การภาวนาโดยการบริกรรมพุทโธ สองแบบนี้ ต่างกันอย่างไรครับ
แบบที่ 1 ผมภาวนาโดยบริกรรมคำว่าพุทโธ โดยให้ความสนใจไปที่คำบริกรรมคือคำว่าพุทโธ
แบบที่ 2 ผมภาวนาโดยบริกรรมคำว่า พุทโธ โดยรู้สึกเ้้ข้ามาที่ตัวที่กำลังบริกรรม อยู่ (ผมอธิบายไม่ค่อยถูกเหมือนกัน เหมือนมันระลึกเข้ามาดูที่ตำแหน่งที่เกิดเสียงบริกรรมนี้ในใจ)
ผลคือ ทำแบบที่ 2 เกิดอาการปีติวาบขึ้นแทบจะทันที (ปกติผมเป็นคนเกิดปีติง่ายอยู่แล้วครับ แต่ทำสมถะบางแบบ ก็ใช้เวลา บางแบบก็มีปีติมาไวมากๆ อย่างการทำแบบที่ 1 บางทีก็บริกรรมนานมากก็ไม่มีปีติครับ จนผมคิดว่าผมไม่เหมาะกับการบริกรรม เพราะดูลมหายใจ หรือดูวงกสิณจะมีปีติไวกว่ามาก แต่พอมาลองทำแบบที่ 2 ก็มีปีติไวมากเหมือนกัน)
อยากให้เพื่อนๆที่พอมีประสบการณ์ อธิบายให้ฟังหน่อยครับ หรือถ้าหากไม่มี และทำแนวทางอื่นก้าวหน้าแล้ว อยากให้ลองทำแบบที่ผมบอกหน่อย เผื่อจะบอกผมได้ว่ามันคืออะไร ต่างกันอย่างไรครับ
วิธีการแบบที่ 2 ผมเอาแนวทางมาจากหลวงปู่ดูลย์น่ะครับ แต่ไม่ทราบว่าผมทำตรงตามที่ท่านแนะนำหรือเปล่า ตามด้านล่างนี้ครับ (ที่ผมพูดถึง ไม่ใช่ส่วนที่ท่านบอกให้ทำความรู้สึกตัวเต็มที่นะครับ ส่วนนี้ผมเคยทำเหมือนกัน แต่ไม่เหมาะสำหรับการทำทุกวันเพราะบางวัน จะฟุ้งมากก็ไม่เหมาะอย่างที่ท่านบอกไว้แล้วครับ)
-----------------------------------------------------------------------------------
วิธีเจริญสมาธิภาวนาตามแนวการสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มีดังต่อไปนี้
๑. เริ่มต้นด้วยอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก
ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว หรือรู้ ตัว อย่างเดียว
รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ รู้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม
เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ
จากนั้นค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีกจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณาและรักษาจิตต่อไป
ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน พฤติแห่งจิต โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร
ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการ เจริญจิตครั้งต่อๆ ไป
ในกรณีที่ไม่สามารทำเช่นนี้ได้ ให้ลองนึกคำว่า ?พุทโธ? หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต
พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง
ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว
เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้
ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นไปสู่อารมณ์ทันที
เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเอง ก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง
ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ
เจตจำนงนี้ คือ ตัว ศีล
การบริกรรม พุทโธ เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป
แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้ง ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่องถึงความชัดเจนและความไม่ขาดสายของพุทโธจะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ
เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่ามีลักษณาการประหนึ่งบุรุษผู้หนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขน พร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่าถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย
เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาและบั่นทอนความศรัทธาของตนเองเลย
เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบและคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึก และ พฤติแห่งจิต ที่ฐานนั้นๆ
บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ
-------------------------------------------------------------
การภาวนาโดยการบริกรรมพุทโธ สองแบบนี้ ต่างกันอย่างไรครับ
แบบที่ 1 ผมภาวนาโดยบริกรรมคำว่าพุทโธ โดยให้ความสนใจไปที่คำบริกรรมคือคำว่าพุทโธ
แบบที่ 2 ผมภาวนาโดยบริกรรมคำว่า พุทโธ โดยรู้สึกเ้้ข้ามาที่ตัวที่กำลังบริกรรม อยู่ (ผมอธิบายไม่ค่อยถูกเหมือนกัน เหมือนมันระลึกเข้ามาดูที่ตำแหน่งที่เกิดเสียงบริกรรมนี้ในใจ)
ผลคือ ทำแบบที่ 2 เกิดอาการปีติวาบขึ้นแทบจะทันที (ปกติผมเป็นคนเกิดปีติง่ายอยู่แล้วครับ แต่ทำสมถะบางแบบ ก็ใช้เวลา บางแบบก็มีปีติมาไวมากๆ อย่างการทำแบบที่ 1 บางทีก็บริกรรมนานมากก็ไม่มีปีติครับ จนผมคิดว่าผมไม่เหมาะกับการบริกรรม เพราะดูลมหายใจ หรือดูวงกสิณจะมีปีติไวกว่ามาก แต่พอมาลองทำแบบที่ 2 ก็มีปีติไวมากเหมือนกัน)
อยากให้เพื่อนๆที่พอมีประสบการณ์ อธิบายให้ฟังหน่อยครับ หรือถ้าหากไม่มี และทำแนวทางอื่นก้าวหน้าแล้ว อยากให้ลองทำแบบที่ผมบอกหน่อย เผื่อจะบอกผมได้ว่ามันคืออะไร ต่างกันอย่างไรครับ
วิธีการแบบที่ 2 ผมเอาแนวทางมาจากหลวงปู่ดูลย์น่ะครับ แต่ไม่ทราบว่าผมทำตรงตามที่ท่านแนะนำหรือเปล่า ตามด้านล่างนี้ครับ (ที่ผมพูดถึง ไม่ใช่ส่วนที่ท่านบอกให้ทำความรู้สึกตัวเต็มที่นะครับ ส่วนนี้ผมเคยทำเหมือนกัน แต่ไม่เหมาะสำหรับการทำทุกวันเพราะบางวัน จะฟุ้งมากก็ไม่เหมาะอย่างที่ท่านบอกไว้แล้วครับ)
-----------------------------------------------------------------------------------
วิธีเจริญสมาธิภาวนาตามแนวการสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มีดังต่อไปนี้
๑. เริ่มต้นด้วยอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก
ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว หรือรู้ ตัว อย่างเดียว
รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ รู้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม
เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ
จากนั้นค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีกจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณาและรักษาจิตต่อไป
ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน พฤติแห่งจิต โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร
ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการ เจริญจิตครั้งต่อๆ ไป
ในกรณีที่ไม่สามารทำเช่นนี้ได้ ให้ลองนึกคำว่า ?พุทโธ? หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต
พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง
ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว
เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้
ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นไปสู่อารมณ์ทันที
เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเอง ก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง
ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ
เจตจำนงนี้ คือ ตัว ศีล
การบริกรรม พุทโธ เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป
แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้ง ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่องถึงความชัดเจนและความไม่ขาดสายของพุทโธจะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ
เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่ามีลักษณาการประหนึ่งบุรุษผู้หนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขน พร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่าถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย
เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาและบั่นทอนความศรัทธาของตนเองเลย
เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบและคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึก และ พฤติแห่งจิต ที่ฐานนั้นๆ
บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ
-------------------------------------------------------------