ขอคำชี้แนะแนวทางในการต่อสู้กับเหล่าพี่น้องเห็นแก่ได้ของน้องชายที่น่าสงสาร
จริง ๆ ก็ไม่ใช่ธุระของตัวเอง แต่สงสารน้องชาย (ลูกอา)
อาสะใภ้เสียไปได้ยังไม่ทันจะครบ 2 เดือนดี ก็เกิดเหตุการณ์บรรดาญาติพี่น้องฝั่งอาสะใภ้จะให้แบ่งสมบัติก้อน
สุดท้ายที่เหลือ เป็นที่ดินทางภาคเหนือ เนื้อที่กว่า 5 ไร่ โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของพ่อกับแม่
ก่อนหน้านี้ 20 ปี ตระกูลอาสะใภ้ได้ทำการแบ่งทรัพย์สินเป็นที่ดินให้กับลูก ๆ ทุกคน
ครอบครัวนี้มีทั้งหมด 7 คนพี่น้อง ซึ่งคนที่ได้ที่ดินมูลค่าน้อยที่สุดในบรรดาพี่น้อง
ก็คืออาสะใภ้ ขณะนั้นที่ดินผืนนี้มูลค่าต่อไร่ไม่ถึง 3 หมื่นบาท เป็นป่ารกร้าง ทุกคน
ไม่มีใครอยากได้เค้าเลยเอามาให้อาสะใภ้เรา แต่เมื่อเวลาผ่านมาปลายปี 55 ปรากฎว่า
มีการก่อสร้างสถานศึกษาใกล้ ๆ กับที่ดินผืนนี้ ประกอบกับมีการขยายเมือง ตัดถนน
และความเจริญคืบคลานไปหาที่ดินผืนนี้เอง ทำให้ราคาประเมินพุ่งขึ้นถึงไร่ละ 6 แสนบาท
ซึ่งขณะที่อาสะใภ้ยังอยู่ แกก็ติดการพนัน เป็นหนี้เป็นสินพอสมควร รวมถึงที่ดินผืนดังกล่าว
ก็ถูกนำไปจำนองกับเจ้าหนี้ (จำนองมา 10 ปีแล้ว ไม่เคยส่งดอกเจ้าหนี้
เลยแม้แต่บาทเดียว) ต่อมาเมื่อต้นปี อาสะใภ้เกิดเสียชีวิตกระทันหัน ต่อก่อนจะเสียชีวิต
ไม่นาน ทางอาสะใภ้ได้ติดต่อเพื่อนที่อยู่ทางบ้าน ให้ติดต่อขายที่ให้หน่อย เพราะจะเอา
เงินมาใช้หนี้ รวมทั้งรักษาตัวด้วย เนื่องจากเป็นโรคประจำตัวหลายอย่าง ซึ่งหลังจาก
อาสะใภ้เสียได้ไม่นาน เพื่อนได้ติดต่อมายังญาติเพื่อแจ้งว่ามีคนสนใจซื้อที่ดินแล้ว
ทางญาติพี่น้องก็เกิดอาการตาโต เพราะเงินที่จะได้ในการขายที่ดินนี้เกือบ 4 ล้านบาท
เลยพยายามจะเข้ามาเจรจากับทางลูกของอาสะใภ้ เพื่อให้แบ่งเงินที่ได้จากการขาย
ทรัพย์สินออกเป็น 7 ก้อน โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของตายาย ยังไงถ้าเ้ค้าฟ้องก็ชนะอยู่แล้ว
น้องชายเครียดมาก แม่ตายยังไม่ทันได้ทำบุญ 100 วันญาติพี่น้องก็มารุมจะขอแบ่งสมบัติ
ที่แม่ทิ้งไว้ให้ชิ้นเดียว
อยากรบกวนขอคำชี้แนะว่าเคสแบบนี้ ทางน้องชายซึ่งเป็นลูกชายสามารถต่อสู้กับ
บรรดาญาติพี่้น้องได้หรือไม่ ลืมบอกไปว่าอาสะใภ้มีลูก 2 คน ลูกอีกคนไม่สามารถ
ออกมาดำเนินธุรกรรมใด ๆ ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ที่ดินดังกล่าวขณะนี้เป็นชื่ออาสะใภ้
อยู่ โฉนดอยู่กับเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง แต่เจ้าหนี้เค้าแจ้งแล้วว่า เค้ายินดีคืนให้ แต่เค้าขอ
เงินต้นคืนพร้อมดอกเีบี้ยเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนเงินตามที่ตกลงกันไว้ใน
สัญญากู้ยืม
เมื่อโดนรุมทึ้งสมบัติชิ้นสุดท้ายที่แม่เหลือไว้ให้
จริง ๆ ก็ไม่ใช่ธุระของตัวเอง แต่สงสารน้องชาย (ลูกอา)
อาสะใภ้เสียไปได้ยังไม่ทันจะครบ 2 เดือนดี ก็เกิดเหตุการณ์บรรดาญาติพี่น้องฝั่งอาสะใภ้จะให้แบ่งสมบัติก้อน
สุดท้ายที่เหลือ เป็นที่ดินทางภาคเหนือ เนื้อที่กว่า 5 ไร่ โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของพ่อกับแม่
ก่อนหน้านี้ 20 ปี ตระกูลอาสะใภ้ได้ทำการแบ่งทรัพย์สินเป็นที่ดินให้กับลูก ๆ ทุกคน
ครอบครัวนี้มีทั้งหมด 7 คนพี่น้อง ซึ่งคนที่ได้ที่ดินมูลค่าน้อยที่สุดในบรรดาพี่น้อง
ก็คืออาสะใภ้ ขณะนั้นที่ดินผืนนี้มูลค่าต่อไร่ไม่ถึง 3 หมื่นบาท เป็นป่ารกร้าง ทุกคน
ไม่มีใครอยากได้เค้าเลยเอามาให้อาสะใภ้เรา แต่เมื่อเวลาผ่านมาปลายปี 55 ปรากฎว่า
มีการก่อสร้างสถานศึกษาใกล้ ๆ กับที่ดินผืนนี้ ประกอบกับมีการขยายเมือง ตัดถนน
และความเจริญคืบคลานไปหาที่ดินผืนนี้เอง ทำให้ราคาประเมินพุ่งขึ้นถึงไร่ละ 6 แสนบาท
ซึ่งขณะที่อาสะใภ้ยังอยู่ แกก็ติดการพนัน เป็นหนี้เป็นสินพอสมควร รวมถึงที่ดินผืนดังกล่าว
ก็ถูกนำไปจำนองกับเจ้าหนี้ (จำนองมา 10 ปีแล้ว ไม่เคยส่งดอกเจ้าหนี้
เลยแม้แต่บาทเดียว) ต่อมาเมื่อต้นปี อาสะใภ้เกิดเสียชีวิตกระทันหัน ต่อก่อนจะเสียชีวิต
ไม่นาน ทางอาสะใภ้ได้ติดต่อเพื่อนที่อยู่ทางบ้าน ให้ติดต่อขายที่ให้หน่อย เพราะจะเอา
เงินมาใช้หนี้ รวมทั้งรักษาตัวด้วย เนื่องจากเป็นโรคประจำตัวหลายอย่าง ซึ่งหลังจาก
อาสะใภ้เสียได้ไม่นาน เพื่อนได้ติดต่อมายังญาติเพื่อแจ้งว่ามีคนสนใจซื้อที่ดินแล้ว
ทางญาติพี่น้องก็เกิดอาการตาโต เพราะเงินที่จะได้ในการขายที่ดินนี้เกือบ 4 ล้านบาท
เลยพยายามจะเข้ามาเจรจากับทางลูกของอาสะใภ้ เพื่อให้แบ่งเงินที่ได้จากการขาย
ทรัพย์สินออกเป็น 7 ก้อน โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของตายาย ยังไงถ้าเ้ค้าฟ้องก็ชนะอยู่แล้ว
น้องชายเครียดมาก แม่ตายยังไม่ทันได้ทำบุญ 100 วันญาติพี่น้องก็มารุมจะขอแบ่งสมบัติ
ที่แม่ทิ้งไว้ให้ชิ้นเดียว
อยากรบกวนขอคำชี้แนะว่าเคสแบบนี้ ทางน้องชายซึ่งเป็นลูกชายสามารถต่อสู้กับ
บรรดาญาติพี่้น้องได้หรือไม่ ลืมบอกไปว่าอาสะใภ้มีลูก 2 คน ลูกอีกคนไม่สามารถ
ออกมาดำเนินธุรกรรมใด ๆ ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ที่ดินดังกล่าวขณะนี้เป็นชื่ออาสะใภ้
อยู่ โฉนดอยู่กับเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง แต่เจ้าหนี้เค้าแจ้งแล้วว่า เค้ายินดีคืนให้ แต่เค้าขอ
เงินต้นคืนพร้อมดอกเีบี้ยเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนเงินตามที่ตกลงกันไว้ใน
สัญญากู้ยืม