จากกรณีขอคืนที่ดินจากอุเทนถวายนั้น (ตามข่าว)  มีคณะกรรมการ คณะหนึ่งลงความเห็นว่าที่ดินเป็นสมบัติของ ม.จุฬา ฯ  นั้น  ผมมีความเห็นแย้งว่าที่ดินดังกล่าวนั้นเป็นของทางราชการมากกว่า   เพราะที่แล้วมา ม.จุฬา ฯ  เคยเสียภาษี    ที่ดิน   ภาษีโรงเรือนเกี่ยวกับการให้เช่าที่ดินหรือไม่   ถ้าไม่ได้เสียเลยก็แสดงว่าเป็นที่ดินของทางราชการ  เพราะที่ดินของทางราชการเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้นการเสียภาษี   เหมือนกับรถยนต์ของทางราชการ  ก็ได้รับการยกเว้นการเสียภาษีป้ายวงกลม   รถยนต์ของ ม.จุฬา  จะถือว่าเป็นสมบัติของ ม. จุฬา  ไม่ได้   ถ้าเป็นของ ม.จุฬา ๆ ต้องเสียภาษีป้ายวงกลม  จึงจะถือว่าเป็นสมบัติของ ม.จุฬา  

ดังนั้นที่ดินดังกล่าวถ้าไม่เคยเสียภาษีที่ดิน และภาษี อื่น ๆ ฯลฯ  นั่นแสดงให้เห็นว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของทางราชการ  ไม่ใช่สมบัติขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง  ดังนั้นผมจึงเห็นว่าคณะกรรมการดังกล่าวที่พิจารณาเรื่องนี้เข้าใจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง  จึงอยากที่จะให้สาธารณะชนเห็นใจ  อุเทนถวาย  และองค์กรราชการต่าง ๆ ที่เช่าที่ของจุฬาอยู่  ประชาชน เท่านั้นที่จะรับรู้ถึงความยุติธรรมและความถูกต้องอย่างแท้จริง  องค์กรราชการรวมทั้งอุเทนถวาย  ต่อสู้อย่างไรก็แพ้ครับ  ไม่ว่าจะต่อสู้ไปถึงที่สุดในวิถีทางใดก็แล้วแต่  บ้านเมืองนี้มันถูกความโลภโมโทสันครอบงำหมดแล้วครับ  

องค์กรราชการแต่ละองค์กรมีความสำคัญคัญและมีประโยชน์ครับ   แต่ละองค์กรมีประวัติมีความเป็นมามีความผูกพันธ์ต่อบุคลากร  ขององค์กร  จึงทำให้มีความผูกพันธ์รักใคร่ห่วงแหน   ยิ่งเป็นสถาบันการศึกษด้วยแล้วยิ่งมีมาก  ก็ขอให้คิดกันเอาเองว่าเป็นอย่างไร    เพราะผมเชื่อว่าทุกคนก็ผ่านโรงเรียน  เคยเรียนในสถาบันการศึกษามาแล้วทั้งนั้น  ถ้าสถาบันอันเป็นที่รักที่หวงแหนของตนถูกรังแก  ท่านจะหาทางช่วยเหลืออย่างไร  หรือท่านจะนิ่งดูดายก็แล้วแต่   อย่าหวังพึ่งผู้บริหารเด็ดขาด  บอกได้คำเดียว  

ที่สุดนี้ ขอบารมีแห่งคุณความดีที่คนไทยร่วมกันสร้างมาแล้วตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน   หากสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดมานี้เป็นเรื่องจริง  ก็ขอให้องค์กรราชการต่าง ๆ ที่เช่าที่จุฬา  ร่วมทั้งก่อสร้างอุทนถวาย  จงได้รับชัยชนะและได้ที่ดินที่ตั้งอยู่นี้  เป็นที่ตั้งขององค์กรต่าง ๆ สืบต่อไปตลอดกาลนาน