“ธาริต” เผย “สุขุมพันธ์” ยันรับทราบข้อหาผิดพ.ร.บ.พรรคการเมืองพรุ่งนี้




“ธาริต” เผย “สุขุมพันธ์” ยันมารับทราบข้อหาผิดพ.ร.บ.พรรคการเมืองด้วยพรุ่งนี้ด้วยตัวเองแน่นอน ปฏิเสธกลั่นแกล้งทางการเมือง ชี้แค่ผิดด้านเทคนิค แต่ต้องให้ศาลตัดสิน
วันนี้ (13 มี.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)  นายธาริต  เพ็งดิษฐ์  อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงการสอบสวนคดีการจ่ายเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองให้กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยวิธีการให้สภาผู้แทนราษฎรหักเงินเดือน ส.ส.เข้าบัญชีพรรค ซึ่งดีเอสไอได้ออกหมายเรียกให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์  บริพัตร  ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม.  เข้ารับทราบข้อกล่าวหาด้วยนั้น  ล่าลุดได้รับการยืนยันแล้วว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะเดินทางมาวันพรุ่งนี้(14 มี.ค.) เวลา 09.30 น.เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง  2550 มาตรา 57 วรรค 2 ซึ่งระบุว่า การบริจาคแก่พรรคการเมืองตั้งแต่สองหมื่นบาทขึ้นไป จะต้องบริจาคโดยวิธีการสั่งจ่ายเป็นตั๋วแลกเงิน หรือเช็คขีดคร่อมด้วยตนเอง โดยเบื้องต้นมีผู้เข้าข่ายถูกแจ้งข้อหา 48 คน รวมถึงนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้รับทราบข้อหาไปแล้ว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นรายที่ 2 ที่เรียกรับทราบข้อกล่าวหา ส่วนอีก 46  คนที่เหลือต้องรอปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 20 เม.ย.  ทั้งนี้ ตนเข้าใจว่าคดีดังกล่าวไม่ใช่การเป็นอาชญากรร้ายแรงแต่เมือมีข้อกฎหมายกำหนดชัดก็ต้องทำให้ถูกต้อง  เพื่อให้มีที่มาที่ไป เรื่องนี้อาจเป็นความผิดที่เรียกว่าด้านเทคนิค โดยตนขอยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งม.ร.ว.สุขุมพันธุ์

“การหักบัญชีเงินเดือนเข้าพรรคครั้งนี้ดีเอสไอจึงเห็นไม่ถูกต้องและสมควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อให้พิสูจน์ถูกผิดโดยศาล  การด่วนตัดสินเป็นการตัดตอนยุติธรรม ดีเอสไอไม่ได้หาเรื่องใคร แต่เมื่อมีการร้องเรียนก็ต้องทำหน้าที่  เพื่อส่งอัยการตรวจสอบถ่วงดุลชี้ผิดถูก หากไม่ผิดก็ให้ยุติเรื่องไป” นายธาริต กล่าว

ด้าน พ.ต.อ.นิรันดร์  อดุลยาศักดิ์  ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 1 กล่าวว่า  บุคคลที่เข้าข่ายต้องเรียกเข้าแจ้งข้อหาในคดีดังกล่าวส่วนใหญ่คือ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อทั้งหมด รวมถึงนายชวน หลีกภัย  นายบัญญัติ  บรรทัดฐาน ด้วย อย่างไรก็ตาม นอกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้วยังพบว่าพรรคภูมิใจไทยก็ใช้วิธีหักเงินเดือนส.ส.เข้าพรรคเช่นกัน  แต่ไม่เข้าข่ายเป็นความผิดพ.ร.บ.พรรคการเมือง เพราะหักไม่เกิน 2 หมื่นบาท  สำหรับโทษในกรณีดังกล่าวมีตั้งแต่จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ที่ให้แก่พรรคการเมืองหรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีด้วย.


ขอขอบคุณ

http://www.dailynews.co.th/politics/190395
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่