สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
รักอยากจะทำอะไร ก็ทำอย่างนั้นดีกว่าครับ มาถามคนอื่นมันก็ตอบแทนยาก
งานทุกงานมีข้อดี-ข้อเสีย ของมันเองทั้งนั้น
ถ้าไปถามคนทำงานกินเงินเดือน แต่ว่าเขาเติบโตเร็ว เจริญก้าวหน้า สิ่งแวดล้อมดี เงินเดือนขึ้นเร็ว เขาก็จะบอกว่า ทำงานเอกชนดี
แต่ถ้าคุณไปถามคนที่ได้เงินเดือนน้อย ตำแหน่งตัน เงินเดือนไม่ค่อยขึ้น โบนัสไม่มี งานกดดัน เขาก็จะบอกว่า มันไม่ดี
เช่นเดียวกัน ถ้าไปถามคนทำธุรกิจส่วนตัว คนที่ทำแล้วรวย เขาก็จะบอกว่า จะกินเงินเดือนทำไม ออกมาค้าขายดีกว่า
แต่ถ้าคุณไปถามคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวแล้วไม่รุ่ง เขาก็จะบอกว่า ค้าขายไ่ม่ดี บลาๆๆๆ กินเงินเดือนแหละดีแล้ว
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร คุณตอบใจตัวเองให้ได้ก่อนว่า
- อยากทำอะไร
- รักในสิ่งที่ทำหรือไม่
- แผนการในการอนาคตจะเป็นอย่างไร ถ้าทำอาชีพนั้น หรือว่าทำอาชีพอื่นดีกว่ากัน (วางแผนไว้ แต่มันอาจจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางก็ได้ แต่การวางแผนย่อมดีกว่า ไปตายเอาดาบหน้า แบบไม่ได้วางแผนอะไรเลย)
เมื่อคุณได้คำตอบ และตัดสินใจไปแล้ว คุณก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพราะคุณได้เลือกมันแล้ว ไม่มีใครมาบอกได้หรอกว่า อาชีพไหนดีกว่ากัน อาชีพไหนมีอนาคตกว่ากัน
คนบางคนจบสาขาเดียวกัน เริ่มต้นทำงานตำแหน่งเดียวกัน เงินเดือนใกล้เคียงกัน ผ่านไป 10 ทุกๆ อย่างมันไม่เหมือนกันแล้ว คนนึงอาจจะรุ่ง มีเงินเดือนสูง มีบ้าน มีรถ ไม่มีหนี้ อีกคนอาจจะมีเงินเดือนแค่พอ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เงินเก็บไม่มี ก็มีถมไป มันมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่เข้ามากระทบ และทำให้ทุกอย่างมันไม่เหมือนกันครับ
เพราะฉะนั้นตอบใจตัวเองให้ได้ก็พอ ทำมันให้ดีที่สุด ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เพราะเราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่เรารู้ไว้ว่า "เราทำดีที่สุดแล้ว" ก็พอ
งานทุกงานมีข้อดี-ข้อเสีย ของมันเองทั้งนั้น
ถ้าไปถามคนทำงานกินเงินเดือน แต่ว่าเขาเติบโตเร็ว เจริญก้าวหน้า สิ่งแวดล้อมดี เงินเดือนขึ้นเร็ว เขาก็จะบอกว่า ทำงานเอกชนดี
แต่ถ้าคุณไปถามคนที่ได้เงินเดือนน้อย ตำแหน่งตัน เงินเดือนไม่ค่อยขึ้น โบนัสไม่มี งานกดดัน เขาก็จะบอกว่า มันไม่ดี
เช่นเดียวกัน ถ้าไปถามคนทำธุรกิจส่วนตัว คนที่ทำแล้วรวย เขาก็จะบอกว่า จะกินเงินเดือนทำไม ออกมาค้าขายดีกว่า
แต่ถ้าคุณไปถามคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวแล้วไม่รุ่ง เขาก็จะบอกว่า ค้าขายไ่ม่ดี บลาๆๆๆ กินเงินเดือนแหละดีแล้ว
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร คุณตอบใจตัวเองให้ได้ก่อนว่า
- อยากทำอะไร
- รักในสิ่งที่ทำหรือไม่
- แผนการในการอนาคตจะเป็นอย่างไร ถ้าทำอาชีพนั้น หรือว่าทำอาชีพอื่นดีกว่ากัน (วางแผนไว้ แต่มันอาจจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางก็ได้ แต่การวางแผนย่อมดีกว่า ไปตายเอาดาบหน้า แบบไม่ได้วางแผนอะไรเลย)
เมื่อคุณได้คำตอบ และตัดสินใจไปแล้ว คุณก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพราะคุณได้เลือกมันแล้ว ไม่มีใครมาบอกได้หรอกว่า อาชีพไหนดีกว่ากัน อาชีพไหนมีอนาคตกว่ากัน
คนบางคนจบสาขาเดียวกัน เริ่มต้นทำงานตำแหน่งเดียวกัน เงินเดือนใกล้เคียงกัน ผ่านไป 10 ทุกๆ อย่างมันไม่เหมือนกันแล้ว คนนึงอาจจะรุ่ง มีเงินเดือนสูง มีบ้าน มีรถ ไม่มีหนี้ อีกคนอาจจะมีเงินเดือนแค่พอ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เงินเก็บไม่มี ก็มีถมไป มันมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่เข้ามากระทบ และทำให้ทุกอย่างมันไม่เหมือนกันครับ
เพราะฉะนั้นตอบใจตัวเองให้ได้ก็พอ ทำมันให้ดีที่สุด ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เพราะเราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่เรารู้ไว้ว่า "เราทำดีที่สุดแล้ว" ก็พอ
ความคิดเห็นที่ 18
อันนี้ขอเป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ แล้วแต่บุคคล
ขึ้นกับนิสัยใจ คอ บุคคลิกด้วยครับ
อันนี้ต้องถามตัวเอง ล้วนๆครับ
ผมเคยรับราชการ 2 รอบ แล้วก็ต้องลาออกทั้ง 2 รอบ
อาชีพข้าราชการไม่เหมาะ สมกับผมเลย ผมพยายามอยูให้นานที่สุด ตามความต้องการของคุณแม่
ครั้งแรกเป็น อาจารย์ใน ม. ทางภาคใต้ บรรจุแล้ว ทำได้ 1.5 ปีลาออก
ครั้งที่2 ทำได้ 2 ปีเต็ม ผมลาออก
ผมมีความรู้สึกชัดเจนว่า ระบบราชการ มันบั่นทอน ความสามารถผมโดยสิ้นเชิง
ผมต้องการเงินเยอะๆต้องการมีอิสระภาพทางการเงิน อยากขับเบนซ์(อันนี้พูดตรงๆเลยนะครับ)
อยากเที่ยวเมืองนอก อยากมีความมั่งคง กับลูกกับภรรยา
ถ้าอยู่ราชการคงไม่มีทางได้ครับ
แต่เอกชน ต้องยอมรับความเสี่ยงเหมือนกัน รายได้สูง ก็เสี่ยงสูง
สรุปว่า ลองถามความต้องการตัวเองเป็นหลักครับ
ขึ้นกับนิสัยใจ คอ บุคคลิกด้วยครับ
อันนี้ต้องถามตัวเอง ล้วนๆครับ
ผมเคยรับราชการ 2 รอบ แล้วก็ต้องลาออกทั้ง 2 รอบ
อาชีพข้าราชการไม่เหมาะ สมกับผมเลย ผมพยายามอยูให้นานที่สุด ตามความต้องการของคุณแม่
ครั้งแรกเป็น อาจารย์ใน ม. ทางภาคใต้ บรรจุแล้ว ทำได้ 1.5 ปีลาออก
ครั้งที่2 ทำได้ 2 ปีเต็ม ผมลาออก
ผมมีความรู้สึกชัดเจนว่า ระบบราชการ มันบั่นทอน ความสามารถผมโดยสิ้นเชิง
ผมต้องการเงินเยอะๆต้องการมีอิสระภาพทางการเงิน อยากขับเบนซ์(อันนี้พูดตรงๆเลยนะครับ)
อยากเที่ยวเมืองนอก อยากมีความมั่งคง กับลูกกับภรรยา
ถ้าอยู่ราชการคงไม่มีทางได้ครับ
แต่เอกชน ต้องยอมรับความเสี่ยงเหมือนกัน รายได้สูง ก็เสี่ยงสูง
สรุปว่า ลองถามความต้องการตัวเองเป็นหลักครับ
ความคิดเห็นที่ 35
บริษัทเอกชนก็มีหลายแบบนะคะ ถ้าไม่ใช่บริษัทระดับชาติ เงินเดือนและสวัสดิการอาจไม่สูงเท่าไร รับราชการน่าจะดีกว่า แต่ต้องเป็นข้าราชการนะคะ ไม่ใช่พนักงานราชการที่สวัสดิการต่างกันมาก ถ้าเป็นพนักงานราชการ เลือกเอกชนอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
จะเล่าประสบการณ์ให้ฟังเพื่ออาจเป็นข้อมูลในการช่วยตัดสินใจนะคะ เริ่มต้นงานครั้งแรกที่รัฐวิสาหกิจใหญ่ สวัสดิการดี พ่อแม่ได้รักษาพยาบาลด้วย แต่งานไปเรื่อยๆ ท้าทายไม่มาก ทำอยู่ได้หลายปีเหมือนกัน ในที่สุดก็เลยลาออกมาทำเอกชนที่เป็นบริษัทข้ามชาติติดอันดับหนึ่งในห้าของประเทศในสมัยนั้น หกเดือนแรกเจอการเปลี่ยนแปลงเยอะแยะ เนื่องจากวัฒนธรรมขององค์กรไม่เหมือนกัน เลยเกือบถอยกลับไปอยู่ที่เก่า แต่ในที่สุดก็อยู่จนเกษียณ จากเท่าที่เปรียบเทียบได้คือ งานเอกชนเหนื่อยกว่ามากกกก แต่ก็มีโอกาสที่จะให้เราก้าวหน้าได้ สวัสดิการดี ผลตอบแทนดีมาก แต่ไม่มีเวลาใช้เงิน ภาษีสังคมสูงมาก เรียกว่าหาได้เยอะก็ต้องใช้เยอะ ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โตยเฉพาะถ้าเป็นบริษัทข้ามชาติ เพราะจะมีอะไรใหม่จากบริษัทแม่อยู่ตลอดเวลา ถ้าทำไมได้หรือเห็นขัดแย้งกับนโยบายหลักของบริษัทแม่ คุณก็ต้องออกไป ความมั่นคงไม่มี เพราะบางครั้งถึงเขาไม่ให้คุณออก คุณก็อาจต้องลาออกเองเพราะเริ่มรับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงนั้น ทำเอกชนดีตรงที่เป้าหมายจะแน่ชัด และคุณต้องทำให้ได้ถึงเป้า ทุกตำแหน่งมีเป้าหมดไม่ว่าคุณจะอยู่ admin, sales, operation ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะผลงานวัดตามเป้าเหล่านี้ ทำให้คุณก้าวหน้าไปได้เร็ว แต่มันก็มีข้อเสียเช่นกัน เพราะแต่ละคนและแต่ละหน่วยงานก็พยายามทำให้ถึงเป้า แต่เป้าของเรามันอาจชัดแย้งกับหน่วยอื่น เช่นฝ่าย operation ก็พยายามจำกัดเวลาทำงาน ลดโอที เพื่อให้ถึงเป้าว่า operate ได้ด้วยต้นทุนต่ำ แต่ทางฝ่ายขายก็อยากให้ operation เพิ่ม facility ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น อย่างเช่น อยากให้ operation เปิด 24 ชั่วโมง เพื่อตัวเองจะได้ขายของง่ายขั้น เหล่านี้ทำให้เกิดความขัดแย้งและความเครียดได้ หากคุณสามรถรับมือกับเรื่องเหล่านี้ได้ คุณก็สามารถทำเอกชนได้สบายๆ เพราะการรับมือกับเรื่องเหล่านี้แสดงถึงความสามารถในการจัดการของคุณซึ่งก็มีผลต่อความก้าวหน้าของคุณเช่นกัน เอกชนถ้าทำแบบไม่ active มากนักก็ทำได้ แต่คุณจะไม่มีความก้าวหน้า และคุณจะรับได้ไหม ว่าสักวันลุกน้องคุณอาจจะมาเป็นนายคุณของเหล่านี้มันเกิดขึ่นได้ค่ะ
แต่บอกตรงๆนะคะ พออายุมากขึ้นสุขภาพเริ่มเสื่อมถอย เงินที่ได้ ตำแหน่งสูงในองค์กรใหญ่ก็เริ่มไม่มีความหมาย ชีวิตที่ต้องวิ่งอยู่ตลอดเวลาก็เรื่มล้า จนถึงจุดหนึ่งที่เราอาจจะเริ่มรุ้สึกสิ่งเหล่านี้มันมีคุณค่ากับเราจริงหรือเปล่า
องค๋กรเองก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งวิธีการทำงาน เทคโนโลยี่ที่เอามาใช้ วิธีการทำงานแบบข้ามชาติ ตำแหน่งที่คุณเคยอยู่อาจถูกยุบเพราะด้วยเทคโนโลยี่การสื่อสารที่ก้าวหน้าขึ้น ตำแหน่งนี้อาจไม่ต้องมีทุกประเทศ อาจต้องการแค่หนึ่งคนสำหรับเอเชียทั้งทวีป กรณีนี้คุณก็ต้องแข่งขันกับคนตำแหน่งเดียวกันในประเทศอื่นว่าใครกันแน่ที่จะได้อยู่ ใครต้องออกไป หากคุณถูกเลือกให้เป็นคนที่อยู่ คุณจะต้องเดินทางเยอะ จนไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว หรือต่อให้อยู่เมืองไทย คุณอาจต้องตื่นขึ้นมาตอนตีสามบ่อยๆเพื่อทำ teleconference กับทางอเมริกา หรือคุณอาจต้องออกจากที่ทำงานตั้งแต่บ่ายสามเพื่อกลับไปรอ teleconference กับยุโรปตอนหกโมงเย็น หรืออาจจะเจอว่าบริษัทมีนโยบายว่าจะ outsource งาน IT ทั้งหมดไปให้ IBM ที่อินเดีย บริษัทเลยต้องปลดเจ้าหน้า IT ทั่วโลกเป็นพันคน แต่เทคโนโลยี่เหล่านี้ก็มีประโยชน์นะคะ เพราะบริษัทจะไม่บังคับให้คุณเข้า office ทุกวัน ทำงานที่ไหนก็ทำได้เหมือนกัน อย่างดิฉันช่วงที่ป่วย ขอลาออกบริษัทก็เลยติดตั้งอุปกรณ์ต่างให้ที่บ้าน และให้ทำงานที่บ้านแทน เข้า office ตามจำเป็นเท่านั้น อย่างเช่นเวลามีแขก
ที่เล่าข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างเพื่อจะบอกให้ทราบว่าแนวโน้มของการจ้างงานเอกชนคือเขาจ้างแรงงานคุณ ตอนที่คุณเป็นที่ต้องการ ผลตอบแทนจะสูง แต่ถ้าเขาเปลี่ยนวิธีการทำงานเมื่อไร คุณอาจจะต้องออกไป ไม่เกี่ยวกับว่าคุณเคยทำงานดีให้บริษัทมามากมาย แต่เขาต้องเลิกจ้างเพราะเขาไม่มีงานให้ profile แบบคุณอีกต่อไป แต่ถ้า skill ของคุณยังเป็นที่ต้องการอยู่ ต่อให้คุณอายุเกิน เขาก็จะต่ออายุให้คุณ คุณป่วยเข้า office ทุกวันไม่ไหว เอาก็จะหา facility มาให้ หรือขนาดคุณลาออกไปแล้ว เขาก็จะติดต่อคุณให้กลับมาทำอีก แต่ถ้า skill ของคุณไม่ตรงแล้ว คุณก็ต้องออก หรือหาตำแหน่งลงที่อื่นซึ่งอาจเหมาะหรือไม่เหมาะกับคุณก็ได้ หากคุณรับตำแหน่งแล้วทำได้ดีก็ดีไป คุณก็อยู่ต่อไปได้ แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ตามเป้าหมาย คุณก็ต้องไป
ดังนั้นถ้าคุณจะมาทำเอกชน คุณต้องเตรียมพร้อมกับเรื่องเหล่านี้ นอกเหนือจากการทำงานในเนื้องานความรับผิดชอบอย่างเดียว แต่ยืนยันได้ค่ะว่าถ้าเป็นบริษัทระดับใหญ่ๆ ผลตอบแทนจะค่อนข้างดี ไปถึงดีมาก สวัสดิการส่วนตัวดี บางบริษัทอาจมีการช่วยดอกเบี้ยซื้อบ้าน ซื้อรถ รักษาพยาบาลในโรงพยาบาลชั้นนำ แต่คุณอาจต้องแลกกับความไม่มั่นคง การทำงานหนัก เป้าหมายที่สูงมาก ซึ่งถ้ามองให้บวก มันก็คือความท้าทาย แต่บางทีก็ต้องแลกกับสุขภาพ เงินที่หาได้คุณต้องวางแผนเก็บออมเอง ไม่ใช่แค่เพื่อใช่ยามเกษียณเท่านั้น คุณอาจต้องเผื่อไว้ในกรณีที่ตกงานด้วย แม้บางบริษัทจะมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ แต่ยขอบอกว่าแค่นั้นไม่พอค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้คนอายุยืนขึ้น
ขอให้โชคดีและพิจารณาดีๆนะคะ ทำเอกชนดีนะคะ ท้าทาย ผลตอบแทนดี แต่เหนื่อยมากและคุณต้องวางแผนการเงินให้ดี ถ้าพ่อแม่ได้สวัสดิการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชกร น่าจะเป็นตัวหนึ่งที่มาช่วยในการตัดสินใจนะคะ เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสำหรับคนสูงอายุจะสูงมาก ถ้ามีสวัสดิการ อย่างน้อยเราอาจจะจ่ายแค่ยา หรืออุปกรณ์พิเศษ เพราะเดี๋ยวนี้โรงพยาบาลเอกชนแพงมาก ถ้าต้องอยูหลายๆวันอาจหมดตัวเอาง่ายๆ
จะเล่าประสบการณ์ให้ฟังเพื่ออาจเป็นข้อมูลในการช่วยตัดสินใจนะคะ เริ่มต้นงานครั้งแรกที่รัฐวิสาหกิจใหญ่ สวัสดิการดี พ่อแม่ได้รักษาพยาบาลด้วย แต่งานไปเรื่อยๆ ท้าทายไม่มาก ทำอยู่ได้หลายปีเหมือนกัน ในที่สุดก็เลยลาออกมาทำเอกชนที่เป็นบริษัทข้ามชาติติดอันดับหนึ่งในห้าของประเทศในสมัยนั้น หกเดือนแรกเจอการเปลี่ยนแปลงเยอะแยะ เนื่องจากวัฒนธรรมขององค์กรไม่เหมือนกัน เลยเกือบถอยกลับไปอยู่ที่เก่า แต่ในที่สุดก็อยู่จนเกษียณ จากเท่าที่เปรียบเทียบได้คือ งานเอกชนเหนื่อยกว่ามากกกก แต่ก็มีโอกาสที่จะให้เราก้าวหน้าได้ สวัสดิการดี ผลตอบแทนดีมาก แต่ไม่มีเวลาใช้เงิน ภาษีสังคมสูงมาก เรียกว่าหาได้เยอะก็ต้องใช้เยอะ ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โตยเฉพาะถ้าเป็นบริษัทข้ามชาติ เพราะจะมีอะไรใหม่จากบริษัทแม่อยู่ตลอดเวลา ถ้าทำไมได้หรือเห็นขัดแย้งกับนโยบายหลักของบริษัทแม่ คุณก็ต้องออกไป ความมั่นคงไม่มี เพราะบางครั้งถึงเขาไม่ให้คุณออก คุณก็อาจต้องลาออกเองเพราะเริ่มรับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงนั้น ทำเอกชนดีตรงที่เป้าหมายจะแน่ชัด และคุณต้องทำให้ได้ถึงเป้า ทุกตำแหน่งมีเป้าหมดไม่ว่าคุณจะอยู่ admin, sales, operation ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะผลงานวัดตามเป้าเหล่านี้ ทำให้คุณก้าวหน้าไปได้เร็ว แต่มันก็มีข้อเสียเช่นกัน เพราะแต่ละคนและแต่ละหน่วยงานก็พยายามทำให้ถึงเป้า แต่เป้าของเรามันอาจชัดแย้งกับหน่วยอื่น เช่นฝ่าย operation ก็พยายามจำกัดเวลาทำงาน ลดโอที เพื่อให้ถึงเป้าว่า operate ได้ด้วยต้นทุนต่ำ แต่ทางฝ่ายขายก็อยากให้ operation เพิ่ม facility ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น อย่างเช่น อยากให้ operation เปิด 24 ชั่วโมง เพื่อตัวเองจะได้ขายของง่ายขั้น เหล่านี้ทำให้เกิดความขัดแย้งและความเครียดได้ หากคุณสามรถรับมือกับเรื่องเหล่านี้ได้ คุณก็สามารถทำเอกชนได้สบายๆ เพราะการรับมือกับเรื่องเหล่านี้แสดงถึงความสามารถในการจัดการของคุณซึ่งก็มีผลต่อความก้าวหน้าของคุณเช่นกัน เอกชนถ้าทำแบบไม่ active มากนักก็ทำได้ แต่คุณจะไม่มีความก้าวหน้า และคุณจะรับได้ไหม ว่าสักวันลุกน้องคุณอาจจะมาเป็นนายคุณของเหล่านี้มันเกิดขึ่นได้ค่ะ
แต่บอกตรงๆนะคะ พออายุมากขึ้นสุขภาพเริ่มเสื่อมถอย เงินที่ได้ ตำแหน่งสูงในองค์กรใหญ่ก็เริ่มไม่มีความหมาย ชีวิตที่ต้องวิ่งอยู่ตลอดเวลาก็เรื่มล้า จนถึงจุดหนึ่งที่เราอาจจะเริ่มรุ้สึกสิ่งเหล่านี้มันมีคุณค่ากับเราจริงหรือเปล่า
องค๋กรเองก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งวิธีการทำงาน เทคโนโลยี่ที่เอามาใช้ วิธีการทำงานแบบข้ามชาติ ตำแหน่งที่คุณเคยอยู่อาจถูกยุบเพราะด้วยเทคโนโลยี่การสื่อสารที่ก้าวหน้าขึ้น ตำแหน่งนี้อาจไม่ต้องมีทุกประเทศ อาจต้องการแค่หนึ่งคนสำหรับเอเชียทั้งทวีป กรณีนี้คุณก็ต้องแข่งขันกับคนตำแหน่งเดียวกันในประเทศอื่นว่าใครกันแน่ที่จะได้อยู่ ใครต้องออกไป หากคุณถูกเลือกให้เป็นคนที่อยู่ คุณจะต้องเดินทางเยอะ จนไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว หรือต่อให้อยู่เมืองไทย คุณอาจต้องตื่นขึ้นมาตอนตีสามบ่อยๆเพื่อทำ teleconference กับทางอเมริกา หรือคุณอาจต้องออกจากที่ทำงานตั้งแต่บ่ายสามเพื่อกลับไปรอ teleconference กับยุโรปตอนหกโมงเย็น หรืออาจจะเจอว่าบริษัทมีนโยบายว่าจะ outsource งาน IT ทั้งหมดไปให้ IBM ที่อินเดีย บริษัทเลยต้องปลดเจ้าหน้า IT ทั่วโลกเป็นพันคน แต่เทคโนโลยี่เหล่านี้ก็มีประโยชน์นะคะ เพราะบริษัทจะไม่บังคับให้คุณเข้า office ทุกวัน ทำงานที่ไหนก็ทำได้เหมือนกัน อย่างดิฉันช่วงที่ป่วย ขอลาออกบริษัทก็เลยติดตั้งอุปกรณ์ต่างให้ที่บ้าน และให้ทำงานที่บ้านแทน เข้า office ตามจำเป็นเท่านั้น อย่างเช่นเวลามีแขก
ที่เล่าข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างเพื่อจะบอกให้ทราบว่าแนวโน้มของการจ้างงานเอกชนคือเขาจ้างแรงงานคุณ ตอนที่คุณเป็นที่ต้องการ ผลตอบแทนจะสูง แต่ถ้าเขาเปลี่ยนวิธีการทำงานเมื่อไร คุณอาจจะต้องออกไป ไม่เกี่ยวกับว่าคุณเคยทำงานดีให้บริษัทมามากมาย แต่เขาต้องเลิกจ้างเพราะเขาไม่มีงานให้ profile แบบคุณอีกต่อไป แต่ถ้า skill ของคุณยังเป็นที่ต้องการอยู่ ต่อให้คุณอายุเกิน เขาก็จะต่ออายุให้คุณ คุณป่วยเข้า office ทุกวันไม่ไหว เอาก็จะหา facility มาให้ หรือขนาดคุณลาออกไปแล้ว เขาก็จะติดต่อคุณให้กลับมาทำอีก แต่ถ้า skill ของคุณไม่ตรงแล้ว คุณก็ต้องออก หรือหาตำแหน่งลงที่อื่นซึ่งอาจเหมาะหรือไม่เหมาะกับคุณก็ได้ หากคุณรับตำแหน่งแล้วทำได้ดีก็ดีไป คุณก็อยู่ต่อไปได้ แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ตามเป้าหมาย คุณก็ต้องไป
ดังนั้นถ้าคุณจะมาทำเอกชน คุณต้องเตรียมพร้อมกับเรื่องเหล่านี้ นอกเหนือจากการทำงานในเนื้องานความรับผิดชอบอย่างเดียว แต่ยืนยันได้ค่ะว่าถ้าเป็นบริษัทระดับใหญ่ๆ ผลตอบแทนจะค่อนข้างดี ไปถึงดีมาก สวัสดิการส่วนตัวดี บางบริษัทอาจมีการช่วยดอกเบี้ยซื้อบ้าน ซื้อรถ รักษาพยาบาลในโรงพยาบาลชั้นนำ แต่คุณอาจต้องแลกกับความไม่มั่นคง การทำงานหนัก เป้าหมายที่สูงมาก ซึ่งถ้ามองให้บวก มันก็คือความท้าทาย แต่บางทีก็ต้องแลกกับสุขภาพ เงินที่หาได้คุณต้องวางแผนเก็บออมเอง ไม่ใช่แค่เพื่อใช่ยามเกษียณเท่านั้น คุณอาจต้องเผื่อไว้ในกรณีที่ตกงานด้วย แม้บางบริษัทจะมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ แต่ยขอบอกว่าแค่นั้นไม่พอค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้คนอายุยืนขึ้น
ขอให้โชคดีและพิจารณาดีๆนะคะ ทำเอกชนดีนะคะ ท้าทาย ผลตอบแทนดี แต่เหนื่อยมากและคุณต้องวางแผนการเงินให้ดี ถ้าพ่อแม่ได้สวัสดิการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชกร น่าจะเป็นตัวหนึ่งที่มาช่วยในการตัดสินใจนะคะ เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสำหรับคนสูงอายุจะสูงมาก ถ้ามีสวัสดิการ อย่างน้อยเราอาจจะจ่ายแค่ยา หรืออุปกรณ์พิเศษ เพราะเดี๋ยวนี้โรงพยาบาลเอกชนแพงมาก ถ้าต้องอยูหลายๆวันอาจหมดตัวเอาง่ายๆ
แสดงความคิดเห็น
ระหว่างรับราชการกับพนักงานบริษัท ควรเลือกอย่างไหน เพราะอะไรคะ ขอความเห็นหน่อยค่ะ
ระหว่างงานราชการ ที่เงินเดือนน้อย แต่มั่นคง
กับพนักงานบริษัท ที่เงินเดือนสูง แต่ทำงานภายในสภาวะกดดัน
จะเลือกทำงานรูปแบบไหนดี
เพราะอะไรคะ ?