คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ใช้หลักพระธรรม 7 ประการ ได้นะครับ ลองนำไปใช้ดูได้ครับ
1. พูดกับพระเจ้า ก่อนที่จะพูดกับมนุษย์
ให้เรานำเรื่องนี้ร้องทูลต่อพระเจ้าก่อน หากท่านจะนำเรื่องความขัดแย้งนี้ทูลต่อพระเจ้าก่อนที่จะเอาไปนินทาให้เพื่อนๆ ฟัง ท่านจะพบว่าหลายต่อหลายครั้ง พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนแปลงใจของท่าน หรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงอีกคนหนึ่งก่อนที่คุณจะช่วยอะไรซะอีก ความสัมพันธ์ของคุณจะเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้นหากคุณใช้เวลาอธิษฐานมากขึ้น
ดังเดวิดได้ทำในพระธรรมสดุดีคือ ใช้การอธิษฐานเป็นการระบายต่อเบื้องบน บอกพระเจ้าถึงความหงุดหงิดใจของคุณ ร้องทูลพระองค์ พระองค์ไม่เคยที่จะตกใจ หรือเสียใจต่อความโกรธ ความเจ็บปวด ความอ่อนไหว หรืออารมณ์ต่างๆ ของคุณ ดังนั้นจงบอกพระองค์ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของคุณ
ความขัดแย้งหลายอย่างมีรากขมขื่นมาจากความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง และความต้องการบางอย่างนั้นต้องถูกเติมเต็มโดยพระเจ้าเท่านั้น เมื่อเราคาดหวังในใครสักคน เพื่อน คู่ครอง ศิษยาภิบาล สมาชิกในครอบครัว ให้พวกเขาตอบสนองความคาดหวังของคุณซึ่งมีพระเจ้าผู้เดียวที่จะช่วยได้นั้น นั่นคือการตั้งความหวังของคุณไว้เพื่อความผิดหวัง หรือความขมขื่นเท่านั้นเอง ไม่มีใคร หรือผู้ใดสามารถตอบสนองทุกความต้องการของคุณได้นอกจากพระเจ้า
ท่านยากอบได้บันทึกไว้ว่า ความขัดแย้งของเราหลายครั้งเกิดจากการขาดการอธิษฐาน “อะไรเป็นสาเหตุของสงครามและการทะเลาะวิวาทกันในพวกท่าน มิใช่ราคะตัณหาของท่านหรือที่ต่อสู้กันในอวัยวะของท่าน ท่านทั้งหลายอยากได้ แต่ไม่ได้ ท่านก็ฆ่ากัน ท่านโลภแต่ไม่ได้ ท่านก็ทะเลาะและทำสงครามกัน ที่ท่านไม่มีเพราะท่านไม่ได้ขอ “ (ยากอบ 4:1-2) แทนที่จะมองที่พระเจ้า เรากับมองที่พี่น้อง และเมื่อเขาทำให้เราผิดหวัง เราก็โกรธกัน พระองค์ตรัสว่า “ทำไม่ท่านไม่มาหาเราก่อนเล่า”
2. จงเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเสมอ
มันไม่สำคัญว่า ท่านเป็นฝ่ายกระทำ หรือถูกกระทำ พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายหนึ่งมาหาก่อน แต่จงไปหาเขา การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนั้นจำเป็น และสำคัญมาก พระเยซูได้สั่ง และให้ความสำคัญไว้เหนือกว่าการนมัสการเสียอีก พระองค์บอกว่า “เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน “ (มัทธิว 5:23-24)
เมื่อสามัคคีธรรมดูท่าว่าจะตรึงเครียด หรือแตกหัก ให้รีบวางแผนประชุมสมานฉันท์ทันที อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง แก้ตัว หรือคิดว่าจะจัดการไม่วันใดก็วันหนึ่ง รีบนัดเจอกันให้เร็วที่สุด ยิ่งช้าก็ยิ่งเพิ่มความขุ่นเคืองมากขึ้น หรือทำให้เรื่องมันเลวร้ายลงไปอีก เมื่อมีความขัดแย้งนั้น เวลาไม่ได้ช่วยรักษาอะไรเลย รังแต่จะบ่มพิษไว้
การจัดการอย่างรวดเร็วยังเป็นการลดความเสียหายฝ่ายวิญญาณให้ตัวท่านเองด้วย ในพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ความบาป ซึ่งรวมถึงการไม่แก้ไขความขัดแย้งนั้น จะขวางกั้นการสามัคคีธรรมระหว่างเรากับพระเจ้า และจะให้คำอธิษฐานของเราไม่ได้รับคำตอบ มิหน่ำซ้ำยังเพิ่มความทุกข์ให้กับเราด้วย เพื่อนของโยบได้เตือนว่า “แน่ละ ความโกรธฆ่าคนโฉดและความริษยาฆ่าคนเขลา “ (โยบ 5:2) และ
“ท่านผู้ฉีกตัวของท่านด้วยความโกรธของท่าน “ (โยบ 18:4)
ความสำเร็จของการพบเพื่อสมานฉันท์นั้น ขึ้นอยู่กับการเลือกเวลา และสถานที่ อย่าพบกันในเวลาที่คุณอ่อนล้า หรือต้องเร่งรีบ หรือที่อาจถูกรบกวนได้ เวลาที่ดีที่สุดคือ เวลาที่ทั้งสองฝ่ายสบายที่สุด
3. เอาใจเขามาใส่ใจเรา (เห็นอกเห็นใจต่อความรู้สึกของเขา)
จงใช้หูของท่านมากกว่าปากของท่าน ก่อนที่จะพยายามเข้าไปแก้ปัญหาความขัดแย้ง คุณต้องฟังความรู้สึกของคนก่อนเป็นอันดับแรก อ.เปาโลได้แนะนำว่า “อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย “ (ฟิลิปปี 2:4) คำว่า “จงเห็น” ในพระธรรมตอนนี้ ภาษากรีกใช้คำว่า “skopos” ซึ่งเป็นรากศัพท์ของว่า “ telescope – กล้องส่องทางไกล” และ “microscope-กล้องจุลทรรศน์” ซึ่งต่างก็หมายถึงต้องมองใกล้ๆ ให้ชัดเจนอย่างตั้งใจ ดังนั้น โปรดเพ่งพินิจที่ความรู้สึกของพวกเขา ไม่ใช่เรื่องราวที่เกิดขึ้น จงเริ่มด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่การหาข้อสรุป
อย่าพยายามพูดตัดบทเมื่อคนเริ่มพูดถึงความรู้สึกของตน แค่ฟัง และให้เขาได้ระบายอารมณ์ความรู้สึกของเขาออกมาโดยที่คุณไม่ต้องแก้ตัว หรือปกป้องตัวเอง พยักหน้ารับฟัง แม้คุณจะไม่เห็นด้วยก็ตาม ความรู้สึกอาจไม่ถูกต้อง หรือเป็นจริงเสมอไป ที่จริงแล้ว ความขุ่นเคืองทำให้เราแสดงออก หรือคิดอย่างโง่เขลา กษัตริย์ดาวิดยอมรับว่า “เมื่อจิตใจของข้าพระองค์ขมขื่น เมื่อข้าพระองค์เสียวแปลบถึงหัวใจ ข้าพระองค์โฉดและไม่เดียงสา ข้าพระองค์ประพฤติเหมือนสัตว์ต่อพระพักตร์พระองค์ “ (สดุดี 73: 21-22) เราต่างทำตัวผิดแปลกไปเมื่อเราเจ็บปวด
ในทางตรงกันข้าม พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “สามัญสำนึกที่ดีกระทำให้คนโกรธช้า และที่มองข้ามการละเมิดไปเสียก็เป็นสง่าราศีแก่เขา “ (สุภาษิต 19:11) ความอดทนนั้นมาจากสามัญสำนึกที่ดี (wisdom - สติปัญญา) และสติปัญญามาจากการได้ฟังมุมมองของผู้อื่น คนฟังพูดว่า “เราให้ความสำคัญต่อความคิดของคุณ เราแคร์ความสัมพันธ์ของเรา และคุณสำคัญต่อฉัน” มีคำประพันธ์ว่าไว้ว่า “ คนจะไม่สนใจว่าคุณรู้อะไร จนกว่าเขาจะรู้ว่าคุณสนใจ
การสานสัมพันธ์นั้น เราต้องแบกภาระแห่งการเอาใจเขามาใส่ใจเรา “เราทุกคนจงกระทำให้เพื่อนบ้านพอใจ เพื่อนำประโยชน์และความเจริญมาให้เขา “ (โรม 15:2) มันคือการยอมเสียสละที่จะรับเอาความโกรธของผู้อื่นด้วยความอดทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความโกรธนั้นไม่มีเหตุผล แต่จงจำไว้ว่า นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทำเพื่อเรา พระองค์อดทนต่อความผิดที่ไร้ความเป็นธรรม ทนต่อความมาดร้าย ความโกรธแค้น เพื่อช่วยเราให้รอด พระคริสต์มิได้ทรงปล่อยตนไปตามความรู้สึกของพระองค์เอง ... ดังที่กล่าวไว้ว่า “เพราะว่าพระคริสต์ก็มิได้ทรงกระทำสิ่งที่พอพระทัยพระองค์ ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า `คำพูดเยาะเย้ยของบรรดาผู้ที่เยาะเย้ยพระองค์ ตกอยู่แก่ข้าพระองค์“ (โรม 15:3)
4. สารภาพความขัดแย้งในส่วนของตน
หากท่านจริงจังกับการคืนดี ท่านควรเริ่มต้นด้วยการยอมรับความผิด หรือความบาปในส่วนของท่าน พระเยซูตรัสว่า มันเป็นหนทางที่จะทำให้เห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้น “จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้ “ (มัทธิว 7:5)
เราทุกคนต่างมีจุดที่มืดบอด คุณอาจจำต้องให้บุคคลที่สามมาช่วยคุณพิจารณาดูการกระทำของคุณก่อนที่คุณจะไปพบกับคนที่คุณมีปัญหาด้วย และขอให้พระเจ้าชี้ให้ท่านเห็นว่าในปัญหานี้ท่านผิดตรงไหน ถามพระองค์ว่า “ฉันคือตัวปัญหาหรือเปล่า? ฉันไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความจริงไหม? ฉันไม่ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่นหรือเปล่า หรือฉันคิดมากไป?” พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และความจริงไม่ได้อยู่ในเราเลย “ (1ยอห์น 1:8)
การสารภาพนั้นเป็นขุมพลังแห่งการคืนดี บ่อยครั้งที่การพยายามจัดการกับปัญหากับสร้างความเจ็บปวดมากขึ้นกว่าปัญหาเดิมที่มันมีอยู่ หากเราจะเริ่มต้นด้วยการถ่อมใจยอมรับความผิดของเรา มันจะลดระดับความโกรธของคู่กรณี และปลดเปลื้องการตอบโต้ออก เพราะเราต้องคิดว่าเราจะต้องแก้ตัว อย่าแก้ตัว หรือไม่สนใจต่อการต่อว่า แต่จงสัตย์ซื่อยอมรับต่อส่วนที่คุณเป็นปัญหา ยอมรับความผิดของคุณ และขอการยกโทษ
5. จัดการกับปัญหา ไม่ใช่จัดการกับคน
คุณจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้หากคุณใส่ใจกับการแก้ไขคำนินทา คุณต้องเลือกระหว่างสองอย่างนี้ พระคัมภีร์กล่าวว่า “คำตอบอ่อนหวานทำให้ความโกรธเกรี้ยวหันไปเสีย แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ “ (สุภาษิต 15:1) คุณไม่สามารถให้ปัญหาจบไปได้ หากคุณทำตัวไม่ยอมจบ ดังนั้นจงเลือกคำพูดของคุณอย่างฉลาด คำตอบที่อ่อนสุภาพนั้นดีกว่า คำเย้ยหยันถากถางแน่แท้
ในการแก้ปัญหานั้น คุณพูดอย่างไร (ท่าที) นั้นสำคัญกว่า คุณพูดว่าอะไร หากคุณพูดด้วยวาจาก้าวร้าว คุณจะได้รับความก้าวร้าวนั้นตอบ พระเจ้าตรัสว่า “คนใจฉลาดเรียกว่าเป็นคนมีความพินิจ และความหวานแห่งริมฝีปากเพิ่มความเรียนรู้ “ (สุภาษิต 16:21) คำด่า ถากถางไม่เคยได้ผลเลย
ในสมัยสงครามเย็น ทั้งสองฝ่ายต่างตกลงกันว่า จะไม่มีการใช้อาวุธบางประเภทที่มีผลร้ายแรง เพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ คุณต้องทำลายคลังอาวุธของคุณลง ไม่ว่าจะเป็น การด่าว่า การกลบเกลื่อน การเปรียบเทียบ การเย้ยหยัน การดูถูก และการถากถางต่างๆ อ.เปาโลได้สรุปไว้ว่า “อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดี และเป็นประโยชน์ให้เกิดความจำเริญเพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง “ (เอเฟซัส 4:29)
6. ให้ความร่วมมือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อ.เปาโลกล่าวไว้ว่า “ถ้าเป็นได้คือเรื่องที่ขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน “ (โรม 12:18) ความสงบสุขนั้นมีราคาของมันอยู่ บางครั้งเราต้องจ่ายด้วยความหยิ่งทะนงของเรา บ่อยครั้งที่ต้องจ่ายด้วยความเอาตนเองเป็นที่ตั้งของเรา ดังนั้นเราต้องแสดงความร่วมมือ พยายามที่จะประนีประนอม และพระเยซูคริสต์ตรัสว่า ท่านจะได้รับพระพร เมื่อท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นถึงความพยายามร่วมมือ มากกว่าพยายามประกาศสงคราม
7. เน้นให้เกิดการคืนดีกัน มากกว่าการหาข้อตกลง
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะ คาดหวังให้ทุกคนเห็นด้วยกับเราในทุกๆ เรื่อง การคืนดีนั้นเน้นที่ความสัมพันธ์ ในขณะที่การหาข้อตกลงเน้นที่ปัญหา เมื่อเราโฟกัสที่การคืนดีกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นจะไม่ค่อยสำคัญนัก และไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ของเราขึ้นใหม่ เมื่อเราไม่สามารถแก้ปัญหาความแตกต่างของเราได้ คริสเตียนมักมีความเห็นต่างกัน หรือไม่เห็นด้วยกันได้ แต่เราสามารถไม่เห็นด้วยกันได้ โดยไม่ต้องไม่ลงรอยกัน เพชรเม็ดเดียวกัน อาจดูไม่เหมือนกันหากมองต่างมุม พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ใช่ให้เป็นแบบเดียวกัน
แต่นั่นมิได้หมายความว่า เราจะไม่ต้องหาข้อสรุปร่วมกันเลย คุยอาจจะต้องปรึกษาหารือกันต่อ หรืออาจจะต้องมีการอภิปรายโต้ตอบกัน แต่ให้ทำอย่างมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การคืนดีกันหมายถึงการที่เราจะฝังความบาดหมางของเราไว้ไม่จำเป็นต้องเอารื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก
ที่มา : thaisermons
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
1. พูดกับพระเจ้า ก่อนที่จะพูดกับมนุษย์
ให้เรานำเรื่องนี้ร้องทูลต่อพระเจ้าก่อน หากท่านจะนำเรื่องความขัดแย้งนี้ทูลต่อพระเจ้าก่อนที่จะเอาไปนินทาให้เพื่อนๆ ฟัง ท่านจะพบว่าหลายต่อหลายครั้ง พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนแปลงใจของท่าน หรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงอีกคนหนึ่งก่อนที่คุณจะช่วยอะไรซะอีก ความสัมพันธ์ของคุณจะเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้นหากคุณใช้เวลาอธิษฐานมากขึ้น
ดังเดวิดได้ทำในพระธรรมสดุดีคือ ใช้การอธิษฐานเป็นการระบายต่อเบื้องบน บอกพระเจ้าถึงความหงุดหงิดใจของคุณ ร้องทูลพระองค์ พระองค์ไม่เคยที่จะตกใจ หรือเสียใจต่อความโกรธ ความเจ็บปวด ความอ่อนไหว หรืออารมณ์ต่างๆ ของคุณ ดังนั้นจงบอกพระองค์ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของคุณ
ความขัดแย้งหลายอย่างมีรากขมขื่นมาจากความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง และความต้องการบางอย่างนั้นต้องถูกเติมเต็มโดยพระเจ้าเท่านั้น เมื่อเราคาดหวังในใครสักคน เพื่อน คู่ครอง ศิษยาภิบาล สมาชิกในครอบครัว ให้พวกเขาตอบสนองความคาดหวังของคุณซึ่งมีพระเจ้าผู้เดียวที่จะช่วยได้นั้น นั่นคือการตั้งความหวังของคุณไว้เพื่อความผิดหวัง หรือความขมขื่นเท่านั้นเอง ไม่มีใคร หรือผู้ใดสามารถตอบสนองทุกความต้องการของคุณได้นอกจากพระเจ้า
ท่านยากอบได้บันทึกไว้ว่า ความขัดแย้งของเราหลายครั้งเกิดจากการขาดการอธิษฐาน “อะไรเป็นสาเหตุของสงครามและการทะเลาะวิวาทกันในพวกท่าน มิใช่ราคะตัณหาของท่านหรือที่ต่อสู้กันในอวัยวะของท่าน ท่านทั้งหลายอยากได้ แต่ไม่ได้ ท่านก็ฆ่ากัน ท่านโลภแต่ไม่ได้ ท่านก็ทะเลาะและทำสงครามกัน ที่ท่านไม่มีเพราะท่านไม่ได้ขอ “ (ยากอบ 4:1-2) แทนที่จะมองที่พระเจ้า เรากับมองที่พี่น้อง และเมื่อเขาทำให้เราผิดหวัง เราก็โกรธกัน พระองค์ตรัสว่า “ทำไม่ท่านไม่มาหาเราก่อนเล่า”
2. จงเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเสมอ
มันไม่สำคัญว่า ท่านเป็นฝ่ายกระทำ หรือถูกกระทำ พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายหนึ่งมาหาก่อน แต่จงไปหาเขา การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนั้นจำเป็น และสำคัญมาก พระเยซูได้สั่ง และให้ความสำคัญไว้เหนือกว่าการนมัสการเสียอีก พระองค์บอกว่า “เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน “ (มัทธิว 5:23-24)
เมื่อสามัคคีธรรมดูท่าว่าจะตรึงเครียด หรือแตกหัก ให้รีบวางแผนประชุมสมานฉันท์ทันที อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง แก้ตัว หรือคิดว่าจะจัดการไม่วันใดก็วันหนึ่ง รีบนัดเจอกันให้เร็วที่สุด ยิ่งช้าก็ยิ่งเพิ่มความขุ่นเคืองมากขึ้น หรือทำให้เรื่องมันเลวร้ายลงไปอีก เมื่อมีความขัดแย้งนั้น เวลาไม่ได้ช่วยรักษาอะไรเลย รังแต่จะบ่มพิษไว้
การจัดการอย่างรวดเร็วยังเป็นการลดความเสียหายฝ่ายวิญญาณให้ตัวท่านเองด้วย ในพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ความบาป ซึ่งรวมถึงการไม่แก้ไขความขัดแย้งนั้น จะขวางกั้นการสามัคคีธรรมระหว่างเรากับพระเจ้า และจะให้คำอธิษฐานของเราไม่ได้รับคำตอบ มิหน่ำซ้ำยังเพิ่มความทุกข์ให้กับเราด้วย เพื่อนของโยบได้เตือนว่า “แน่ละ ความโกรธฆ่าคนโฉดและความริษยาฆ่าคนเขลา “ (โยบ 5:2) และ
“ท่านผู้ฉีกตัวของท่านด้วยความโกรธของท่าน “ (โยบ 18:4)
ความสำเร็จของการพบเพื่อสมานฉันท์นั้น ขึ้นอยู่กับการเลือกเวลา และสถานที่ อย่าพบกันในเวลาที่คุณอ่อนล้า หรือต้องเร่งรีบ หรือที่อาจถูกรบกวนได้ เวลาที่ดีที่สุดคือ เวลาที่ทั้งสองฝ่ายสบายที่สุด
3. เอาใจเขามาใส่ใจเรา (เห็นอกเห็นใจต่อความรู้สึกของเขา)
จงใช้หูของท่านมากกว่าปากของท่าน ก่อนที่จะพยายามเข้าไปแก้ปัญหาความขัดแย้ง คุณต้องฟังความรู้สึกของคนก่อนเป็นอันดับแรก อ.เปาโลได้แนะนำว่า “อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย “ (ฟิลิปปี 2:4) คำว่า “จงเห็น” ในพระธรรมตอนนี้ ภาษากรีกใช้คำว่า “skopos” ซึ่งเป็นรากศัพท์ของว่า “ telescope – กล้องส่องทางไกล” และ “microscope-กล้องจุลทรรศน์” ซึ่งต่างก็หมายถึงต้องมองใกล้ๆ ให้ชัดเจนอย่างตั้งใจ ดังนั้น โปรดเพ่งพินิจที่ความรู้สึกของพวกเขา ไม่ใช่เรื่องราวที่เกิดขึ้น จงเริ่มด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่การหาข้อสรุป
อย่าพยายามพูดตัดบทเมื่อคนเริ่มพูดถึงความรู้สึกของตน แค่ฟัง และให้เขาได้ระบายอารมณ์ความรู้สึกของเขาออกมาโดยที่คุณไม่ต้องแก้ตัว หรือปกป้องตัวเอง พยักหน้ารับฟัง แม้คุณจะไม่เห็นด้วยก็ตาม ความรู้สึกอาจไม่ถูกต้อง หรือเป็นจริงเสมอไป ที่จริงแล้ว ความขุ่นเคืองทำให้เราแสดงออก หรือคิดอย่างโง่เขลา กษัตริย์ดาวิดยอมรับว่า “เมื่อจิตใจของข้าพระองค์ขมขื่น เมื่อข้าพระองค์เสียวแปลบถึงหัวใจ ข้าพระองค์โฉดและไม่เดียงสา ข้าพระองค์ประพฤติเหมือนสัตว์ต่อพระพักตร์พระองค์ “ (สดุดี 73: 21-22) เราต่างทำตัวผิดแปลกไปเมื่อเราเจ็บปวด
ในทางตรงกันข้าม พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “สามัญสำนึกที่ดีกระทำให้คนโกรธช้า และที่มองข้ามการละเมิดไปเสียก็เป็นสง่าราศีแก่เขา “ (สุภาษิต 19:11) ความอดทนนั้นมาจากสามัญสำนึกที่ดี (wisdom - สติปัญญา) และสติปัญญามาจากการได้ฟังมุมมองของผู้อื่น คนฟังพูดว่า “เราให้ความสำคัญต่อความคิดของคุณ เราแคร์ความสัมพันธ์ของเรา และคุณสำคัญต่อฉัน” มีคำประพันธ์ว่าไว้ว่า “ คนจะไม่สนใจว่าคุณรู้อะไร จนกว่าเขาจะรู้ว่าคุณสนใจ
การสานสัมพันธ์นั้น เราต้องแบกภาระแห่งการเอาใจเขามาใส่ใจเรา “เราทุกคนจงกระทำให้เพื่อนบ้านพอใจ เพื่อนำประโยชน์และความเจริญมาให้เขา “ (โรม 15:2) มันคือการยอมเสียสละที่จะรับเอาความโกรธของผู้อื่นด้วยความอดทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความโกรธนั้นไม่มีเหตุผล แต่จงจำไว้ว่า นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทำเพื่อเรา พระองค์อดทนต่อความผิดที่ไร้ความเป็นธรรม ทนต่อความมาดร้าย ความโกรธแค้น เพื่อช่วยเราให้รอด พระคริสต์มิได้ทรงปล่อยตนไปตามความรู้สึกของพระองค์เอง ... ดังที่กล่าวไว้ว่า “เพราะว่าพระคริสต์ก็มิได้ทรงกระทำสิ่งที่พอพระทัยพระองค์ ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า `คำพูดเยาะเย้ยของบรรดาผู้ที่เยาะเย้ยพระองค์ ตกอยู่แก่ข้าพระองค์“ (โรม 15:3)
4. สารภาพความขัดแย้งในส่วนของตน
หากท่านจริงจังกับการคืนดี ท่านควรเริ่มต้นด้วยการยอมรับความผิด หรือความบาปในส่วนของท่าน พระเยซูตรัสว่า มันเป็นหนทางที่จะทำให้เห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้น “จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้ “ (มัทธิว 7:5)
เราทุกคนต่างมีจุดที่มืดบอด คุณอาจจำต้องให้บุคคลที่สามมาช่วยคุณพิจารณาดูการกระทำของคุณก่อนที่คุณจะไปพบกับคนที่คุณมีปัญหาด้วย และขอให้พระเจ้าชี้ให้ท่านเห็นว่าในปัญหานี้ท่านผิดตรงไหน ถามพระองค์ว่า “ฉันคือตัวปัญหาหรือเปล่า? ฉันไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความจริงไหม? ฉันไม่ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่นหรือเปล่า หรือฉันคิดมากไป?” พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และความจริงไม่ได้อยู่ในเราเลย “ (1ยอห์น 1:8)
การสารภาพนั้นเป็นขุมพลังแห่งการคืนดี บ่อยครั้งที่การพยายามจัดการกับปัญหากับสร้างความเจ็บปวดมากขึ้นกว่าปัญหาเดิมที่มันมีอยู่ หากเราจะเริ่มต้นด้วยการถ่อมใจยอมรับความผิดของเรา มันจะลดระดับความโกรธของคู่กรณี และปลดเปลื้องการตอบโต้ออก เพราะเราต้องคิดว่าเราจะต้องแก้ตัว อย่าแก้ตัว หรือไม่สนใจต่อการต่อว่า แต่จงสัตย์ซื่อยอมรับต่อส่วนที่คุณเป็นปัญหา ยอมรับความผิดของคุณ และขอการยกโทษ
5. จัดการกับปัญหา ไม่ใช่จัดการกับคน
คุณจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้หากคุณใส่ใจกับการแก้ไขคำนินทา คุณต้องเลือกระหว่างสองอย่างนี้ พระคัมภีร์กล่าวว่า “คำตอบอ่อนหวานทำให้ความโกรธเกรี้ยวหันไปเสีย แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ “ (สุภาษิต 15:1) คุณไม่สามารถให้ปัญหาจบไปได้ หากคุณทำตัวไม่ยอมจบ ดังนั้นจงเลือกคำพูดของคุณอย่างฉลาด คำตอบที่อ่อนสุภาพนั้นดีกว่า คำเย้ยหยันถากถางแน่แท้
ในการแก้ปัญหานั้น คุณพูดอย่างไร (ท่าที) นั้นสำคัญกว่า คุณพูดว่าอะไร หากคุณพูดด้วยวาจาก้าวร้าว คุณจะได้รับความก้าวร้าวนั้นตอบ พระเจ้าตรัสว่า “คนใจฉลาดเรียกว่าเป็นคนมีความพินิจ และความหวานแห่งริมฝีปากเพิ่มความเรียนรู้ “ (สุภาษิต 16:21) คำด่า ถากถางไม่เคยได้ผลเลย
ในสมัยสงครามเย็น ทั้งสองฝ่ายต่างตกลงกันว่า จะไม่มีการใช้อาวุธบางประเภทที่มีผลร้ายแรง เพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ คุณต้องทำลายคลังอาวุธของคุณลง ไม่ว่าจะเป็น การด่าว่า การกลบเกลื่อน การเปรียบเทียบ การเย้ยหยัน การดูถูก และการถากถางต่างๆ อ.เปาโลได้สรุปไว้ว่า “อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดี และเป็นประโยชน์ให้เกิดความจำเริญเพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง “ (เอเฟซัส 4:29)
6. ให้ความร่วมมือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อ.เปาโลกล่าวไว้ว่า “ถ้าเป็นได้คือเรื่องที่ขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน “ (โรม 12:18) ความสงบสุขนั้นมีราคาของมันอยู่ บางครั้งเราต้องจ่ายด้วยความหยิ่งทะนงของเรา บ่อยครั้งที่ต้องจ่ายด้วยความเอาตนเองเป็นที่ตั้งของเรา ดังนั้นเราต้องแสดงความร่วมมือ พยายามที่จะประนีประนอม และพระเยซูคริสต์ตรัสว่า ท่านจะได้รับพระพร เมื่อท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นถึงความพยายามร่วมมือ มากกว่าพยายามประกาศสงคราม
7. เน้นให้เกิดการคืนดีกัน มากกว่าการหาข้อตกลง
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะ คาดหวังให้ทุกคนเห็นด้วยกับเราในทุกๆ เรื่อง การคืนดีนั้นเน้นที่ความสัมพันธ์ ในขณะที่การหาข้อตกลงเน้นที่ปัญหา เมื่อเราโฟกัสที่การคืนดีกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นจะไม่ค่อยสำคัญนัก และไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ของเราขึ้นใหม่ เมื่อเราไม่สามารถแก้ปัญหาความแตกต่างของเราได้ คริสเตียนมักมีความเห็นต่างกัน หรือไม่เห็นด้วยกันได้ แต่เราสามารถไม่เห็นด้วยกันได้ โดยไม่ต้องไม่ลงรอยกัน เพชรเม็ดเดียวกัน อาจดูไม่เหมือนกันหากมองต่างมุม พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ใช่ให้เป็นแบบเดียวกัน
แต่นั่นมิได้หมายความว่า เราจะไม่ต้องหาข้อสรุปร่วมกันเลย คุยอาจจะต้องปรึกษาหารือกันต่อ หรืออาจจะต้องมีการอภิปรายโต้ตอบกัน แต่ให้ทำอย่างมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การคืนดีกันหมายถึงการที่เราจะฝังความบาดหมางของเราไว้ไม่จำเป็นต้องเอารื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก
ที่มา : thaisermons
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
แสดงความคิดเห็น
ของถามเกี่ยวกับ คำสอนที่อยู่ในไบเบิ้ล
จะเอาไว้คอยสอนคนที่บ้าน รบกวนผู้รู้ชี้แนะด้วย