เอกสารลับขององค์การสหประชาชาติ(เรื่องศาสนา) โดย พันเอก โรเบิร์ต กรีน อิงเกอร์โซล ( Colonel Robert Green Ingersol )

กระทู้สนทนา
๑. ใครคือผู้สร้างพระเจ้า…..
พวกเขาเชื่อแน่ว่า วัตถุต่าง ๆ ต้องมีผู้สร้าง จะมีเป็นขึ้นเองไม่ได้ แต่ไม่นึกว่า ท่านผู้สร้างเองเป็นขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งอื่น ๆ สิ่งที่เขาเชื่อว่าผู้สร้าง แต่ส่วนผู้สร้างเขากลับมีความคิดไปเสียว่า ท่านผู้สร้างไม่มีใครสร้างท่านขึ้นมา ย่อมเป็นขึ้นมาเอง ครั้งต่อมาการอ้างอย่างโง่ ๆ เช่นนี้ มีคนสงสัยอันเป็นข้อพิรุธมาก เขาก็หาอุบายบิดเบือนเอาดื้อ ๆ โดยเขามีความเชื่อมั่นอย่างเข้ากระดูกดำอยู่แล้วว่า ท่านผู้สร้างท่านมาอยู่ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ( ยุคก่อนที่ลิงจะกลายเป็นคน….เป็นส่วนหนึ่งที่ ทำให้มีการบัญญัติไว้ในมาตรา ๖ ของ พ.ร.บ.การศึกษาฯ พ.ศ.๒๕๔๑ ของไทย ว่า “….พัฒนาให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์” นี่คือกฎหมายฉบับโรมันคาทอลิก ใช่หรือไม่ )
โลกและวัตถุธาตุต่าง ๆ แต่ก็น่าประหลาดที่ในเวลาโน้นมีแต่ความว่างเปล่า ท่านเอาอะไรมาเกิดเป็นรูปท่าน ท่านเอาอะไรมาเป็นฤทธิ์เป็นอำนาจ เป็นปัจจัยสำหรับมาสร้างโลก ท่านเอาอะไรมาคิดเป็นแบบสร้าง เพราะมันว่างเปล่าไม่มีอะไรมาคิด และท่านอยู่ในที่ว่างเปล่าท่านเอาอะไรมาเป็นวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง
๒. ใครคือพระยะโฮวา……
มีการกล่าวว่า พระยะโฮวา คือพระเจ้าในศาสนาคริสต์ เป็นผู้สร้างโลก สร้างสรรพสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตทั้งปวง ท่านเอาความไม่มีอะไรคือความว่างเปล่าสร้างเป็นตัวตนขึ้นมา และท่านเป็นผู้พิทักษ์รักษาโลกมาจนทุกวันนี้ ท่านเป็นผู้ตั้งอาณาจักรและทำลายอาณาจักรของโลกตามพระทัยของท่าน บางทีท่านก็ปล่อยให้มนุษย์ของท่านเป็นทาสเป็นเชลย บางทีก็ส่งความดีความชั่วมาให้สิ่งเหล่านี้แหละ เป็นเครื่องให้รู้ถึง “มหากรุณาของพระยโฮวา”
………………………………………………..
………………………………………………..
พระเจ้าสร้างภูเขาไฟสำหรับระเบิด และครอกคนที่ประพฤติดีประพฤติชั่ว บางทีก็ทำให้น้ำท่วมมาล้างผลาญชีวิตมนุษย์และสัตว์ สร้างอสุนียบาตผ่าคนดีคนชั่ว ส่งเชื้อโรคร้ายมาทำลายมนุษย์ ทำให้ข้าวยากหมากแพง เพื่อให้มนุษย์และสัตว์ได้รับความอดอยากลำบากนานาประการพระเจ้าปล่อยให้พวกทุจริตทำร้ายผู้ที่ประพฤติแต่สิ่งที่ดี โดยปล่อยให้พวกทุจริตเลวร้ายนำเอาไปทรมานประหัตประหารต่าง ๆ นานา นี่ก็เป็นเพราะ “มหากรุณาของพระยะโฮวา” ด้วย
พระเจ้าเต็มไปด้วยใจริษยา ( ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลภาษาอังกฤษว่า “ For I the Load thy God am a “ Jealous God ” แต่ในฉบับภาษาไทยฉบับ ๑๙๗๑ ของสมาคมพระคริสต์ธรรมไทย กลับแปลให้บิดเบือนไปเป็นข้อความว่า “เราเป็นพระเจ้าของเจ้า และเราเป็นพระเจ้าที่หวงแหน” โดยคำศัพท์คำว่า “ Jealous” แปลว่าขี้อิจฉา มีความหมายตรงกับคำว่า Envious ซึ่งแปลว่า ขี้ริษยา ดังนั้นคำว่า Jealous God จึงแปลได้อย่างเดียวว่า พระเจ้าขี้อิจฉา ไม่สามารถแปลเป็นภาษาไทยว่า “พระเจ้าผู้หวงแหน” ได้เลย และนี่คือสิ่งที่ถูกบิดเบือน
หลังข้อมูลขององค์การสหประชาชาติของพันเอก อิงเกอร์โซล นี้ ได้ถูกเผยแพร่ออกไปให้ประชากรโลกได้รับรู้ ) ข้อพิสูจน์ในเรื่องของ “พระเจ้ามีใจริษยาไม่อยากให้ใครได้ดียิ่งไปว่าตน”
ปรากฏเห็นเป็นพยานในคัมภีร์เยเนซิสแห่งหนึ่งความว่า ……บรรดาสัตว์ทั้งปวงที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา สัตว์ที่มีความฉลาดมากเท่ากับงูเป็นไม่มี
และงูนี้ได้พูดกับนางอีวา ซึ่งเป็นบุรพสตรีของมนุษย์ว่า : จริงอยู่ละหรือที่พระเจ้าทรงห้ามไม่ให้กินผลไม้ ซึ่งมีอยู่ในสวนอุทยานนี้
นางอีวาจึงตอบงูว่า พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้เลือกกินผลไม้ที่มีในสวนนี้ตามใจชอบ เว้นแต่ผลไม้ซึ่งมีอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่งในท่ามกลางสวนนั้น พระองค์ทรงห้ามกำชับไว้ว่า ถ้าไปถูกต้องหรือกินผลไม้จากต้นนั้นแล้ว ก็จะถึงแก่ความตาย
ฝ่ายงูก็ตอบว่า หาใช่เช่นนั้นไม่ ถ้าท่านกินผลไม้ต้นนั้น ท่านหาจักต้องตายลงไปไม่ การที่พระเจ้าทรงห้ามก็เพราะทรงวิตกไปว่า ถ้าท่านกินผลไม้นั้นแล้ว ตามหูของท่านก็จะสว่างเกิดสติปัญญา รู้เท่าเทียมพระเจ้า
เมื่อนางอีวาได้ยินงูพูดดังนี้ จึงมาคิดว่า ผลไม้ที่พระเจ้าห้ามนั้นมีรูปพรรณสัณฐานน่ากิน และถ้ากินเข้าไปแล้วคงมีสติปัญญาเทียบเท่าพระเจ้าตามที่งูบอกเป็นแน่แท้ จึงได้กินผลไม้นั้น และแบ่งให้อาดัมผู้เป็นสามีกินด้วย
เมื่อพระเจ้ารู้เรื่องเข้าจึงกล่าวด้วยความโกรธดังนี้ : บัดนี้มนุษย์ที่เราสร้างมา ได้กินผลไม้ที่มีนามว่า “ต้นไม้แห่งชีวิต ( Tree of Life )” อาจจะทำให้ผู้ที่กินเกิดสติปัญญา และจะมีความสามารถเป็นพระเจ้าได้อย่างเรา ถ้าขืนปล่อยปละละเลยให้กินมากกว่านี้ความลำบากก็จะเกิดขึ้นแก่เราเป็นแน่แท้
ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงได้ขับไล่อาดัมและอีวา พร้อมกับสาปให้ได้รับทุกข์ต่าง ๆ ด้วยแล้วจึงสั่งให้ชาวรามีนผู้มีกระบี่ไฟเป็นอาวุธเฝ้ารักษาต้นไม้นั้น เพื่อมิให้ผู้ใดมากเข้าใกล้ผลไม้วิเศษนั้นได้อีกต่อไป”
………………………………………………………
………………………………………………………
ตามเรื่องราวที่ยกมานี้ ปรากฏได้ชัดว่า ปีศาจหรืองูนั้นได้พูดถูกต้องทุกประการเพราะเมื่อหลังจากที่อาดัมและอีวา ได้กินผลไม้นั้นแล้วก็หาได้ตายหรือเป็นอะไรตามที่พระเจ้าขู่ด้วยความเท็จไว้นั้นไม่ แต่ตรงกันข้ามกลับทำให้เกิดสติปัญญารู้ผิดถูก รู้ผิดชอบชั่วดี สิ่งที่ควรไม่ควร
………………………………..
………………………………….
อีกประการหนึ่ง ทำให้เห็นได้ว่า พระเจ้าเป็นผู้มีใจริษยา หวงปัญญา วิชาความรู้ ถ้าเรื่องในคัมภีร์เยเนซิส ซึ่งอยูในไบเบิล เป็นเรื่องจริง จะไม่ให้เราต้องคิดถึงบุญคุณความดีของงูหรืออย่างไร เพราะมันเป็นผู้ที่บอกทางให้มนุษย์เราได้มีปัญญา มีความฉลาด และถ้าหากบรรพบุรุษของมนุษย์ไม่ได้กินผลไม้ที่พระเจ้าโกหกห้ามไว้แล้วนั้น พวกเราที่คัมภีร์อ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากอาดัมและอีวา มิต้องมีความโง่เง่าไม่ผิดกับพวกสัตว์เดียรฉานหรอกหรือ
………………………………….
………………………………….
ในเรื่องราวของคริสต์ศาสนา ( โรมันคาทอลิก) แห่งหนึ่งกล่าวว่า สมัยหนึ่งพระเจ้าได้บันดาล ให้เกิดอุทกภัยน้ำท่วมทำลายชีวิตมนุษย์และสัตว์มากมายเหลือคณานับตายวินาศเสียทั่วโลก เว้นไว้แต่มนุษย์ ๘ คนเท่านั้น มนุษย์นอกจากนั้นทั้งคนแก่ คนหนุ่มทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ถูกพระเจ้าบันดาลให้อุทกภัยทำลายเสียสิ้น แต่ไม่มีใครติเตียนว่าพระเจ้าดุร้าย ถ้าปีศาจมันทำดั่งนี้ขึ้นบ้าง ความชั่วก็จะติดมันไปอย่างไม่รู้หาย
…………………………………….
……………………………………..
อีกครั้งหนึ่ง ปิตาจารย์ผู้แทนพระเจ้าองค์หนึ่งได้จับกษัตริย์องค์หนึ่งมาสับเป็นท่อน ๆ ต่อหน้าฝูงชนเพื่อบูชาพระเจ้า เจ้าความดุร้ายชนิดนี้ ควรเป็นการกระทำของปีศาจหรือพระเจ้า ที่มีพฤติกรรมโหดร้ายต่อมวลมนุษย์เช่นนี้
……………………………..
……………………………..
ครั้งหนึ่ง พระยะโฮวา ได้ประทานกฏให้พวกของท่านคือ ชาติยิว ในการเข้ารบข้าศึกว่า “ เมื่อสูเจ้าเข้าใกล้เขตของประเทศที่จะปราบปรามแล้ว อย่าเพิ่งเข้าตีก่อน สูเจ้าควรเกลี้ยกล่อมให้เขาอ่อนน้อม ถ้าเขายอมตามสูเจ้าอย่าทำอันตรายเขา เป็นแต่เอาพวกนี้มาเป็นเชลย สำหรับใช้สอยเป็นเมืองขึ้น ถ้าหากว่ามันยังขัดแข็งขืนไม่ยอมอ่อนน้อมแล้ว ก็จงยกทัพเข้าตีเมืองนั้นให้แตกเถิด และตัวเราคือพระเจ้าจะเข้าช่วยเหลือเจ้าให้ศัตรูพินาศไป และสูเจ้าจงประหารพลเมืองที่เป็นชายด้วยดาบของเจ้า ส่วนพลเมืองที่เป็นสตรีและลูกเล็กเด็กน้อย และสัตว์ต่าง ๆ หรือสิ่งของต่าง ๆ หรือทรัพย์สมบัติที่มีในเมืองที่ตีได้นั้น สูเจ้าจงยึดถือเอาเป็นของเจ้าเถิด เพราะพระเจ้าย่อมประทานให้เจ้าทั้งสิ้น
ขอให้ท่านทั้งหลายจงตรองดูด้วยปัญญา ว่า คำสั่งสอนเช่นนี้มันจะไม่ร้ายกาจอีกหรือจะเชื่อได้หรือว่า “พระเจ้าเที่ยงแท้ ซึ่งจะเป็นเจ้าโลกจะสั่งสอนดังนี้ นอกจากจะเป็นคำสั่งสอนของอัครมหาปีศาจเท่านั้น”
เมื่อพระเจ้าสั่งสอนดังนี้ ยังจะมาบังคับให้เรายอมรับนับถือท่านได้อย่างไร จะให้นั่งคุกเข่าสวดอ้อนวอน และร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าว่า ท่านมีน้ำพระทัยโอบอ้อมอารี และมีความเมตตาแก่สัตว์ทั่วไป มีพระทัยเป็นหลักแห่งความยุติธรรมของโลกดังนี้จะได้หรือ
และถ้าใครไม่กระทำตามคือไม่เป็นการโกหกพกลมยกยอในเกียรติคุณที่ไม่มีในตัวพระเจ้า ก็จะต้องถูกพระเจ้าสาปลงโทษให้ได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ครั้นเมื่อเราตายไปพระเจ้าองค์นี้ก็ยังไม่หายอาฆาตแค้น ตามอาฆาตจองเวร ยังจะเอาวิญญาณของเราไปทรมานในนรกอีก
………………………………
…………………………………
ศาสนาคริสต์ จะละทิ้งไม่ให้พระเจ้าช่วยไม่ได้ เพราะละทิ้งข้อนี้เสียแล้ว ก็เท่ากับล้มละลายศาสนาคริสต์เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ศาสนาคริสต์จึงจำเป็นต้องอ้างอยู่เสมอว่า “การอ้อนวอนเพราะ พระเจ้าท่านเป็นใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดา ท่านยังประคองความชอบแก่ผู้ที่ยังมีศรัทธาเชื่อมันในพระเจ้าอยู่ดังนี้หรือ”
………………………….
…………………………
๓. ไบเบิล” คัมภีร์แห่งความเท็จ
หัวใจของคริสต์ศาสนา ที่สำคัญคือ คัมภีร์เก่า ( Old Testament ) ซึ่งกล่าวถึงพระเจ้าสร้างโลก และทรงบัญญัติวินัยต่าง ๆ จนถึงเยซูเกิด ถ้าคัมภีร์เก่าหรือที่เรียกว่า “โอลด์เทสตาเม้นท์” มีเรื่องราวไม่จริง มีข้อพิรุจ มีข้อเท็จที่คลุมไว้ด้วยความจริงส่วนน้อย หลักของคริสต์ศาสนาก็เป็นอันใช้ไม่ได้
คัมภีร์เก่าเข้าใจผิดในการที่กล่าวถึงอายุของโลกว่า พระเจ้าสร้างขึ้น ๖ วัน เมื่อหกพันปีมาแล้ว ข้อนี้ไม่จริงและเป็นไปไม่ได้ หมอสอนศาสนา ( บาทหลวง) เมื่อถูกคัดค้านในข้อนี้เข้าก็ไถลไถเถคิดหาอุบายแก้ไขไปว่า ที่คัมภีร์กล่าวว่า ๖ วัน ไม่ใช่วันอย่างที่เราเข้าใจกันหรอก ความหมายของพระเจ้านั้น วันก็คือปางหรือสมัย ๖ วัน ก็คือ ๖ ปาง หรือ ๖ สมัยเพราะฉะนั้น โลกเราอาจจะสร้างมานานหลายโกฎิก็เป็นไปได้
………………………………………………………
………………………………………………………
ข้อแก้ตัวที่เปลี่ยนให้คำว่า “วัน” เป็นคำว่า “ปาง” ทำให้พวกที่นับถือศาสนาคริสต์ฮึกเหิมกระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่าตนได้มีชัยชนะเหนือพวกนอกศาสนา ความจริงเขาลืมนึกไปถึงเรื่องพระยะโฮวาได้บัญญัติให้ชาติยิวถือ “วันสะปาโด” เป็นวันหยุดพัก โดยอ้างเหตุผลว่า พระเจ้าได้สร้างดินฟ้าอากาศแล้ว ๖ วัน และวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ ๗ พระองค์ได้หยุดพัก
เพราะฉะนั้น วันที่ ๗ เป็นวันที่มี ๒๔ ชั่วโมง หรือว่าเป็น “ปาง” เป็น “ยุค” กันแน่
หากว่าเป็นยุค ชาวยิวก็คงหยุดพักกันในวันสะปาโดตลอดศตวรรษเป็นแน่ ไม่ใช่เพียงวันเดียวซึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง
และนี่คือความเท็จที่เห็นได้จากการบิดเบือน โดยหมอสอนศาสนาในยุคหลัง
ยังมีข้อสงสัยอันเป็นปัญหาอีกข้อหนึ่ง คือมนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้างเป็นเวลาช้านานเท่าใด มีอายุเท่าไรถึงตาย
…………………………………………
…………………………………………..
ในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “มนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้างคือ อาดัม นับแต่วันที่สร้างอาดัมมาจนถึงวันสมภพ ของเยซูนับได้เป็นเวลา ๔,๐๐๔ ปี เพราะฉะนั้นนับตั้งแต่พระเจ้าได้เริ่มสร้างมนุษย์คนแรกนับได้จนถึงบัดนี้ ( พ.ศ.๒๕๕๐ ) คิดเป็นเวลา ๖,๐๗๓ ปี ถ้าหากไม่ใช่เป็นปีแล้ว จะนับเป็นอะไรเล่า หากนับเป็น “ปาง” หรือ “ยุค” ก็ต้องคูณด้วย ๓๖๕ วัน จะได้ผลลัพธ์เป็น ๒,๒๑๖,๖๔๕ ปางหรือยุคแล้ว “ยุค” หนึ่งที่ว่านั้นมีกี่ปีมนุษย์ ตรงนี้น่าเชื่อได้ไหม…..
……………………………….
…………………………………
นักวิทยาศาสตร์เขาแบ่งอายุโลกออกเป็นปางหรือเป็นสมัย ในสมัยหนึ่งก็จะมีสิ่งมีชีวิตและสรรพสิ่งทั้งปวงไปอย่างหนึ่งแตกต่างกันไปตามยุคตามสมัย
เช่น ในเกาะประเทศอังกฤษเคยมีสัตว์ใหญ่ เช่น แรด แต่มาบัดนี้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ที่อ้างเช่นนี้เพราะพบซากฟอสซิลสัตว์ดังกล่าวในเกาะอังกฤษ นักวิทยาศาสตร์เขาคำนวณดูแล้วว่า สัตว์เหล่านี้ได้สูญพันธุ์ไปตั้งหลายพันปี แล้ว
บางทีในถ้ำต่าง ๆ เขาเคยพบเครื่องมือเครื่องใช้สอยของมนุษย์ยุคหิน เป็นต้นว่าเครื่องอาวุธที่ทำด้วยหินเหล็กไฟ พร้อมกับโครงกระดูกของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อหลายพันปีจึงเป็นที่เข้าใจว่าโลกได้เกิดมีมนุษย์มีสัตว์ดังกล่าวแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่