช.นำมาประมวลกับแนวคิดอื่นๆแล้วเห็นว่ายังมีจุดอ่อนและไม่เป็นที่ยอมรับ รวมทั้งบางประเด็นก็สุ่มเสี่ยงต่อการขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย จึงไม่สามารถผลักดันแนวคิดดังกล่าวเป็นเงื่อนไขในการกำกับดูแลได้
เมื่อวิเคราะห์แล้วการยืนกรานที่จะใช้กติกาที่ห้ามบัตรเติมเงินหมดอายุสถานเดียวหรือไปให้หักเงินในระบบได้เดือนละ 2 บาท หากไม่ใช้บริการภายในกำหนดนั้น ไม่สอดคล้องกับกฎหมายและไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องบัตรพรีเพดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งจะทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้าเสียประโยชน์ เนื่องจากข้อเรียกร้องไม่เป็นที่ยอมรับและไม่สามารถปฏิบัติได้ ทั้งนี้ กทค. เคารพในความแตกต่างของความเห็นและพร้อมที่จะรับฟังตลอดจนยินดีที่จะชี้แจงให้เกิดความเข้าใจ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าขณะเดียวกัน กทค. ก็ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้บริโภคหลายกลุ่มที่เห็นว่าการดำเนินการของกทค. ในการแก้ไขปัญหาเรื่องพรีเพดนั้นเดินมาถูกทางแล้ว จึงขอยืนยันว่า กทค. ได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาโดยใช้ดุลพินิจอย่างรอบคอบและถือว่าทุกเสียงของผู้บริโภคเป็นเสียงสวรรค์ ซึ่ง กทค.จะก้าวต่อไปโดยไม่ท้อถอยและจะมุ่งมั่นในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้บริโภคอย่างแท้จริง
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content
โครตหน้าเลือด!! DTACเห็นดีเห็นงามกับAISเสนอเก็บค่าเลขวันละ1บาท(หากไม่ใช้เกิน30วัน)//กสทช.เติมเงินทุกครั้งต้องได้อีก30วัน
ประเด็นหลัก
นายปกรณ์กล่าวถึงเรื่องการยื่นข้อเสนอ กสทช. ในประเด็นของการขอเก็บค่ารักษาเลขหมาย 1 บาทต่อวันกรณีลูกค้าไม่มีการใช้งานต่อเนื่องเกิน 30 วันว่า ทางดีแทคก็ได้มีการยื่นเรื่องดังกล่าวไปยัง กสทช.เช่นเดียวกัน เพียงแต่เอไอเอสอาจมีการยื่นก่อน จึงทำให้ข่าวที่ออกมามีเพียงแต่เอไอเอสเท่านั้น ซึ่งในประเด็นนี้มองว่า กสทช.ควรต้องคำนึงถึงค่าบำรุงรักษาเลขหมายในระบบด้วย ไม่ใช่คิดเฉพาะค่าเลขหมายที่จ่ายให้แก่ กสทช.
โดยการเก็บค่ารักษาเลขหมาย มีขึ้นเพื่อช่วยลดปริมาณหมายเลขในตลาด เพราะพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคชาวไทยจะนิยมเปลี่ยนซิมใหม่ ส่วนซิมเก่าก็ทิ้งไว้ ดังนั้นในการคิดบริการค่ารักษาเลขหมายจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อไม่มีการใช้งานเกิน 30 วัน ดังนั้นถ้าลูกค้ายังมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องก็จะไม่มีการคิดค่าบริการดังกล่าวแต่อย่างใด
“การขอเก็บค่ารักษาเลขหมายก็เป็นเหมือนข้อกำหนด ที่ช่วยให้ลูกค้าที่ไม่ใช้งานปิดเบอร์ และนำเบอร์กลับมาให้บริการลูกค้ารายอื่นต่อไปแทน เป็นการช่วยรักษาทรัพยากรของชาติด้วยเช่นเดียวกัน และเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วก็จะมีข้อยุติออกมา”
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกฎหมายในกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า
การแก้ไขปัญหาบัตรเติมเงิน (พรีเพด) นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่คาราคาซังมาตั้งแต่ยุค กทช.ก็ยังแก้ปัญหาในเรื่องนี้ไม่สำเร็จ พอมาถึงยุคกสทช. โดย กทค.ได้เดินหน้าฝ่ากระแสจนให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยที่ผ่านมามีแต่คนบ่นแต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องบัตรเติมเงินได้ เงื่อนไขใหม่ทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้าได้ประโยชน์ เงินที่เติมเข้าไปแม้จะมีจำนวนน้อยเท่าไรก็ตามก็จะได้วันสะสมอย่างน้อย 30 วัน ทำให้ไม่มีช่องว่างระหว่างคนจนคนรวย เงื่อนไขใหม่ที่ออกมาเพื่อกำกับผู้ประกอบการทั้งสามรายดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากกทค. โดยมติเอกฉันท์ ซึ่งสามารถตรวจสอบจากรายงานการประชุมได้ ซึ่งแนวทางดังกล่าวอาจไม่ถูกใจทุกคน แต่มั่นใจว่าเป็นประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่
ประเด็นที่เกี่ยวข้อง
12 เมษายน 2556 โครตหน้าเลือด!! AIS เสนอเก็บค่าเลขหมายวันละ1บาท(หากไม่ใช้เกิน30วัน)//อนุชี้คิดเกินต้นทุน15เท่าค่ายอื่น1เดือน2บาทเอง
http://somagawn.blogspot.com/2013/03/12-2556-ais-1301512.html
สำนักข่าวที่อ้างอิงในประเด็นนี้
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9560000031110
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=174018:2013-03-14-10-36-51&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524
__________________________
ดีแทคประสานเสียงเอไอเอส เก็บค่ารักษาเลขหมาย 1 บาท
ดีแทค ไม่หวั่นเปิดให้บริการ 3G ความถี่ 2.1 GHz ช้ากว่ารายอื่น เชื่อมั่นประสิทธิภาพ 3G ความถี่ 850 MHz ดีอยู่แล้ว ลุยเพิ่มฐานลูกค้า “แฮปปี้” ให้ใช้งานดาต้าเพิ่มกว่า 10 ล้านราย จากปัจจุบัน 7 ล้านราย ชี้ตลาดพรีเพดยังมีโอกาสเติบโต เห็นด้วยเอไอเอสเก็บค่ารักษาเลขหมาย 1 บาทต่อวันเหมาะสมแล้ว
นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คแซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่า ตอนนี้ผู้ให้บริการเครือข่ายส่วนใหญ่หันไปให้ความสำคัญกับการเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz แต่ทางดีแทคกลับมองว่า การเปิดให้บริการ 3G ไม่ว่าจะบนคลื่นความถี่ใด ถ้ามีประสิทธิภาพการใช้งานที่ลูกค้าพึงพอใจทุกอย่างก็โอเค
“ลูกค้าไม่สนใจว่าจะใช้งาน 3G บนความถี่ 2.1 GHz หรือ 3G ความถี่ 850 MHz เพราะในการใช้งานจริง ถ้าสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ความเร็วสูงที่เสถียร มีประสิทธิภาพในการใช้งานโทรศัพท์ได้ดีก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นดีแทคจึงเน้นไปที่การให้บริการลูกค้าให้ดีที่สุด”
ดีแทคยังมองว่าปีนี้จะยังไม่เกิดการแข่งขันในการแย่งลูกค้าของแต่ละผู้ให้บริการ เนื่องจากทั้งเอไอเอส และทรูมูฟ จำเป็นต้องมีการโอนย้ายลูกค้าให้ไปใช้งานบนใบอนุญาต แทนระบบสัมปทานที่ใกล้จะหมดลงมากกว่า รวมกับอุปกรณ์ที่รองรับ 3G ความถี่ 2.1 GHz ในปัจจุบันยังมีจำนวนน้อย ถ้าลูกค้าของทุกโอเปอเรเตอร์ต้องการใช้งาน 3G ทั้งหมด ก็จะต้องมีอุปกรณ์ที่รองรับ 3G เข้ามามากกว่า 50 ล้านเครื่อง
ดีแทคยังให้ข้อมูลว่า จากการสำรวจการให้บริการเครือข่าย 3G ภายในกรุงเทพฯ เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2555 พบว่า การให้บริการ 3G ของดีแทคดีที่สุดใน 8 เขต จาก 11 เขตหลักในกรุงเทพฯ รวมกับรถไฟฟ้า และทางด่วน ส่วนอีก 5 เขตก็อยู่ในอันดับที่ 2 ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากการลงทุนเครือข่ายใหม่ในช่วงปีที่ผ่านมา
นายปกรณ์กล่าวถึงโอกาสในการทำตลาดพรีเพดว่า แม้ว่าปัจจุบันจะมีหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกเปิดใช้งานเกิน 125% แล้ว แต่ปีที่ผ่านมาก็ยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายใต้แบรนด์แฮปปี้ ถ้ามองในแง่ของการใช้งานดาต้าพบว่ามีการเติบโตมากกว่า 200% ในปีเดียว
โดยปีที่ผ่านมา แฮปปี้มีลูกค้าใหม่ประมาณ 1.7 ล้านราย ทำให้รวมแล้วปัจจุบันมีลูกค้าแฮปปี้อยู่ในระบบราว 22.5 ล้านเลขหมาย ซึ่งถ้ารวมลูกค้าโพสต์เพดเข้าไปด้วยจะทำให้ดีแทคมีลูกค้าทั้งหมด 25.3 ล้านราย ซึ่งในจำนวนนี้มีลูกค้าที่ใช้งาน 3G ราว 3.5 ล้านราย และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นเกิน 10 ล้านราย
“ถ้ามองเฉพาะในแฮปปี้ มีลูกค้าที่ใช้งานดาต้า (ทั้ง EDGE และ 3G) อยู่ประมาณ 7 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วนใช้งานดาต้าราว 30% ขณะที่ในส่วนของโพสต์เพดสัดส่วนการใช้งานดาต้าอยู่ที่ราว 70% จึงตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีนี้ลูกค้าพรีเพดน่าจะมีการใช้งานดาต้าเกิน 10 ล้านราย”
ซึ่งจากปริมาณการใช้งานดาต้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้สัดส่วนรายได้จาก ARPU (ค่าบริการเฉลี่ยต่อเลขหมายต่อเดือน) ของแฮปปี้ที่ 220 บาท แบ่งเป็นการใช้งานบริการเสริม 20% เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากช่วงต้นปี 2555 โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการนำเสนอโปรโมชันแก่ลูกค้าที่ใช้งาน
“การทำตลาดแฮปปี้แบบเซกเมนต์ ร่วมกับแพกเกจซูเปอร์จิ๋ว ช่วยให้ลูกค้าพรีเพดหันมาใช้งานบริการเสริมมากขึ้น เพราะมีบริการให้เลือกหลากหลาย ที่คิดเป็นปริมาณการสมัครกว่า 100 ล้านครั้งต่อดือน”
บริการซูปเปอร์จิ๋วถือเป็นโปรโมชันเสริมในราคาเริ่มต้นที่ 5 บาท ให้ลูกค้ากดสมัครผ่านระบบอัตโนมัติเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ต โทร. แม้กระทั่งใช้งานเฟซบุ๊ก เนื่องจากดีแทคมั่นใจว่าลูกค้าในระบบดีแทคมีการใช้งานเฟซบุ๊กผ่านโทรศัพท์มือถือมากที่สุดด้วยส่วนแบ่งกว่า 40% จาก ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กผ่านโทรศัพท์มือถือ 10 ล้านราย
ค่ารักษาเลขหมาย 1 บาทเหมาะสมแล้ว
นายปกรณ์กล่าวถึงเรื่องการยื่นข้อเสนอ กสทช. ในประเด็นของการขอเก็บค่ารักษาเลขหมาย 1 บาทต่อวันกรณีลูกค้าไม่มีการใช้งานต่อเนื่องเกิน 30 วันว่า ทางดีแทคก็ได้มีการยื่นเรื่องดังกล่าวไปยัง กสทช.เช่นเดียวกัน เพียงแต่เอไอเอสอาจมีการยื่นก่อน จึงทำให้ข่าวที่ออกมามีเพียงแต่เอไอเอสเท่านั้น ซึ่งในประเด็นนี้มองว่า กสทช.ควรต้องคำนึงถึงค่าบำรุงรักษาเลขหมายในระบบด้วย ไม่ใช่คิดเฉพาะค่าเลขหมายที่จ่ายให้แก่ กสทช.
โดยการเก็บค่ารักษาเลขหมาย มีขึ้นเพื่อช่วยลดปริมาณหมายเลขในตลาด เพราะพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคชาวไทยจะนิยมเปลี่ยนซิมใหม่ ส่วนซิมเก่าก็ทิ้งไว้ ดังนั้นในการคิดบริการค่ารักษาเลขหมายจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อไม่มีการใช้งานเกิน 30 วัน ดังนั้นถ้าลูกค้ายังมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องก็จะไม่มีการคิดค่าบริการดังกล่าวแต่อย่างใด
“การขอเก็บค่ารักษาเลขหมายก็เป็นเหมือนข้อกำหนด ที่ช่วยให้ลูกค้าที่ไม่ใช้งานปิดเบอร์ และนำเบอร์กลับมาให้บริการลูกค้ารายอื่นต่อไปแทน เป็นการช่วยรักษาทรัพยากรของชาติด้วยเช่นเดียวกัน และเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วก็จะมีข้อยุติออกมา”
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9560000031110
__________________________________________
กทค. ย้ำเดินหน้าแก้ปัญหาพรีเพดเน้นประโยชน์ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้า
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกฎหมายในกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า
การแก้ไขปัญหาบัตรเติมเงิน (พรีเพด) นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่คาราคาซังมาตั้งแต่ยุค กทช.ก็ยังแก้ปัญหาในเรื่องนี้ไม่สำเร็จ พอมาถึงยุคกสทช. โดย กทค.ได้เดินหน้าฝ่ากระแสจนให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยที่ผ่านมามีแต่คนบ่นแต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องบัตรเติมเงินได้ เงื่อนไขใหม่ทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้าได้ประโยชน์ เงินที่เติมเข้าไปแม้จะมีจำนวนน้อยเท่าไรก็ตามก็จะได้วันสะสมอย่างน้อย 30 วัน ทำให้ไม่มีช่องว่างระหว่างคนจนคนรวย เงื่อนไขใหม่ที่ออกมาเพื่อกำกับผู้ประกอบการทั้งสามรายดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากกทค. โดยมติเอกฉันท์ ซึ่งสามารถตรวจสอบจากรายงานการประชุมได้ ซึ่งแนวทางดังกล่าวอาจไม่ถูกใจทุกคน แต่มั่นใจว่าเป็นประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่
การที่มีกลุ่มบางกลุ่มมายื่นคำร้องแสดงความไม่พอใจ ซึ่งเป็นกลุ่มเดิมที่มีความเห็นแตกต่างจากวิธีการแก้ปัญหาของกทค. ในเรื่องพรีเพดนั้น หลายเรื่องเกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เช่น ที่ระบุว่ามีข้อเสนอให้กำหนดเวลาขั้นต่ำ 60 วัน ต่อการเติมเงินทุกมูลค่า แต่กทค.กลับไปเลือกเงื่อนไขที่แย่กว่านั้น ขอชี้แจงว่าแท้จริงแล้วเป็นข้อเสนอให้ใช้กับบางโปรโมชั่นเท่านั้น ไม่ได้บังคับกับทุกโปรโมชั่น อีกทั้งผู้ประกอบการบางรายมีข้อโต้แย้ง จึงทำให้มีปัญหาต่อการนำมากำหนดเป็นเงื่อนไข รวมทั้งการที่อ้างว่า กทค. มีมติกำหนดระยะเวลาใช้บริการพรีเพด 30 วัน และขัดต่อข้อ 34 ของประกาศฯ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะมติของ กทค.เพียงกำหนดเงื่อนไขมาตรฐานขั้นต่ำว่า การเติมเงินทุกมูลค่าทุกโปรโมชั่นต้องได้วันสะสมอย่างน้อย 30 วัน ซึ่งมิได้ไปจำกัดวันใช้เพียง 30 วัน ตามที่ผู้เรียกร้องเข้าใจ ทั้งยังระบุในเงื่อนไขชัดเจนว่ากรณีผู้ใช้บริการมีเงินค้างชำระต้องเป็นไปตามข้อ 34 ของประกาศฯ
นอกจากนี้แนวคิดต่างๆที่เสนอมาในข้อเรียกร้องเป็นเรื่องเดิมที่เคยเสนอมาเมื่อครั้งที่ กทช. พยายามแก้ไขปัญหา โดยจัดประชุมหลายครั้งเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งกลุ่มผู้ร้องเรียนได้เคยเสนอความเห็นในเรื่องนี้มาแล้ว แต่เมื่อกทค.และสำนักงาน กสทช.นำมาประมวลกับแนวคิดอื่นๆแล้วเห็นว่ายังมีจุดอ่อนและไม่เป็นที่ยอมรับ รวมทั้งบางประเด็นก็สุ่มเสี่ยงต่อการขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย จึงไม่สามารถผลักดันแนวคิดดังกล่าวเป็นเงื่อนไขในการกำกับดูแลได้
เมื่อวิเคราะห์แล้วการยืนกรานที่จะใช้กติกาที่ห้ามบัตรเติมเงินหมดอายุสถานเดียวหรือไปให้หักเงินในระบบได้เดือนละ 2 บาท หากไม่ใช้บริการภายในกำหนดนั้น ไม่สอดคล้องกับกฎหมายและไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องบัตรพรีเพดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งจะทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้าเสียประโยชน์ เนื่องจากข้อเรียกร้องไม่เป็นที่ยอมรับและไม่สามารถปฏิบัติได้ ทั้งนี้ กทค. เคารพในความแตกต่างของความเห็นและพร้อมที่จะรับฟังตลอดจนยินดีที่จะชี้แจงให้เกิดความเข้าใจ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าขณะเดียวกัน กทค. ก็ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้บริโภคหลายกลุ่มที่เห็นว่าการดำเนินการของกทค. ในการแก้ไขปัญหาเรื่องพรีเพดนั้นเดินมาถูกทางแล้ว จึงขอยืนยันว่า กทค. ได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาโดยใช้ดุลพินิจอย่างรอบคอบและถือว่าทุกเสียงของผู้บริโภคเป็นเสียงสวรรค์ ซึ่ง กทค.จะก้าวต่อไปโดยไม่ท้อถอยและจะมุ่งมั่นในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้บริโภคอย่างแท้จริง
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content