ขอเชิญ "อันเดร วิลลาช-โบอาช" ออกมาแสดง...

ขอตั้งชื่อกระทู้ด้วยเพลงลูกเสือ เพราะ ตอนนี้ กุนซือคนนี้ ร้อนแรงขนาดหนักจริงๆ!
ทีแรกว่าจะเขียนเอง แต่เราก็ไม่เชี่ยวสำนวน และสันทัดข้อมูลในการเขียนถึงสเปอร์สเท่าไรนัก
พอไปเจอคนเขียนบทความ
อวยโบอาซพอดี เลยอยากเอามาให้อ่านกัน
หวังว่าคงคิดเหมือนๆกัน









ในฐานะของคน (ยัง) หนุ่ม ผมมักจะชื่นชมคนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่ในตอนที่อายุยังน้อย เพราะถือว่าคนแบบนี้ต้องมีอะไรดีเป็นพิเศษอย่างแน่นอน


        และถ้าพูดถึงเรื่องของฟุตบอล วันนี้ผมมีเรื่องราวของคนหนุ่มคนหนึ่งที่ต้องซูฮกในฝีมือของเขาในตอนนี้ และเอกบุรุษผู้นั้นก็คือ อันเดร วิลลาช-โบอาช ผู้จัดการทีมหนุ่มที่กำลังพา "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่มฮ็อตสเปอร์ บินสูงอยู่ในพรีเมียร์ลีกยามนี้นี่เอง

        เมื่อกว่า 2 ปีก่อนชื่อของ อันเดรวิลลาช-โบอาช ส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่ววงการลูกหนังยุโรป หลังพาเอฟซี ปอร์โต้ ผงาดคว้า 3แชมป์ คือ ลีกา ซอน ซาเกรส, โปรตุกีส คัพ และ ยูโรปา ลีก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะในลีกนั้น เขาพาทัพ "มังกรน้ำเงิน" คว้าแชมป์แบบไร้พ่ายเสียด้วย

        ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมดังกล่าวทำให้วิลลาช-โบอาช ในวัย 33 ปี ถูกขนานนามว่า "เดอะ สเปเชียล ทู" เนื่องจากมีเส้นทางบนถนนสายกุนซือลูกหนังที่คล้ายคลึงกับ โชเซ่ มูรินโญ่ เจ้าของฉายา "เดอะ สเปเชียล วัน" นั่นเอง

        นอกจากนี้ มันยังทำให้ "เอวีบี" ได้ทำงานอยู่กับปอร์โต้ ช่วงสั้นๆ เพียงแค่ 1 ปีเท่านั้นเมื่อเชลซีภายใต้การนำทัพของ โรมัน อบราโมวิช ยอมจ่ายค่าฉีกสัญญามูลค่า 15 ล้านยูโร เพื่อกระชากเขาเข้ามาทำงานยังสแตมฟอร์ด บริดจ์

        อย่างไรก็ตามชีวิตในเดอะ บริดจ์ ของ วิลลาช-โบอาช ไม่ได้ถูกโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบเมื่อเขาไม่สามารถพาทีมทำผลงานได้ดีเหมือนที่ "เสี่ยหมี" วาดฝันเอาไว้ แถมยังมีปัญหากับนักเตะรุ่นเก๋า อาทิ แฟร้งค์ แลมพาร์ด, แอชลี่ย์ โคลและ ไมเคิ่ล เอสเซียง อีกต่างหาก

        วันที่ 4 มี.ค. 2012 หลังพาทีมพ่ายเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 0-1 ซึ่งทำให้เชลซีมีแต้มตามหลังอาร์เซน่อล 3 คะแนน ในการต่อสู้แย่งชิงอันดับ 4 วิลลาช-โบอาช ก็ถูกเขี่ยตกเก้าอี้ ก่อนที่ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ จะถูกดันขึ้นมานั่งแท่น ผู้จัดการทีมขัดตาทัพ และพา "สิงห์บลูส์" ก้าวไปคว้าแชมป์ยุโรปได้สำเร็จ

        ณ ขณะนั้น ทุกคนต่างลงความเห็นว่าความสำเร็จของ วิลลาช-โบอาช กับ ปอร์โต้ อาจจะเป็นเพียงภาพลวงตา และเขาก็เป็นแค่ของปลอมทำเหมือนเท่านั้น

        แต่เหมือนสวรรค์มีตา เมื่อกุนซือหนุ่มจากเมืองฝอยทอง ได้รับโอกาสแก้มือในวงการลูกหนังเมืองผู้ดีอีกครั้งกับท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ที่ ไวท์ ฮาร์ท เลน อดีตนายใหญ่ปอร์โต้สร้างทีมชุดใหม่ขึ้นมาโดยมี แกเร็ธ เบล ปีกจรวดเลือดเวลส์ เป็นแกนกลาง

        แม้เมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์แล้วขุมกำลังนักเตะของสเปอร์ส อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับเชลซี แต่ วิลลาช-โบอาช กลับพา "ไก่เดือยทอง" ทำผลงานได้อย่างติดลมบน โดยรั้งอยู่ในอันดับ 3 ของตาราง พรีเมียร์ลีก และมีคะแนนตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รองจ่าฝูง เพียง 5 คะแนน

        ทว่าที่สำคัญก็คือ ทัพกุ๊กไก่ นั่งอยู่เหนือเชลซี อดีตต้นสังกัดของวิลลาช-โบอาช หนึ่งอันดับและยังคงอยู่ในเส้นทางของการลุ้นแชมป์ยูโรปา ลีก ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปในช่วง 12 เดือน ที่ผ่านมาแล้ว เอวีบีก็รู้สึกว่า เขาเป็นกุนซือที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

        ทุกวันนี้เราแทบไม่เห็น วิลลาช-โบอาช ก้มหน้าด้วยความท้อแท้ เหมือนสมัยที่ยังนั่งสวมเสื้อโอเวอร์โค้ชของ ดอลเชแอนด์ กับบานา อยู่ในซุ้มม้านั่งสำรองที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกแล้ว เพราะเขามักจะได้ออกอาการสะใจอย่างสุดขีดราวกับเพิ่งยิงประตูชัยในรอบชิงฟุตบอลโลก ในทุกครั้งที่สเปอร์สส่งบอลเข้าไปกองในก้นตาข่ายคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ ซึ่งต่างกับมือขวาผู้เงียบขรึมของเขาอย่าง สเตฟเฟ่น ฟรอยด์อย่างสิ้นเชิง

        นอกจากนี้ วิลลาช-โบอาชยังเปิดปากพูดเกี่ยวกับความรู้สึก, อารมณ์ และแรงบันดาลใจมากขึ้น ผิดกับในอดีตที่เขามักจะเอาแต่พูดถึงเรื่องแท็กติก การตั้งรับสูง หรือการปรับระบบมาใช้สูตร4-4-2

        จากชัยชนะ 2-1 เหนืออาร์เซน่อล ในศึกดาร์บี้แมตช์แห่งนอร์ทลอนดอน หนล่าสุด ทำให้วิลลาช-โบอาช สามารถสร้างสถิติใหม่ขึ้นมาได้อีกครั้ง นั่นคือการพาสเปอร์ส สะกดคำว่า แพ้ไม่เป็นติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก นานถึง 12 นัด

        เรื่องนี้ได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวางในหมู่แฟนบอลของสเปอร์ส ซึ่งหลายคนยอมรับว่า ไม่ค่อยจะเชื่อน้ำยาของวิลลาช-โบอาชมากนัก เมื่อครั้งที่เจ้าตัวก้าวเข้ามาคุมทีมใหม่ๆผลงานอันน่าผิดหวังด้วยการเสมอกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน และ นอริช ซิตี้ คาบ้านในช่วงสัปดาห์แรกๆ ของซีซั่น ถูกลืมไปเสียสนิทเมื่อเอวีบีปล่อยของด้วยการพาทีมบุกไปคว้าชัยเหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดได้เป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา

        นอกจากนี้ วิลลาช-โบอาชยังโชว์กึ๋นในการแก้ไขปัญหาเกมรับที่มักจะเสียประตูในช่วงท้ายเกมอยู่เสมอ ด้วยการเพิ่มโปรแกรมฝึกซ้อมให้นักเตะทุกคนทำงานหนักมากขึ้นในนาทีท้ายๆ ของการแข่งขันอีกด้วย

        อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นเครื่องหมายการค้าของสเปอร์ส ยุคเอวีบี ดูเหมือนจะเป็นการพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้ชนะในช่วงท้ายเกมมากกว่า อาทิ ในเกมกับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด เมื่อช่วงปลายเดือน ก.พ. ที่เบลส่องไกลนาทีที่ 90 ให้พวกเขาพลิกกลับมาคว้าชัยชนะอย่างสุดมันส์ 3-2 เป็นต้น

        แม้วิลลาช-โบอาชจะมีปัญหากับนักเตะบ่อยครั้งสมัยที่ยังอยู่กับเชลซี แต่ที่สเปอร์สทุกอย่างกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เมื่อลูกทีมทุกคนหนุนหลังเขาเป็นอย่างดี และยังตอบแทนความเชื่อมั่นของกุนซือชาวโปรตุกีส ด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยมในสนามอีกด้วย

        ไคล์ วอล์คเกอร์ แบ็กขวาทีมชาติอังกฤษคือคนหนึ่งที่ยกย่องวิลลาช-โบอาชอย่างมาก โดยยกย่องเจ้านายมาดเนี้ยบ ว่า เป็นกุนซือที่บริหารคนได้อย่างเก่งกาจ แถมยังได้รับความเชื่อถือจากนักเตะรุ่นเก๋า แม้จะมีวัยเพียง 35 ปี ก็ตาม

        กระนั้น วิลลาช-โบอาชยอมรับว่า สิ่งที่เขาต้องเร่งทำเป็นการด่วนก็คือการดึงเอาความสามารถที่แท้จริงออกมาจากตัวของ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ดาวยิงทีมชาติโตโก ที่เขากางปีกป้องมาตลอด แม้กระทั่งตอนโดนใบแดงอย่างน่าเขกกะโหลกในเกมกับอาร์เซน่อล เมื่อเดือน พ.ย.

        เมื่อมองจากฝันร้ายของวิลลาช-โบอาชกับเชลซี เมื่อ 12 เดือนก่อน และจากสิ่งที่เขากำลังประสบความสำเร็จกับสเปอร์ส ซึ่งมีลุ้นคว้าตั๋วไปลุย แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้า อยู่ในตอนนี้ก็ต้องบอกว่าชีวิตของเอวีบีช่างพลิกผันอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากละคร

        แต่สิ่งที่เราต้องติดตามดูกันต่อไปก็คือละครเรื่องนี้ของกุนซือหนุ่มจากปอร์โต้ จะจบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งหรือไม่...ดูบอลให้สนุกนะครับ


แมงปอล้อคลื่น - http://www.siamsport.co.th/column/starwrite/view.php?id=16097
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่