พูดถึงสินค้าที่ซื้อมาแล้วขายไป เช่น ของชำ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
ราคาโดน โลตัส ควบคุมจะต่ำเหลือเกิน เช่น พัดลม ปกติ เราซื้อมา 700 ขาย 900-1000 พอร้านคู่แข่งเกิดขึ้นในตลาด ก็เหลือขายได้ 800-900 พอมีโลตัสมาเปิด เค้าสามารถซื้อมาด้ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าเรา เค้าขายเพียง 750 เท่ากับว่า เรา ก็ขายได้ไม่เกิน 750 ไม่งั้นคนจะไปซื้อที่โลตัส แล้วเรายังต้องตัดราคากันเองในตลาดด้วย เท่ากับว่าพัดลมตัวนึงเรามีสิทธิ์ได้กำไร 10-30 บาท เท่านั้นเอง
เช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆ ในตลาด โชว์ห่วยของชำ ยิ่งแล้วไปใหญ่ ขายปลีกไม่ได้เลย ต้องเปลี่ยนเป็นร้านขายส่ง กินกำไร 1-3 บาท ต่อชิ้น
เมื่อมันเป็นแบบนี้ .....
ผมว่าคนที่คิดจะทำทุรกิจ ซื้อมาแล้วขายไป แบบนี้ มันมีแต่จะไม่เจริญ เพราะในความคิดผมนะ
ข้าวมันไก่ จานละ 30 ต้นทุน 10 บาท กำไรต่อจาน 15 บาท คนต้องกินทุกวัน ความต้องการมาทุกวัน
แต่....
เครื่องใช้ไฟฟ้า ขายได้กำไรไม่เกิน 20-100 ต่อชิ้น แล้วใช้ 10-20 ปีกว่าจะเสีย
เมื่อมองแบบนี้แล้วผมว่าทรุกิจที่เกี่ยวกับอาหารจะเจริญกว่า จริงไหมครับ ในอนาคต
เมื่อกำไรของ ทุรกิจต่างๆในปัจจุบัน มันน้อยลงจากการโดนตัดราคา แล้วแบบนี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร
ราคาโดน โลตัส ควบคุมจะต่ำเหลือเกิน เช่น พัดลม ปกติ เราซื้อมา 700 ขาย 900-1000 พอร้านคู่แข่งเกิดขึ้นในตลาด ก็เหลือขายได้ 800-900 พอมีโลตัสมาเปิด เค้าสามารถซื้อมาด้ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าเรา เค้าขายเพียง 750 เท่ากับว่า เรา ก็ขายได้ไม่เกิน 750 ไม่งั้นคนจะไปซื้อที่โลตัส แล้วเรายังต้องตัดราคากันเองในตลาดด้วย เท่ากับว่าพัดลมตัวนึงเรามีสิทธิ์ได้กำไร 10-30 บาท เท่านั้นเอง
เช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆ ในตลาด โชว์ห่วยของชำ ยิ่งแล้วไปใหญ่ ขายปลีกไม่ได้เลย ต้องเปลี่ยนเป็นร้านขายส่ง กินกำไร 1-3 บาท ต่อชิ้น
เมื่อมันเป็นแบบนี้ .....
ผมว่าคนที่คิดจะทำทุรกิจ ซื้อมาแล้วขายไป แบบนี้ มันมีแต่จะไม่เจริญ เพราะในความคิดผมนะ
ข้าวมันไก่ จานละ 30 ต้นทุน 10 บาท กำไรต่อจาน 15 บาท คนต้องกินทุกวัน ความต้องการมาทุกวัน
แต่....
เครื่องใช้ไฟฟ้า ขายได้กำไรไม่เกิน 20-100 ต่อชิ้น แล้วใช้ 10-20 ปีกว่าจะเสีย
เมื่อมองแบบนี้แล้วผมว่าทรุกิจที่เกี่ยวกับอาหารจะเจริญกว่า จริงไหมครับ ในอนาคต