แม้ว่าเรื่อง Wolf Children นี้จะเป็นแนวกึ่งแฟนตาซี แต่ประเด็นการเลือกทางเดินชีวิต ที่ anime พูดถึงนี่
ก็คงเป็นเรื่องจริงที่หลายๆคนคงได้ประสบมาบ้าง จึงอยากหยิบยกขึ้นมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ
ที่จริงตอนดูในโรงนี่ ผมเคืองอาเมะนะ เพราะฮานะซังนี่เป็นยอดคุณแม่จริงๆ
เธอทุ่มเทให้ลูกมากจนเธอมีความชอบธรรมที่จะตัดพ้อว่า "ฉันอุตส่าห์เลี้ยงดูแกมานะ" ได้โดยไม่มีปัญหา
แต่เธอกลับพูดออกมาจากใจจริงว่า "แม่ยังทำอะไรให้ลูกได้ไม่พอเลย" ซึ้งมากๆ
ทว่า พอลองมานั่งคิดจากมุมมองของอาเมะแล้วเทียบกับชีวิตคนจริงๆแล้ว การตัดสินใจเรื่องทำนองนี้มันเป็นอะไรที่ยากมากๆ เหมือนกัน
สมมติว่าคุณเบื่อหน่ายและอึดอัดกับสังคมที่คุณเติบโตมา จะทำอะไรๆก็ติดขัดไปเสียหมด รู้สึกว่าโอกาสก้าวหน้าก็ไม่ค่อยมี
สังคม"ภายนอก"ครอบครัวก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรคุณนัก
ต่อมาคุณได้มีโอกาสไปสัมผัสสังคมอื่นเป็นระยะสักพักใหญ่ (ยกตัวอย่างแบบสมจริงว่า ไปเรียนต่อต่างประเทศสัก 1-2 ปี)
คุณรู้สึกว่าสังคมใหม่นี้มัน"ใช่"กับคุณมาก คุณรู้สึกว่าตัวเองได้รับโอกาสใหม่ๆ เจอช่องทางใหม่ๆ มีความมั่นใจมากขึ้น ผู้คนที่นั่นก็ยอมรับและให้เกียรติคุณมากกว่าที่สังคมเดิม ทว่า เมื่อคุณจากสังคมใหม่เพื่อกลับมายังที่เดิมแล้ว ความประทับใจที่ได้รับกลับเน้นย้ำให้คุณเห็นสิ่งที่คุณอึดอัดกับสังคมเดิมชัดยิ่งขึ้นไปอีก
คุณอยากกลับไปลงหลักปักฐานในสังคมใหม่มาก แต่ทางครอบครัวกลับยืนยันที่จะปักหลักอยู่กับสังคมเดิม
ถึงการจากไปอยู่สังคมใหม่ในโลกความเป็นจริงนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะจากกันไปตลอดเหมือนในการ์ตูนก็ตาม
แต่การกลับมาเยือนครอบครัวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แม้ความสัมพันธ์ของคุณกับทางบ้านจะไม่ได้ราบรื่น นุ่มละมุน หวานละไมเหมือนกรณีฮานะซังกับลูกน้อย แต่ครอบครัวคุณก็เลี้ยงดูมาเ็ป็นเวลาหลายปีและมีความผูกพันกับคุณ และคุณก็รู้สึกอย่างเดียวกันด้วย
นอกจากนี้ ทางครอบครัวยังเห็นว่าสังคมใหม่ก็มีปัญหา มีความเสี่ยงสำหรับคุณอยู่เหมือนกัน คุณแค่โชคดีได้ไปเจอแต่สิ่งดีๆเท่านั้น ถ้าไปอยู่สังคมใหม่ในระยะยาว คุณก็จะลำบากอยู่ดี
ถ้าเป็นเช่นนี้ คุณอยากจะเลือกเส้นเดินทางใดกัน
คุณลืมตอบคำถามที่ * จำเป็นต้องตอบ
[Wolf Children] หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับอาเมะ คุณจะเลือกทางเดินใด [Spoil]
ก็คงเป็นเรื่องจริงที่หลายๆคนคงได้ประสบมาบ้าง จึงอยากหยิบยกขึ้นมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ
ที่จริงตอนดูในโรงนี่ ผมเคืองอาเมะนะ เพราะฮานะซังนี่เป็นยอดคุณแม่จริงๆ
เธอทุ่มเทให้ลูกมากจนเธอมีความชอบธรรมที่จะตัดพ้อว่า "ฉันอุตส่าห์เลี้ยงดูแกมานะ" ได้โดยไม่มีปัญหา
แต่เธอกลับพูดออกมาจากใจจริงว่า "แม่ยังทำอะไรให้ลูกได้ไม่พอเลย" ซึ้งมากๆ
ทว่า พอลองมานั่งคิดจากมุมมองของอาเมะแล้วเทียบกับชีวิตคนจริงๆแล้ว การตัดสินใจเรื่องทำนองนี้มันเป็นอะไรที่ยากมากๆ เหมือนกัน
สมมติว่าคุณเบื่อหน่ายและอึดอัดกับสังคมที่คุณเติบโตมา จะทำอะไรๆก็ติดขัดไปเสียหมด รู้สึกว่าโอกาสก้าวหน้าก็ไม่ค่อยมี
สังคม"ภายนอก"ครอบครัวก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรคุณนัก
ต่อมาคุณได้มีโอกาสไปสัมผัสสังคมอื่นเป็นระยะสักพักใหญ่ (ยกตัวอย่างแบบสมจริงว่า ไปเรียนต่อต่างประเทศสัก 1-2 ปี)
คุณรู้สึกว่าสังคมใหม่นี้มัน"ใช่"กับคุณมาก คุณรู้สึกว่าตัวเองได้รับโอกาสใหม่ๆ เจอช่องทางใหม่ๆ มีความมั่นใจมากขึ้น ผู้คนที่นั่นก็ยอมรับและให้เกียรติคุณมากกว่าที่สังคมเดิม ทว่า เมื่อคุณจากสังคมใหม่เพื่อกลับมายังที่เดิมแล้ว ความประทับใจที่ได้รับกลับเน้นย้ำให้คุณเห็นสิ่งที่คุณอึดอัดกับสังคมเดิมชัดยิ่งขึ้นไปอีก
คุณอยากกลับไปลงหลักปักฐานในสังคมใหม่มาก แต่ทางครอบครัวกลับยืนยันที่จะปักหลักอยู่กับสังคมเดิม
ถึงการจากไปอยู่สังคมใหม่ในโลกความเป็นจริงนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะจากกันไปตลอดเหมือนในการ์ตูนก็ตาม
แต่การกลับมาเยือนครอบครัวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แม้ความสัมพันธ์ของคุณกับทางบ้านจะไม่ได้ราบรื่น นุ่มละมุน หวานละไมเหมือนกรณีฮานะซังกับลูกน้อย แต่ครอบครัวคุณก็เลี้ยงดูมาเ็ป็นเวลาหลายปีและมีความผูกพันกับคุณ และคุณก็รู้สึกอย่างเดียวกันด้วย
นอกจากนี้ ทางครอบครัวยังเห็นว่าสังคมใหม่ก็มีปัญหา มีความเสี่ยงสำหรับคุณอยู่เหมือนกัน คุณแค่โชคดีได้ไปเจอแต่สิ่งดีๆเท่านั้น ถ้าไปอยู่สังคมใหม่ในระยะยาว คุณก็จะลำบากอยู่ดี
ถ้าเป็นเช่นนี้ คุณอยากจะเลือกเส้นเดินทางใดกัน