คุณเคยอยู่ในช่วง "ถังแตก" มั๊ยครับ ???

แบบว่า .. "ไม่มีเงินเลย"  จนสุด ๆ  .. แค่เงินกินข้าว ยังคิดแล้ว คิดอีก

ผมเคยนะ .. ยอมรับเลยว่า ตอนนั้นเพิ่งเริ่มทำงานใหม่ ๆ พอได้เงินเดือน ก็ไม่ค่อยจะเก็บ .. ส่วนใหญ่ ก็เอาไปซื้อของฟุ่มเฟือย เอาไปเที่ยวผู้หญิง

จีบหญิง ก็ทุ่มเทให้เค้าหมด หมดเงินไปเยอะเหมือนกัน .. มีอยู่ช่วงนึงจีบหญิง  ฝ่ายหญิงก็ไม่ค่อยมีเงินเท่าไหร่ ไอ้เราก็นะ พอจะมีเงินอยู่บ้าง

ไปเที่ยวไหนก็ออกให้ตลอด .. เงินเดือนคนเดียว แต่ใช้ด้วยกัน 2 คน .. ไหนจะเอาเงินบัตรเครดิตมาใช้อีก (ตอนนั้นเพิ่งสมัครบัตรใหม่ ๆ)

เรียกได้ว่า .. ใช้ชีวิตแบบ "สุดขีด" ของการใช้เงินจริง ๆ .. คือ  ได้เงินเดือนเท่าไหร่ ต้องหาทางใช้ให้หมด เพราะตอนนั้น ผมคิดแค่ว่าสิ้นเดือน เดี๋ยวก็ได้เงินเดือนแล้ว

แต่พอนาน ๆ เข้า เริ่มใช้บัตรเครดิตมากขึ้น .. เริ่มใช้จ่าย กิน เที่ยว เกินตัวเยอะเกินไป ไหนจะ "ติดหญิง" อีก

ตอนนั้นผมรับทำ พรบ.รถยนต์ด้วย .. ปกติบริษัท พรบ. เค้าจะมาเก็บเงินที่ผมทุกเดือน ๆ หักต้นทุน แล้วเหลือกำไรนิดหน่อยผมก็ได้ไป

แต่ระยะหลัง ๆ .. ติดเงิน พรบ. เกือบ 3 หมื่น .. ติดไว้หลายเดือนมาก ๆ .. เพราะผมเอาเงินพรบ.ไปใช้ส่วนตัวก่อน คิดแค่ว่า เดี๋ยวค่อยหาเงินมาจ่ายก็ได้

ไปยืมเจ้านาย เจ้านายก็ไม่ให้ยืม เพราะเจ้านายบอกว่า มันเป็นความผิดพลาดของเราเองที่เรา "ไม่สามารถบริหารเงิน" ของตัวเองได้

ตอนนั้น ได้แต่หวัง บัตรเครดิต แล้วก็เงินหมุนของ พรบ. .. ก็หมุนมาเรื่อย ๆ ตัวเป็นเกลียวทุกเดือน ๆ

จนถึงจุด ๆ นึง .. ไม่ไหวละ .. ไม่มีเงินติดตัวเลย .. จะกลับบ้าน ก็ต้องอาศัยคนใน Office  ให้ขับรถไปส่ง

จนน้องที่บริษัท ไม่รู้สงสาร หรือ สมเพช .. เลยบอกให้แม่เค้าทำข้าวกล่องมาให้ผมกินด้วยทุกวัน (ทุกวันนี้ ยังทราบซึ้งน้ำใจของเค้า และ แม่เค้าอยู่เลย .. ไม่ได้ข้าวกล่องของแม่เค้า "เราอดตายแน่" )

จนน้องคนนั้นลาออกไป .. เมื่อไม่มีข้าวกล่องแล้ว .. เอาละ "นรก" เริ่มมาเยือนแล้ว .. เงินก็มีอยู่น้อยนิด หมุนไป หมุนมา  เงินเก็บก็ไม่มี เพราะเอาไปหมุน โปะนู่น โปะนี่ มั่วไปหมด

จนสุดท้าย .. จำได้จนถึงทุกวันนี้เลย

ไม่มีเงินเลย .. มีติดอยู่ 10 บาท .. ซื้อข้าวเปล่ามา 5 บาท .. แล้วเอาซอสพริก กะ แม๊กกี้  มาเหยาะคลุกข้าวกินเปล่า ๆ (มีเหลืออยู่ในตู้เย็น Office ) .. อยากจะกินไข่ดาว ก็ซื้อก็ไม่ได้

เพราะผมต้องติดตัวไว้ 5 บาท .. เผื่อฉุกเฉิน จะได้โทรศัพท์ที่ตู้ได้  (โทรศัพท์ไม่มีตังค์ โทร.ออกไม่ได้ .. จะขายโทรศัพท์ก็ไม่ได้ เพราะต้องติดต่อเรื่องงานสำคัญมาก .. เพราะถ้าขายไป คงอีกนานเลย กว่าจะมีเงินไปซื้อเครื่องใหม่)

จนเจ้านาย ไม่รู้ สงสาร หรือ สมเพช (อีกแล้ว) .. เจ้านายบอกว่า จะเลี้ยงข้าวให้ทุกวัน วันละมื้อ .. จนกว่าจะถึงสิ้นเดือน (น่าจะประมาณเกือบ 3 อาทิตย์)

พร้อมกับเงินยืมเจ้านายมาอีกนิดหน่อย .. เจ้านายบอกว่า ตั้งตัวได้ ค่อยคืน .. แต่ไม่ให้ยืมแล้วนะ .. "บริหารเงินให้ดี"  นั่นคือประโยคสุดท้าย ที่เจ้านายพูดกับผมเรื่องเงิน

ส่วนเรื่อง ผู้หญิง .. ทั้งเพื่อน และ เจ้านาย เตือนผมหลายครั้งแล้ว .. แต่ผมไม่ฟัง .. ต้องโดนกะตัวเอง ถึงได้ "รู้ซึ้ง"


พอมองย้อนกลับไปวันนั้นแล้ว .. เออ .. ใครว่า "เงินไม่สำคัญ"

ผมขอบอกเลยว่า .. วันนึงที่คุณ "ไม่มีเงิน" .. คุณจะรู้ซึ้งเลยว่า เวลาไม่มีเงินเนี่ย "ทำอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง"

ถึงเงินจะไม่ใช่ทุกสิ่งอย่างของชีวิต .. แต่เงินก็สำคัญมาก ๆ โดยเฉพาะ "เงินสำรองฉุกเฉิน"  ไม่มีไม่ได้เด็ดขาด !!


เอาละ .. เกริ่นมาเยอะแล้ว .. แล้วเพื่อน ๆ ล่ะ .. เคยอยู่ในช่วง "ถังแตก"  หรือ  "จนสุด ๆ" .. กันบ้างมั๊ยครับ ???

ลองแชร์ประสบการณ์ให้ฟังก่อนหน่อยครับ


ขอบคุณ ทุก ๆ ความเห็นมาก ๆ ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 44
เคยค่ะ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนอยู่มอ 6 พ่อเราเสีย แม่เราเป็นแม่บ้าน ไม่ได้ทำงาน ก็เกิดล้มป่วยลง เราจากบ้านตจว มาเรียนกรุงเทพ เราได้เงินเดือนละสี่พนบาท จาก กยศ เราหารค่าหออยู่กับเพื่อนแถวๆ มอกรุงเทพ แต่ตัวเราเรียนอยู่ที่ม.เกษตร เราอยากเลิกเรียนเพื่อมาหาเงินเลี้ยงแม่ แต่อีกใจก็คิดว่าต้องทำให้พ่อที่จากไปภูมิใจ เราเอ็นติดคณะวิศวะ เราอยาก้รียนให้จบ จะได้มีเงินมาให้แม่ ตอนนั้น เราเหลือเงินหลังหักค่าหอแค่สามพัน เราส่งให้แม่พันห้า เหลือติดตัวพันห้าต่อเดือน ซึ่งเราต้องแบ่งเป็นค่ารถไฟชั้นสาม นั่งกลับบ้านตจว ทุกอาทิตย์ เพื่อไปดูใจแม่ที่ป่วยหนักลงเรื่อยๆ เราใช้เงินค่ารถไฟเดือนละเกือบพัน เหลือเงินใช้เดือนละไม่ถึงพัน

เรากินมาม่าวันละห่อ ตอนเย็นหลังเลิกเรียนจะรีบกลับหอ มากินมาม่า เท่ากับกินได้วันละมื้อ เราบอกได้อย่างไม่อายว่าเราเคยโกงค่ารถเมล์ คือไม่อายว่าจน แต่อายนะที่โกง แต่เราไม่มีทางเลือก เราต้องไปเรียนหนังสือ ให้จบ จะได้มีเงิน แต่เราไม่มีเงินค่ารถ และไม่มีเพื่อนในกทม เลยต้องอยู่กับเพื่อนจากจังหวัดเดียวกัน วิธีโกงก็คือ เล็งว่ากระเป๋าอยู่ตรงไหน ก็ไปขึ้นไกลๆกระเป๋า เบียดไปลึกๆ พอกระเป๋าใกล้มาถึงก็กดลง หาคันใหม่ ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึง รถตะลัยในมอ ต้องหยอดเงิน 1.5฿  บางที เราก็ใส่แค่ห้าสิบตัง เราไม่มีจริงๆค่ะ  เพื่อนไม่มี ไม่มีสังคม วันไหนต้นๆเดือนมีตัง ก็ไปกินข้าวที่บาร์ใหม่ มื้อละ 12 บาท น้ำไม่ต้อง เท่านั้นก็หรูละ วันไหนไม่มีก็รอกลับหอไปกินมาม่าตอนเย็น เวลาขึ้นรถไฟกลับบ้าน สิบกว่าชั่วโมง ไม่เคยมีเงินซื้อข้าวกิน แม้แต่เงินจะซื้อน้ำขวดละ 3 บาท ยังไม่มีเลย ตอนนั้นผอมมากกกกกกก เอวเรา มือผู้หญิงเล็กๆ กำสองมือรอบแล้วหละ

ใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นเป็นปี ทุกข์ไหม อย่างที่สุด แต่ไม่ใข่เพราะไม่มีเงิน แต่คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงครอบครัวที่เคยมีมากกว่า ทุกข์ใจมาก เราว่าเราไม่เคยยิ้มเลยหละ แต่ไม่ท้อนะ คือ ชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป เหมือนๆ เดินร้องไห้อยู่ แต่ก็ร้องไปเดินไป หยุดเดินไม่ได้ พรุ่งนี้พระอาทิตย์จะขึ้น โลกยังดำเนินต่อไป เราหยุดเดินไม่ได้ แต่ยังมีความหวังกับวันพรุ่งนี้ หวังว่าจะเรียนจบ มีความรู้เป็นสมบัติ ความรู้จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ต้องอดทน จนผ่านไปเกือบปี แม่เสีย เราเอ็นใหม่อีกที คราวนี้ได้คณะเดิม มอใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะที่เก่าเกรดกลางๆ เลือกภาควิชาที่อยากได้ไม่ได้ เริ่มชีวิตใหม่ อยู่กับแฟน จนเหมือนกัน แต่ดีกว่าเดิมนิดนึง ยังคงเช่าหอห้องละ 1500 อยู่ แต้แชร์กัน หางานพิเศษทำ ลำบากอยู่ แต่ดีกว่าเดิมนิดนึง บางวันมีตังพอซื้อไข่ฟองเดียว ก็หุงข้าวต้มหม้อใหญ่ๆ ใส่ซอสเยอะๆกิน ช่วงปิดเทอม ก็หาเรื่องเข้าค่าย พวกชมรมอนุรักษ์ ชมรมอาสา ออกค่าย 2 อาทิตย์ กินฟรี ถึงจะเป็นโปรตีนเกษตรก็เหอะ ^^

ชีวิตเราเคยลำบากอย่างที่สุดคือช่วงนั้น วันนี้เราผ่านมาได้แล้ว เรามีความรู้ติดตัว มีความสามารถ ยังไงชีวิตก็ไม่อดตาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามยกเว้นสมองเราพิการ อันนั้นก็ช่างมัน ตอนนี้ชีวิตมีความสุขดี มีทุกอย่างที่อยากมี  มีบ้าน มีรถ เที่ยวตปท มีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ก็ขอบคุณที่เคยมีช่วงชีวิตแบบนั้น เราถึงเป็นเราทุกวันนี้
ความคิดเห็นที่ 18
เคยเป็นตอนเด็กๆ อาจจะด้วยพ่อและแม่ให้ใช้เงินแบบนี้ ตอนโตเลยไม่ค่อยมีปัญหา

ตอนเด็ก พ่อเริ่มให้เงินเป็นรายอาทิตย์ตั้งแต่ ป.5 ... วันจันทร์กินอิ่ม วันศุกร์ พอเหลือพอกิน ขนมต้องงด ... ร้องไห้
เข้า ม.1 เริ่มเพิ่มเป็นเงินราย 2 อาทิตย์ บริหารนานขึ้นอีกหน่อย มีประสบการณ์แล้วหนิ .. ผ่านพ้นไปได้
ม.3 อายุ 15 ทำบัตร ATM ได้ พ่อพาไปทำทันทีและบอกต่ออีกว่า เดือนหน้าจะให้เงินเป็นรายเดือนแล้วนะ .. ประหลาดใจ

เดือนแรกก็ได้เรื่องเลยครับ ต้นเดือนกินดีอยู่ดี อาทิตย์สุดท้ายของเดือนเท่านั้นล่ะ มื้อเช้าต้อง อด มื้อเที่ยง มาม่า
ทำได้อยู่สองสามวัน พ่อมาถาม ทำไมดูไม่ร่าเริง .. เรียนตามตรง เงินหมดครับพ่อ ..
พ่อเลยให้คำสอน บทเรียนการบริหารเงิน แล้วก็ให้เพิ่มมานิดหน่อย สุดท้ายก็รอดตายในเดือนแรก ..

จากนั้นมา จึงตระหนักถึงการบริหารเงิน การมีเงินเก็บ จนถึงตอนนี้ชีวิตทำงานมาหลายปีแล้ว
ยังไม่เจอวิกฤตทางการเงินเลย มีเก็บบ้าง ซื้อของขวัญให้ตัวเองบ้าง ตามกำลัง
และของขวัญปีนี้ที่ซื้อให้ตัวเองคือ บ้านหลังน้อยๆ ยิ้มยิ้ม

พ่อกับแม่ก็บอกว่า วันนี้ยิ้มอย่างอิ่มใจที่ลูกเติบโตมาถึงวันนี้ ...
ผมเองก็ดีใจที่พ่อกับแม่สอนผมให้รู้จักคิด บริหารเวลา บริหารการเงิน และไม่หลงผิด

ต่อไปเหลือแค่ภรรยากับลูกล่ะมั้ง หัวเราะหัวเราะ
ความคิดเห็นที่ 4
เคยครับ

แม่ใช้ให้ไปซักผ้า

ถังน้ำเก่าๆใส่ผ้ามากเกิน แตกเลยครับ
ความคิดเห็นที่ 21
เคยไม่มีตังกินข้าวประมาณอายุ 16 ยืมเงินพี่สาวเป็นค่ารถไปทำงาน บ้านก็ไปขอซุกตัวนอนกับพี่ ห้องเช่าแบบสลัม
รอกินตอนพี่กลับมา ไม่ได้เรียน ม.6 เรียนถึง ม.4 (ภูมิใจหน่อย ได้เรียนชิโนรส ตั้ง 1ปี ) อายเพื่อนไม่กล้าไปงานเลี้ยงรุ่น
เพราะไม่มีตังเรียน โชคดีมี กศน. ได้เรียนราม จนจบ อยู่แบบแกร่งๆดีค่ะ ประทับใจอย่างนึง หน้าราม อาหารถูกมากๆ
เดือนนึงใช้ 1500 รวมค่าห้องแชร์กับเพื่อน อยู่ได้ไง แบบทึ่งตัวเองเวลา มองย้อนกลับไป
         ตอน ม.4 มีคนเสนอค่า เวอร์จิ้น แสนนึง พร้อมบ้าน รถ แต่ไม่เอา ภูมิใจตรงนี้ที่ผ่านมาได้ (รึโง่ 555 )
เข้ากระทู้ นี้รู้สึกแก่เลยอะ นึกถึงความหลัง คิดถึงเพื่อนๆ ที่ชิโนรส
       ตอนอยู่ต่างจังหวัด ไม่มีตังแต่ก็ไม่อด  รอบบ้านก็มียอดตำลึง ผักบุ้ง ตกปลาตามคลอง ไม่มีตังก็อยู่ได้
จะรู้สึกลำบาก ก็ตอนย้ายมาเรียน มอปลาย แล้วเรียนได้ปีเดียว ที่บ้านก็ส่งเงินให้ไม่ได้ ถึงได้รู้ว่ามีหนี้หลักล้าน
ออก พอไม่ได้เรียนก็ ต้องหางานในกทม. ทำ จะได้ลดภาระที่บ้าน
       งานหาง่า ยแต่กว่าจะรอเงินเดือนออก เอวเหลือ 22 ประจำเดือนไม่มาเลย 3 เดือน อยู่กรุงเทพ จะกระดิกไปไหนก็ตอ้งเสียตัง
อยู่ กทม.15 ปีฝึกนิสัยประหยัดได้ดีมากๆ กลับมาอยู่บ้านไม่ต้องกลัวอด หน้าบ้านมีปลาให้กินได้ทุกวัน
       หลุดพ้นชีวิตคนเมืองซะที  ตัวเราไม่เคยสร้างหนี้ กลัวการ มีหนี้สิน ไม่มีตังยังอดข้าวได้ แต่มีหนี้มันต้องหาเงินมาใช้
       มีความสุขที่สุดที่ได้กลับมาอยู่บ้านเกิด
ความคิดเห็นที่ 77
แม่เสียตอนเราอายุ 12 ส่วนพ่อก็ติดเหล้า
ตอนนั้นอายุ 16-17 ได้เงินกยศ.เดือนละสองพันกว่าบาท แต่ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าอาหารที่บ้าน จ่ายน้องไปโรงเรียน
แล้วไหนจะค่าใช้จ่ายส่วนตัวอีก

เหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองจนที่สุดก็คือ
- เสื้อนักศึกษาคอเปื่อยแต่ไม่มีเงินซื้อใหม่ เพื่อนๆในกลุ่มต้องกลับไปค้นที่บ้านมาให้คนละตัว
- กระโปรงนักศึกษามี 2 ตัว ใส่มาหลายปี จนแม่เพื่อนฝากมาบอกว่าให้ซื้อผ้าถูกๆฝากเพื่อนไป แล้วท่านจะตัดให้ฟรี
- จะไปเรียนแต่มีเงินในกระเป๋า 20 บาท เลยใช้วิธีโบกรถมอเตอร์ไซค์คนที่เค้าขี่ผ่านหน้าบ้าน
- กลางวันกินผลไม้ถุงละ 10 บาทกับน้ำเปล่าฟรีเยอะๆ เพราะต้องเก็บเงินไว้ขึ้นรถเมล์กลับบ้าน
- ไม่มีเงินไปเรียน เดินขึ้นไปบ้านย่าเพื่อขอยืมเงิน 20 ย่าบอกสั้นๆว่า "ไม่มี"
- พ่อเมาหลับไปนานแล้ว เราหิว ทั้งบ้านไม่มีอะไรที่กินได้เลยแม้แต่น้ำเปล่า เลยลองค้นกล่องเก็บของจุกจิกที่เพื่อนๆเคยให้มา เจอช็อคโกแลตลูกฟุตบอลอยู่ในถุงเล็กๆผูกโบว์ เลยแกะใส่ปากเผื่อว่ามันจะยังกินได้ แต่ปรากฏว่ามันบูดแล้ว

แต่สำหรับเรา ความจนไม่ทำให้รู้สึกท้อเท่ากับการโกหกหรือถูกหักหลัง
- บ้านอยู่บ้านนอกสุดกู่ พ่อบอกว่าเงินเข้าบัญชีเดือนละเท่าไหร่ให้เบิกมาใส่กระเป๋าไว้เผื่อฉุกเฉิน แต่หลายครั้งรู้สึกเหมือนเงินในกระเป๋าเหลือน้อยผิดสังเกต วันนึงเลยลองนับเงินไว้ก่อนนอน พอตื่นมานับอีกทีถึงได้รู้ว่าเงินหาย
ไม่รู้หายมานานเท่าไหร่แล้ว จากนั้นก่อนนอนต้องเอากระเป๋าสตางค์ใส่ใต้หมอนแล้วนอนหลับๆตื่นๆทั้งคืน
- ทีวีเสียแล้วพ่อเอาไปซ่อม บอกว่าค่าซ่อม 700 เราเลยฝากเงินไป ซักพักพ่อมาบอกว่าต้องซื้ออะไหล่เพิ่มเท่านั้นเท่านี้ เราจ่ายไปเรื่อยๆ จนวันนึงมาคิดได้ว่าจ่ายไปตั้งเยอะทำไมซ่อมไม่เสร็จซักที จนมารู้ทีหลังว่าเงินไม่เคยถึงมือช่างเลย
- เคยต้องโดดเรียนไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟ เพราะไม่มั่นใจว่าถ้าฝากพ่อจ่ายจะโดนตัดไฟรึเปล่า
- แบ่งเงินกยศ.ไว้ส่วนหนึ่ง กะจะเอาไว้ให้น้องใช้ลงทะเบียนเรียนต่อ วันนึงจัดตู้เสื้อผ้าถึงได้รู้ว่าซอง ATM กับรหัสหายไป พ่อใช้ ATM ไม่เป็นแน่นอน ฉะนั้นก็เหลืออยู่คนเดียว สอบเค้นอยู่นานกว่าน้องจะรับสารภาพว่าเอาไปเลี้ยงเพื่อน

เพื่อนสนิทที่เคยเรียนมัธยมมาด้วยกันบอกว่า "ชีวิตแกน่ะสนุกกว่าละครหลังข่าวอีก" เพราะเพื่อนคนนี้เคยเห็นตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นครอบครัวสุขสันต์ พ่อมาส่งที่โรงเรียนตอนเช้า แม่ใส่ชุดข้าราชการมารับตอนเย็น เข้าค่ายเดินทางไกลแม่ก็มาเฝ้า มาส่งเสบียง ไม่เคยไปไหนเอง ขึ้นรถเมล์ก็ไม่เป็น จนถึงวันที่เรารู้สึกเหนื่อยจนอยากหลับไปตลอดกาล
แบบไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย

ปล.เมื่อไม่นานมานี้เปิดทีวีทิ้งไว้แล้วได้ยินเสียงหมอลักษณ์ฟันธงบอกว่า "ชาวราศีมังกรเป็นพวกดวงเดนตาย
คือถ้าจะตายน่ะตายไปนานแล้ว แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไปแล้ว" เราฟังแล้วยังหัวเราะเลยว่า เออ...จริง 55+
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่