================เรื่องของยักษ์...ยัก===================

กระทู้สนทนา
"ยักษ์"......
ทำไมถึงเรียกว่ายักษ์....ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะครับ...
รู้แต่ว่า...ยักษ์...เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่ง ...จะมีเพชร หรือไม่มีเพชร...แต่ถ้ามีเขี้ยวละก็...เรียกยักษ์เหมือนกันหมดแหละ
ยักษ์ประเภทนี้ ต้องเขียน..."ยักษ์"  แบบนี้  แต่ถ้าเขียน..."ยัก"...แบบนี้ จะมีความหมายไปอีกแบบหนึ่ง
เป็นไปในทางไม่ดี...เช่น..."ยักยอก"..."ยักย้ายถ่ายเท"  ฯลฯ ล้วนแต่เป็นสิ่งไม่ดีทั้งสิ้น


เรื่องของ ยักษ์ มีกล่าวถึงทั้งในทางศาสนาและวรรณคดีมานาน  มีทั้งยักษ์ไทย ยักษ์เทศ เยอะแยะไปหมด
โดยเฉพาะความเชื่อแบบไทยๆที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ
แถมยังเชื่อว่า ยักษ์ มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับบุญบารมีของยักษ์อีกด้วยแน่ะ

ยักษ์ชั้นสูงจะมีวิมานเป็นทอง มีรูปร่างสวยงาม ปกติจะไม่เห็นเขี้ยว เวลาโกรธจึงจะมีเขี้ยวงอกออกมา
ส่วนจะยาวเป็นเขี้ยวลากดินหรือไม่.....ข่าวไม่ได้แจ้ง...

ยักษ์ชั้นกลาง และชั้นต่ำ  ส่วนใหญ่จะเป็นบริวารของยักษ์ชั้นสูง ....ก็แหงอยู่แล้วเนอะ...จะบอกทำไมเนี่ย !
ยักษ์ชั้นต่ำที่บุญน้อยก็จะมีรูปร่างน่ากลัว ผมหยิกตัวดำผิวหยาบนิสัยดุร้าย......คงเป็นชั้นต่ำมากๆแฮะ
      
จะเห็นได้ว่า ในวัดวาอารามต่างๆ มักจะมียักษ์มาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของวัดหรือโบราณสถาน
ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นยักษ์แบกเจดีย์ในวัดพระแก้ว รูปปั้นยักษ์แบกองค์พระปรางค์วัดอรุณฯ หรือยักษ์วัดโพธิ์ ฯลฯ

ตามตำนานเล่าว่า...
พระพุทธเจ้าได้เทศน์สั่งสอนยักษ์ให้ลดทิฐิมานะ ยักษ์ที่ได้ฟังและเข้าใจในพระธรรม
จึงได้กลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนา หรืออีกนัยหนึ่งก็หมายถึงผู้แบกสรวงสวรรค์
และทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองสถูปสถาน และอาคารศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นการค้ำชูพระพุทธศาสนาให้มั่งคงและเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมา

ยักษ์วัดพระแก้ว





มีนิทาน มีตำนานเรื่องยักษ์เฝ้าวัดเล่ากันว่า  ยักษ์วัดแจ้ง และยักษ์วัดโพธิ์  ก่อนจะตีกันพื้นดินราบเลี่ยนเตียนโล่ง
เป็นท่าเตียนทุกวันนี้  ว่ากันว่า....สองยักษ์นี้เคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน ไปมาหาสู่ร่ำสุรายาดองกันเป็นประจำ


ยักษ์วัดโพธิ์รักษาการอยู่ฝั่งพระนคร





ยักษ์วัดแจ้งรักษาการอยู่ฝั่งธนบุรี





วันหนึ่งทางฝ่ายยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน  (ไม่รู้จะเอาเงินไปซื้ออะไร คนเล่านิทานไม่ได้บอกไว้)  


จึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดแจ้ง แต่แล้วกลับเบี้ยวไม่ยอมจ่ายหนี้ ทวงแล้วทวงอีก ก็นิ่งเฉย..

วันหนึ่งยักษ์วัดแจ้งอดรนทนไม่ไหว ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามายื่นคำขาดทวงเงินคืน แต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ยอมให้
อ้างว่ายังไม่มีเงินเฟ้ย....ไม่หนี...ไม่จ่าย...(ยังดันทะลึ่งมีคนจำมาพูดแฮะ)...

เมื่อพูดกันไม่รู้เรื่อง...ในที่สุด  ยักษ์ทั้ง 2 ฝ่าย จึงทะเลาะถึงขั้นต่อสู้กัน
แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตมหึมาและมีกำลังมหาศาล ต่างผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ฟาดฟันกันด้วยตะบอกเหล็กคู่มือพัลวัน
ทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นถูกยักษ์ทั้งสองเหยียบย่ำจนล้มตายราบเรียบ โล่งเตียนไปหมด

เดือดร้อนไปถึงพระอิศวรโน่น...
เมื่อความถึงพระเนตรพระกรรณ์พระอิศวร  จึงได้ลงโทษโดยการสาปให้ยักษ์ทั้งคู่ กลายเป็นหิน (ก่อนจะตีกันยังมีเนื้อหนังอยู่อ่ะ)

แล้วให้ยักษ์วัดโพธิ์ทำหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าพระอุโบสถ
และให้ยักษ์วัดแจ้งทำหน้าที่ยืนเฝ้าพระวิหารวัดแจ้งเรื่อยมา ตราบเท่าทุกวันนี้

จากอิทธิฤทธิ์ของผู้มีอำนาจ มีบุญญาบารมีสองฝ่าย
ก่อให้เกิดผลกระทบต่อบรรดาต้นไม้ใบหญ้า..ตลอดจนรากหญ้า  ต้องแหลกราญราบเรียบเตียนโล่ง
จนถูกจารึกชื่อบริเวณสมรภูมินั้นว่า...ท่าเตียน...เป็นอนุสรณ์

แม้ปัจจุบันนี้จะรุงรังขนาดไหน แต่ก็ยังคงชื่อว่า..."ท่าเตียน"  ไม่เปลี่ยนแปลง

พลังของยักษ์  มันแรงทุกยุคทุกสมัย....

เรื่องของยักษ์  แม้จะไม่ใช่ ยัก มันมักจะมีอะไรที่คล้ายๆกัน

โดยเฉพาะถ้าเกิดการ ยัก ในวง หก สี่ เอี่ยว ละก็มีหวัง..
โดนยำเอาง่ายๆเหมือนกัน...!!
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่