...คุณทำอะไรในวันสุดท้ายของปี?
เคานต์ดาวน์กับคนรัก เมากับเพื่อน อยู่บ้านดูทีวี สวดมนต์ข้ามปี ร้องไห้ข้ามปี เดินเหงา ๆ ท่ามกลางผู้คนมากมาย
ยืนดูพลุปีใหม่กับคนแปลกหน้า สิ่งเหล่านี้ฉันผ่านมาหมดแล้ว แต่ปีนี้เป็นปีแรกในชีวิตที่จะใช้เวลาช่วงส่งท้ายปีเก่า
ต้อนรับปีใหม่ไปปลีกวิเวก ...ในสำนักวิปัสสนา
เป็นเวลานานกว่าห้าปีแล้วที่ฉันเริ่มสนใจพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ทั้งฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ
เข้าวัดบ้างตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวย แต่ไม่ว่าจะศึกษาอย่างหนักหน่วงเพียงไรมันกลับทำให้รู้สึกเหมือน
กำลังเรียนว่ายน้ำโดยการอ่านหนังสือ ถ้าไม่กระโดดลงน้ำจะว่ายน้ำเป็นได้อย่างไร
และเมื่อคิดที่จะลงทะเบียนเรียนภาคปฏิบัติ ฉันก็คิดถึงหลักสูตรวิปัสสนาอันโด่งดังตามแนวทางของท่านโกเอ็นก้า
เชื่อว่าผู้สนใจการปฏิบัติธรรม 9 ใน 10 คน ต้องรู้จักคอร์สวิปัสสนาที่ท่านเปิดสอนเป็นแน่
ตัวฉันเองได้รู้จักคอร์สนี้จากญาติธรรมชาวศรีลังกา เราบังเอิญไปถือศีลแปดที่วัดอมราวดีในช่วงเวลาเดียวกัน
หลังจากนั้นก็ได้ยินเพื่อนฝูงผู้ฝักใฝ่ธรรมะพูดถึงคอร์สนี้อีกเป็นระยะ ๆ
ฉันตั้งใจเอาไว้นานแล้วว่าอยากมีโอกาสมาปฏิบัติธรรมที่สำนักนี้ แม้ใคร ๆ จะว่ากันว่ายาก ไม่ให้พูดกับใครตั้งสิบวัน
สำหรับฉันเรื่องนั้นไม่น่ายากสักนิดเลย ไม่ต้องพูดก็ดีเหมือนกัน ... ส่วนเรื่องยากสุด ๆ ซึ่งไม่มีผู้ใดเคยบอกไว้
ฉันมาค้นพบเอาเองภายหลัง
หลักสูตรสำหรับศิษย์ใหม่ถอดด้ามผู้ไม่เคยผ่านการอบรมตามแนวทางนี้มาก่อนนั้นยาวนานถึงสิบวัน
เป็นโชคดีที่ฉันสามารถไปปฏิบัติธรรมได้โดยไม่ต้องยื่นใบลา
เนื่องจากวางแผนลาออกจากงานและย้ายรกรากกลับประเทศไทยช่วงต้นเดือนธันวาคมพอดี
ดังนั้นจึงมีเวลาว่างเหลือเฟือช่วงเวลาระหว่างวันที่ 26 ธันวา ถึง 6 มกรา และเพื่อเป็นการไม่ประมาท
ฉันได้ลงทะเบียนล่วงหน้ายาวนานถึงครึ่งปี ก็คอร์สนี้น่ะหาที่ลงได้ง่าย ๆ ซะเมื่อไร
วันที่ 26 ธันวาคม 2555 เวลาประมาณบ่ายสี่โมงชาวคณะที่เดินทางมาด้วยกันในรถบัสคันใหญ่
ก็มาถึงสำนักปฏิบัติวิปัสสนา “ธรรมอาภา ” จ.พิษณุโลก กิจกรรมเริ่มแรกหลังจากลงทะเบียนเสร็จสิ้น
คือการฝากของมีค่าทุกสิ่งรวมทั้งโทรศัพท์มือถือไว้ในล๊อคเกอร์ ในตอนแรกฉันคิดจะเก็บโทรศัพท์เอาไว้กับตัว
ไม่ได้อยากจะโทรคุยกับใครเป็นพิเศษ แต่การมีโทรศัพท์พร้อมใช้งานเอาไว้ใกล้ตัวทำให้อุ่นใจกว่า
เหมือนจะมีคนรู้ว่าฉันกำลังวางแผนอะไรอยู่ในใจ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งประกาศว่าใครก็ตามที่โดนจับได้ว่า
เก็บโทรศัพท์เอาไว้กับตัวจะถูกเชิญให้ออกไปจากการอบรมทันที ฉันนั่งรถบัสมาจากกรุงเทพฯ พร้อมกับชาวคณะ
ถ้าเขาเชิญให้กลับบ้านไปก่อนแล้วฉันจะทำอย่างไร สำนักปฏิบัติก็อยู่ในหลืบป่าเขาซะขนาดนี้
พอคิดถึงความยากลำบากในการเดินทางกลับจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนใจ ฝากโทรศัพท์ไว้กับเขา
และในวินาทีที่วางโทรศัพท์ไว้ในตู้ล็อคเกอร์ฉันก็ได้ทำการตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอกเรียบร้อยแล้ว
เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาตุ่ย ๆ เพราะในระหว่างสิบวันนี้หากมีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้น
ฉันจะไม่มีวันล่วงรู้ได้เลย
ต่อมาพวกเราได้รับเบอร์ห้องนอน ทุกห้องนอนไม่มีล๊อคจึงไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจ
เพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าทำไมต้องให้ฝากของมีค่าเอาไว้ในล๊อคเกอร์ ห้องนอนของฉันคือเบอร์ B 12
เรือนนอน B และ A ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงทาน มีลักษณะเป็นเรือนนอนหลังใหญ่ มีห้องซอยย่อย ๆ
เรียงติดกันจำนวนฝั่งละสิบกว่าห้อง ภายในห้องพักมีขนาดกว้างเท่าแขนกาง มีอุปกรณ์ที่ห้องนอนทั่ว ๆ ไปควรมีได้แก่
ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ผ้าปูเตียง พัดลมตั้งโต๊ะ นอกจากนี้ยังมีจานหลุมและแก้วน้ำแจกให้ห้องละหนึ่งชุด
เราใช้ห้องน้ำรวมซึ่งมีอยู่หลายห้องและแลดูสะอาดสะอ้าน แถมมีน้ำอุ่นอีกต่างหาก
ในชั่วโมงปฐมนิเทศนอกจากได้รับทราบกฎระเบียบต่าง ๆ ของทางสำนักแล้ว พวกเราได้รับการแนะนำให้รู้จัก “ธรรมบริกร”
กลุ่มอาสาสมัครซึ่งล้วนเคยผ่านการอบรมมาแล้ว ในวันนี้พวกเขาเสียสละทั้งเวลาและแรงกายมาทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ปฏิบัติคนอื่น ๆ
ธรรมบริกรดูแลความเป็นอยู่ของพวกเราทุกเรื่อง นอกจากนี้ยังรับผิดชอบเรื่องทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะและ
ล้างห้องน้ำทุกห้องอีกด้วย ในบรรดาธรรมะบริกรจำนวนสิบกว่าคน มีผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งที่ฉันรู้สึกคุ้นมากแต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร
ภายหลังทราบมาว่าเธอเป็นอดีตดาราช่องสาม
จำนวนของผู้เข้ารับการอบรมในรอบนี้ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ใหม่รวมกันน่าจะอยู่ที่ประมาณเกือบเจ็ดสิบคน
ไม่รวมพระภิกษุอีกสี่รูป ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปเราต้องหยุดการพูดคุย ไม่สัมผัสถูกเนื้อต้องตัวกัน
ไม่มีการสื่อสารกันไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตามอย่างไรก็ดีเราได้รับอนุญาตให้พูดกับธรรมบริกรได้หากต้องการความช่วยเหลือ
การปฏิบัติธรรมและถือศีลครั้งที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของฉันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หวังว่าจะได้อานิสงส์ผลบุญจากการมาปฏิบัติกลับบ้านไปบ้างไม่มากก็น้อย
เรื่องราวต่อไปนี้คือบันทึกความทรงจำจากการวิปัสสนาทั้งสิบวันของฉัน...
บันทึกของนักวิปัสสนามือใหม่ (ตามแนวทางของท่านโกเอ็นก้า)
เคานต์ดาวน์กับคนรัก เมากับเพื่อน อยู่บ้านดูทีวี สวดมนต์ข้ามปี ร้องไห้ข้ามปี เดินเหงา ๆ ท่ามกลางผู้คนมากมาย
ยืนดูพลุปีใหม่กับคนแปลกหน้า สิ่งเหล่านี้ฉันผ่านมาหมดแล้ว แต่ปีนี้เป็นปีแรกในชีวิตที่จะใช้เวลาช่วงส่งท้ายปีเก่า
ต้อนรับปีใหม่ไปปลีกวิเวก ...ในสำนักวิปัสสนา
เป็นเวลานานกว่าห้าปีแล้วที่ฉันเริ่มสนใจพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ทั้งฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ
เข้าวัดบ้างตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวย แต่ไม่ว่าจะศึกษาอย่างหนักหน่วงเพียงไรมันกลับทำให้รู้สึกเหมือน
กำลังเรียนว่ายน้ำโดยการอ่านหนังสือ ถ้าไม่กระโดดลงน้ำจะว่ายน้ำเป็นได้อย่างไร
และเมื่อคิดที่จะลงทะเบียนเรียนภาคปฏิบัติ ฉันก็คิดถึงหลักสูตรวิปัสสนาอันโด่งดังตามแนวทางของท่านโกเอ็นก้า
เชื่อว่าผู้สนใจการปฏิบัติธรรม 9 ใน 10 คน ต้องรู้จักคอร์สวิปัสสนาที่ท่านเปิดสอนเป็นแน่
ตัวฉันเองได้รู้จักคอร์สนี้จากญาติธรรมชาวศรีลังกา เราบังเอิญไปถือศีลแปดที่วัดอมราวดีในช่วงเวลาเดียวกัน
หลังจากนั้นก็ได้ยินเพื่อนฝูงผู้ฝักใฝ่ธรรมะพูดถึงคอร์สนี้อีกเป็นระยะ ๆ
ฉันตั้งใจเอาไว้นานแล้วว่าอยากมีโอกาสมาปฏิบัติธรรมที่สำนักนี้ แม้ใคร ๆ จะว่ากันว่ายาก ไม่ให้พูดกับใครตั้งสิบวัน
สำหรับฉันเรื่องนั้นไม่น่ายากสักนิดเลย ไม่ต้องพูดก็ดีเหมือนกัน ... ส่วนเรื่องยากสุด ๆ ซึ่งไม่มีผู้ใดเคยบอกไว้
ฉันมาค้นพบเอาเองภายหลัง
หลักสูตรสำหรับศิษย์ใหม่ถอดด้ามผู้ไม่เคยผ่านการอบรมตามแนวทางนี้มาก่อนนั้นยาวนานถึงสิบวัน
เป็นโชคดีที่ฉันสามารถไปปฏิบัติธรรมได้โดยไม่ต้องยื่นใบลา
เนื่องจากวางแผนลาออกจากงานและย้ายรกรากกลับประเทศไทยช่วงต้นเดือนธันวาคมพอดี
ดังนั้นจึงมีเวลาว่างเหลือเฟือช่วงเวลาระหว่างวันที่ 26 ธันวา ถึง 6 มกรา และเพื่อเป็นการไม่ประมาท
ฉันได้ลงทะเบียนล่วงหน้ายาวนานถึงครึ่งปี ก็คอร์สนี้น่ะหาที่ลงได้ง่าย ๆ ซะเมื่อไร
วันที่ 26 ธันวาคม 2555 เวลาประมาณบ่ายสี่โมงชาวคณะที่เดินทางมาด้วยกันในรถบัสคันใหญ่
ก็มาถึงสำนักปฏิบัติวิปัสสนา “ธรรมอาภา ” จ.พิษณุโลก กิจกรรมเริ่มแรกหลังจากลงทะเบียนเสร็จสิ้น
คือการฝากของมีค่าทุกสิ่งรวมทั้งโทรศัพท์มือถือไว้ในล๊อคเกอร์ ในตอนแรกฉันคิดจะเก็บโทรศัพท์เอาไว้กับตัว
ไม่ได้อยากจะโทรคุยกับใครเป็นพิเศษ แต่การมีโทรศัพท์พร้อมใช้งานเอาไว้ใกล้ตัวทำให้อุ่นใจกว่า
เหมือนจะมีคนรู้ว่าฉันกำลังวางแผนอะไรอยู่ในใจ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งประกาศว่าใครก็ตามที่โดนจับได้ว่า
เก็บโทรศัพท์เอาไว้กับตัวจะถูกเชิญให้ออกไปจากการอบรมทันที ฉันนั่งรถบัสมาจากกรุงเทพฯ พร้อมกับชาวคณะ
ถ้าเขาเชิญให้กลับบ้านไปก่อนแล้วฉันจะทำอย่างไร สำนักปฏิบัติก็อยู่ในหลืบป่าเขาซะขนาดนี้
พอคิดถึงความยากลำบากในการเดินทางกลับจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนใจ ฝากโทรศัพท์ไว้กับเขา
และในวินาทีที่วางโทรศัพท์ไว้ในตู้ล็อคเกอร์ฉันก็ได้ทำการตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอกเรียบร้อยแล้ว
เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาตุ่ย ๆ เพราะในระหว่างสิบวันนี้หากมีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้น
ฉันจะไม่มีวันล่วงรู้ได้เลย
ต่อมาพวกเราได้รับเบอร์ห้องนอน ทุกห้องนอนไม่มีล๊อคจึงไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจ
เพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าทำไมต้องให้ฝากของมีค่าเอาไว้ในล๊อคเกอร์ ห้องนอนของฉันคือเบอร์ B 12
เรือนนอน B และ A ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงทาน มีลักษณะเป็นเรือนนอนหลังใหญ่ มีห้องซอยย่อย ๆ
เรียงติดกันจำนวนฝั่งละสิบกว่าห้อง ภายในห้องพักมีขนาดกว้างเท่าแขนกาง มีอุปกรณ์ที่ห้องนอนทั่ว ๆ ไปควรมีได้แก่
ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ผ้าปูเตียง พัดลมตั้งโต๊ะ นอกจากนี้ยังมีจานหลุมและแก้วน้ำแจกให้ห้องละหนึ่งชุด
เราใช้ห้องน้ำรวมซึ่งมีอยู่หลายห้องและแลดูสะอาดสะอ้าน แถมมีน้ำอุ่นอีกต่างหาก
ในชั่วโมงปฐมนิเทศนอกจากได้รับทราบกฎระเบียบต่าง ๆ ของทางสำนักแล้ว พวกเราได้รับการแนะนำให้รู้จัก “ธรรมบริกร”
กลุ่มอาสาสมัครซึ่งล้วนเคยผ่านการอบรมมาแล้ว ในวันนี้พวกเขาเสียสละทั้งเวลาและแรงกายมาทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ปฏิบัติคนอื่น ๆ
ธรรมบริกรดูแลความเป็นอยู่ของพวกเราทุกเรื่อง นอกจากนี้ยังรับผิดชอบเรื่องทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะและ
ล้างห้องน้ำทุกห้องอีกด้วย ในบรรดาธรรมะบริกรจำนวนสิบกว่าคน มีผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งที่ฉันรู้สึกคุ้นมากแต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร
ภายหลังทราบมาว่าเธอเป็นอดีตดาราช่องสาม
จำนวนของผู้เข้ารับการอบรมในรอบนี้ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ใหม่รวมกันน่าจะอยู่ที่ประมาณเกือบเจ็ดสิบคน
ไม่รวมพระภิกษุอีกสี่รูป ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปเราต้องหยุดการพูดคุย ไม่สัมผัสถูกเนื้อต้องตัวกัน
ไม่มีการสื่อสารกันไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตามอย่างไรก็ดีเราได้รับอนุญาตให้พูดกับธรรมบริกรได้หากต้องการความช่วยเหลือ
การปฏิบัติธรรมและถือศีลครั้งที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของฉันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หวังว่าจะได้อานิสงส์ผลบุญจากการมาปฏิบัติกลับบ้านไปบ้างไม่มากก็น้อย
เรื่องราวต่อไปนี้คือบันทึกความทรงจำจากการวิปัสสนาทั้งสิบวันของฉัน...