อันนี้อ่านเจอจากคำพิพากษาฎีกานานแล้ว ได้รู้มาว่าโจทก์ (เป็นคนไทย) ในคดีนี้ ตอนนี้เป็น Partner คนนึง (ซึ่งมีเยอะมาก) ของ law firm ในไทยที่ชื่อว่า Baker & Mckenzie เงินเดือนตอนนี้คงเกินล้านไปเยอะแล้ว เพราะขนาดคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน เงินเดือนยังได้ 850,000 บ. และได้ส่วนแบ่งกำไรต่อปีอีก 10,700,000 บ. คู่กรณีซึ่งเป็นนายจ้างเก่า ก็คือ ติลลิกี แอนด์ กิบบินส์ ก็เป็น Law Firm ในไทยที่ตั้งมานานเป็น 100 ปีแล้วมั้ง (ผู้ก่อตั้งคือนายติลลิกี เป็นทนายที่ว่าความในคดีพระยอดเมืองขวาง)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6075/2549
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล โจทก์เข้าเป็นพนักงานของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลติลลิกี แอนด์ กิบบินส์ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2537 ตำแหน่งหัวหน้างานทรัพย์สินทางปัญญา ปี 2538 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายงานทรัพย์สินทางปัญญา ตำแหน่งสุดท้ายได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายงานทรัพย์สินทางปัญญา
ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 850,000 บาท กำหนดชำระทุกวันที่ 27 ของเดือน ในการทำงานโจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี ปีละ 30 วัน ทำงานโดยได้รับค่าจ้าง นอกจากนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้สัญญากับโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากรายได้ของจำเลยที่ 1 ของปี 2543
เป็นเงินจำนวน 10,700,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2544 จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมกันออกหนังสือเวียน ด้วยการสำเนาหนังสือเลิกจ้างให้พนักงานในบริษัทจำเลยที่ 1 ได้อ่าน ซึ่งข้อความในหนังสือเลิกจ้างนั้นล้วนไม่เป็นความจริง จึงเป็นการไขข่าวที่ไม่เป็นความจริงให้แพร่หลายโดยเอกสารสิ่งพิมพ์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นการจงใจทำละเมิดต่อโจทก์ การที่จำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยทั้งสามต้องชดใช้เงินแก่โจทก์ ดังนี้ เงินเดือนสะสมที่ตั้งอยู่ในบัญชีค้างจ่ายที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงกันว่ายังไม่ต้องจ่ายแก่โจทก์และให้จ่ายเมื่อโจทก์มีคำสั่ง ซึ่งในวันที่โจทก์ถูกเลิกจ้างมีเงินอยู่ในบัญชีจำนวน 1,456,072.59 บาท เงินเดือนที่จำเลยที่ 1 ปรับให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 เป็นต้นมา เดือนละ 170,000 บาท ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2544 เป็นเวลา 5 เดือน เป็นเงิน 850,000 บาท ค่าเดินทางไปและกลับระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อการไปเยี่ยมบ้านที่ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลติลลิกี แอนด์ กิบบินส์ ปีเว้นปี เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับการโอนกิจการจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลดังกล่าว โจทก์มีสิทธิและผลประโยชน์เหมือนเดิม จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระค่าเดินทางดังกล่าวสำหรับปี 2542 และปี 2544 ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 160,000 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี จำนวน 25 วัน เป็นเงิน 708,333.33 บาท ในระหว่างการทำงานจำเลยที่ 1 หักค่าจ้างโจทก์ในอัตราร้อยละ 3 รวมกับส่วนของจำเลยที่ 1 ในอัตราเดียวกัน นำส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งจำเลยที่ 1 ได้มอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมทิสโก้ จำกัด เป็นผู้บริหาร เมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้าง จำเลยที่ 1 จะต้องจ่ายเงินส่วนนี้ให้แก่โจทก์ โดยโจทก์มีสิทธิได้รับไม่น้อยกว่า 1,238,252.66 บาท แต่จำเลยเพิกเฉย ภายหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมทิสโก้ จำกัด ได้จัดส่งเช็คจ่ายเงินสมทบเฉพาะส่วนของโจทก์คืนให้แก่โจทก์แล้ว แต่หาได้จ่ายส่วนของจำเลยที่ 1 ไม่ ในการทำงานโจทก์ได้ให้จำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์ตู้ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีเจียส หมายเลขทะเบียน ภม 8332 กรุงเทพมหานคร โดยซื้อด้วยเงินของโจทก์ และโจทก์ได้ทำการเช่าซื้อรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อเมอร์ซิเดสเบนซ์ หมายเลขทะเบียน ภน 2119 กรุงเทพมหานคร โดยใช้ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญา รถยนต์ทั้งสองคันอยู่ในความครอบครองของโจทก์มาโดยตลอด ภายหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 เจ้าหน้าที่บริษัทเมอร์ซิเดสเบนซ์ลีสซิ่ง (ไทยแลนด์) จำกัด ได้ยึดรถยนต์เก๋งคันดังกล่าวไปจากโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยไม่แจ้งให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อที่แท้จริงทราบ ทำให้โจทก์ต้องไปเจรจากับบริษัทดังกล่าว เพื่อทำการแก้ไขสัญญาและส่งมอบรถคืน โจทก์เสียค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการดำเนินการเป็นเงิน 157,854.65 บาท ส่วนแบ่งกำไรจากการประกอบการของจำเลยที่ 1 ทั้งในและต่างประเทศในปี 2543 ตามที่จำเลยทั้งสามตกลงกับโจทก์ 10,700,000 บาท และเมื่อนับถึงวันที่เลิกจ้างโจทก์ โจทก์มีสิทธิจะได้รับส่วนแบ่งกำไรช่วง 4 เดือนแรกของปี 2544 ซึ่งขอเทียบกับผลกำไรในปี 2543 เฉลี่ยแล้ว 4 เดือนแรกของปี 2544 โจทก์มีสิทธิจะได้รับผลส่วนแบ่งผลกำไรไม่น้อยกว่า 3,566,666 บาท รวมเป็นเงิน 14,266,666 บาท และเนื่องจากการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสาม ซึ่งได้ไขข่าวการเลิกจ้างไปยังบุคคลที่สาม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยทั้งสามจึงต้องร่วมกันออกหนังสือประกาศแจ้งต่อพนักงานในบริษัท จำเลยที่ 1 ออกหนังสือเวียนถึงลูกความของจำเลยที่ 1 ทุกรายที่เกี่ยวกับงานทรัพย์สินทางปัญญา ลงประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ภาษาไทยและหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ให้มีข้อความทำนองว่า จำเลยทั้งสามขอยกเลิกหนังสือเลิกจ้างโจทก์ ฉบับลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2544 เนื่องจากไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำความผิดใดดังที่กล่าวอ้างในหนังสือเลิกจ้างและให้ถือว่าเป็นการอนุมัติให้โจทก์ลาออกตามความประสงค์ได้นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไป หากจำเลยทั้งสามปฏิเสธที่จะออกหนังสือดังกล่าว จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดจ่ายค่าชดเชย เนื่องจากเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด โจทก์มีอายุงานเกินกว่า 6 ปี แต่ยังไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 8 เดือน เป็นเงิน 6,800,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 35 วัน เป็นเงิน 991,666 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโดยโจทก์ต้องเสียโอกาสในการทำธุรกิจ สูญเสียอำนาจในการต่อรองในการหางานใหม่ความไม่ต่อเนื่องในการทำงาน เพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสที่โจทก์มีอยู่ก่อนการกระทำของจำเลยทั้งสาม ซึ่งโจทก์เห็นว่าต้องใช้เวลาในการทำงานอีกไม่น้อยกว่า 3 ปี ขอคิดค่าเสียหายเป็นเงิน 44,244,600 บาท ค่าเสียหายจากการละเมิดโดยการไขข่าวแพร่หลายต่อบุคคลภายนอกทำให้โจทก์รับความเสียหายเป็นเงิน 73,741,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามจ่ายเงินเดือนสะสมจำนวน 1,456,072.59 บาท เงินค่าเดินทางจำนวน 160,000 บาท เงินส่วนแบ่งกำไรจำนวน 14,266,666 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไป และให้เสียเงินเพิ่มตามกฎหมายจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 850,000 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 708,333.33 บาท ค่าชดเชย 6,800,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 991,666 บาท ให้จำเลยที่ 1 จ่ายเงินสมทบส่วนของจำเลยที่ 1 เข้าไปในเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ครบถ้วน และแจ้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมทิสโก้ จำกัด จ่ายเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้แก่โจทก์ พร้อมแสดงรายการนำส่งเงินสมทบของแต่ละฝ่าย อัตราดอกเบี้ยและประโยชน์อื่นที่ได้รับ ให้จำเลยที่ 1 จัดการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ตู้ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่นรีเจียส หมายเลขทะเบียน ภม 8332 กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 157,584.65 บาท อันเนื่องมาจากการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อรถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน ภน 2119 กรุงเทพมหานคร กับบริษัทเมอร์ซิเดสเบนซ์ลีสซิ่ง (ไทยแลนด์) จำกัด หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้ชำระค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำนวน 44,244,600 บาท กับออกหนังสือรับรองการทำงานให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามยอมร่วมกันแก้ไขเยียวยาความเสียหายให้แก่โจทก์ โดยยอมแถลงข้อความจริงต่อบุคคลที่สามด้วยวิธีการและข้อความตามฟ้องแล้วโจทก์ยินยอมไม่เรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจากจำเลยทั้งสาม
**********************************************************
คดีนี้ คำพิพากษาค่อนข้างยาวมาก แต่สรุปได้ว่า โจทก์ชนะคดี ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าจ้างค้างจ่าย 804,667 บาท และเงินสะสมในบัญชีพิเศษของโจทก์ 1,452,473 บาท กับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนรถยนต์ตู้ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีเจียส ให้แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ โจทก์ก็อุทธรณ์เนื่องจากยังไม่พอใจคำตัดสิน ศาลฎีกาก็พิพากษาเพิ่มให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชย 6,800,000 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 708,333.33 บาท ให้แก่โจทก์
IP (Intellectual Property) น่าจะเป็นสาขาของทนายหรือคนทำงานด้านกฎหมาย (ในไทย) ที่ได้ค่าตอบแทนเยอะที่สุดแล้วมั้ง อย่างสำนักกฎหมาย ดำเนิน สมเกียรติ บุญมา ที่เน้นทำแต่ด้าน IP จนมีชื่อเสียง ก็มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 500 กว่าล้านบาทต่อปี แต่ต้นทุนมีแต่เงินเดือนของพาร์ทเนอร์ และทนาย ที่เหลือเป็นกำไรมหาศาล
เอามาให้เป็นข้อคิดดูสำหรับคนที่กำลังเรียนด้านกฎหมาย หรือเพิ่งจะเริ่มงานด้านกฎหมาย หรือที่กำลังตัดสินใจว่าจะมุ่งไปที่สาขาไหน
ทนายทางด้านทรัพย์สินทางปัญญา (IP Lawyer) ในไทยนี่แหละ เงินเดือนเกือบล้าน! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!!!
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6075/2549
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล โจทก์เข้าเป็นพนักงานของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลติลลิกี แอนด์ กิบบินส์ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2537 ตำแหน่งหัวหน้างานทรัพย์สินทางปัญญา ปี 2538 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายงานทรัพย์สินทางปัญญา ตำแหน่งสุดท้ายได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายงานทรัพย์สินทางปัญญา ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 850,000 บาท กำหนดชำระทุกวันที่ 27 ของเดือน ในการทำงานโจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี ปีละ 30 วัน ทำงานโดยได้รับค่าจ้าง นอกจากนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้สัญญากับโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากรายได้ของจำเลยที่ 1 ของปี 2543 เป็นเงินจำนวน 10,700,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2544 จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมกันออกหนังสือเวียน ด้วยการสำเนาหนังสือเลิกจ้างให้พนักงานในบริษัทจำเลยที่ 1 ได้อ่าน ซึ่งข้อความในหนังสือเลิกจ้างนั้นล้วนไม่เป็นความจริง จึงเป็นการไขข่าวที่ไม่เป็นความจริงให้แพร่หลายโดยเอกสารสิ่งพิมพ์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นการจงใจทำละเมิดต่อโจทก์ การที่จำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยทั้งสามต้องชดใช้เงินแก่โจทก์ ดังนี้ เงินเดือนสะสมที่ตั้งอยู่ในบัญชีค้างจ่ายที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงกันว่ายังไม่ต้องจ่ายแก่โจทก์และให้จ่ายเมื่อโจทก์มีคำสั่ง ซึ่งในวันที่โจทก์ถูกเลิกจ้างมีเงินอยู่ในบัญชีจำนวน 1,456,072.59 บาท เงินเดือนที่จำเลยที่ 1 ปรับให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 เป็นต้นมา เดือนละ 170,000 บาท ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2544 เป็นเวลา 5 เดือน เป็นเงิน 850,000 บาท ค่าเดินทางไปและกลับระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อการไปเยี่ยมบ้านที่ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลติลลิกี แอนด์ กิบบินส์ ปีเว้นปี เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับการโอนกิจการจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลดังกล่าว โจทก์มีสิทธิและผลประโยชน์เหมือนเดิม จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระค่าเดินทางดังกล่าวสำหรับปี 2542 และปี 2544 ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 160,000 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี จำนวน 25 วัน เป็นเงิน 708,333.33 บาท ในระหว่างการทำงานจำเลยที่ 1 หักค่าจ้างโจทก์ในอัตราร้อยละ 3 รวมกับส่วนของจำเลยที่ 1 ในอัตราเดียวกัน นำส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งจำเลยที่ 1 ได้มอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมทิสโก้ จำกัด เป็นผู้บริหาร เมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้าง จำเลยที่ 1 จะต้องจ่ายเงินส่วนนี้ให้แก่โจทก์ โดยโจทก์มีสิทธิได้รับไม่น้อยกว่า 1,238,252.66 บาท แต่จำเลยเพิกเฉย ภายหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมทิสโก้ จำกัด ได้จัดส่งเช็คจ่ายเงินสมทบเฉพาะส่วนของโจทก์คืนให้แก่โจทก์แล้ว แต่หาได้จ่ายส่วนของจำเลยที่ 1 ไม่ ในการทำงานโจทก์ได้ให้จำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์ตู้ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีเจียส หมายเลขทะเบียน ภม 8332 กรุงเทพมหานคร โดยซื้อด้วยเงินของโจทก์ และโจทก์ได้ทำการเช่าซื้อรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อเมอร์ซิเดสเบนซ์ หมายเลขทะเบียน ภน 2119 กรุงเทพมหานคร โดยใช้ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญา รถยนต์ทั้งสองคันอยู่ในความครอบครองของโจทก์มาโดยตลอด ภายหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 เจ้าหน้าที่บริษัทเมอร์ซิเดสเบนซ์ลีสซิ่ง (ไทยแลนด์) จำกัด ได้ยึดรถยนต์เก๋งคันดังกล่าวไปจากโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยไม่แจ้งให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อที่แท้จริงทราบ ทำให้โจทก์ต้องไปเจรจากับบริษัทดังกล่าว เพื่อทำการแก้ไขสัญญาและส่งมอบรถคืน โจทก์เสียค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการดำเนินการเป็นเงิน 157,854.65 บาท ส่วนแบ่งกำไรจากการประกอบการของจำเลยที่ 1 ทั้งในและต่างประเทศในปี 2543 ตามที่จำเลยทั้งสามตกลงกับโจทก์ 10,700,000 บาท และเมื่อนับถึงวันที่เลิกจ้างโจทก์ โจทก์มีสิทธิจะได้รับส่วนแบ่งกำไรช่วง 4 เดือนแรกของปี 2544 ซึ่งขอเทียบกับผลกำไรในปี 2543 เฉลี่ยแล้ว 4 เดือนแรกของปี 2544 โจทก์มีสิทธิจะได้รับผลส่วนแบ่งผลกำไรไม่น้อยกว่า 3,566,666 บาท รวมเป็นเงิน 14,266,666 บาท และเนื่องจากการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสาม ซึ่งได้ไขข่าวการเลิกจ้างไปยังบุคคลที่สาม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยทั้งสามจึงต้องร่วมกันออกหนังสือประกาศแจ้งต่อพนักงานในบริษัท จำเลยที่ 1 ออกหนังสือเวียนถึงลูกความของจำเลยที่ 1 ทุกรายที่เกี่ยวกับงานทรัพย์สินทางปัญญา ลงประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ภาษาไทยและหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ให้มีข้อความทำนองว่า จำเลยทั้งสามขอยกเลิกหนังสือเลิกจ้างโจทก์ ฉบับลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2544 เนื่องจากไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำความผิดใดดังที่กล่าวอ้างในหนังสือเลิกจ้างและให้ถือว่าเป็นการอนุมัติให้โจทก์ลาออกตามความประสงค์ได้นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไป หากจำเลยทั้งสามปฏิเสธที่จะออกหนังสือดังกล่าว จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดจ่ายค่าชดเชย เนื่องจากเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด โจทก์มีอายุงานเกินกว่า 6 ปี แต่ยังไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 8 เดือน เป็นเงิน 6,800,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 35 วัน เป็นเงิน 991,666 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโดยโจทก์ต้องเสียโอกาสในการทำธุรกิจ สูญเสียอำนาจในการต่อรองในการหางานใหม่ความไม่ต่อเนื่องในการทำงาน เพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสที่โจทก์มีอยู่ก่อนการกระทำของจำเลยทั้งสาม ซึ่งโจทก์เห็นว่าต้องใช้เวลาในการทำงานอีกไม่น้อยกว่า 3 ปี ขอคิดค่าเสียหายเป็นเงิน 44,244,600 บาท ค่าเสียหายจากการละเมิดโดยการไขข่าวแพร่หลายต่อบุคคลภายนอกทำให้โจทก์รับความเสียหายเป็นเงิน 73,741,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามจ่ายเงินเดือนสะสมจำนวน 1,456,072.59 บาท เงินค่าเดินทางจำนวน 160,000 บาท เงินส่วนแบ่งกำไรจำนวน 14,266,666 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไป และให้เสียเงินเพิ่มตามกฎหมายจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 850,000 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 708,333.33 บาท ค่าชดเชย 6,800,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 991,666 บาท ให้จำเลยที่ 1 จ่ายเงินสมทบส่วนของจำเลยที่ 1 เข้าไปในเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ครบถ้วน และแจ้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมทิสโก้ จำกัด จ่ายเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้แก่โจทก์ พร้อมแสดงรายการนำส่งเงินสมทบของแต่ละฝ่าย อัตราดอกเบี้ยและประโยชน์อื่นที่ได้รับ ให้จำเลยที่ 1 จัดการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ตู้ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่นรีเจียส หมายเลขทะเบียน ภม 8332 กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 157,584.65 บาท อันเนื่องมาจากการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อรถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน ภน 2119 กรุงเทพมหานคร กับบริษัทเมอร์ซิเดสเบนซ์ลีสซิ่ง (ไทยแลนด์) จำกัด หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้ชำระค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำนวน 44,244,600 บาท กับออกหนังสือรับรองการทำงานให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามยอมร่วมกันแก้ไขเยียวยาความเสียหายให้แก่โจทก์ โดยยอมแถลงข้อความจริงต่อบุคคลที่สามด้วยวิธีการและข้อความตามฟ้องแล้วโจทก์ยินยอมไม่เรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจากจำเลยทั้งสาม
**********************************************************
คดีนี้ คำพิพากษาค่อนข้างยาวมาก แต่สรุปได้ว่า โจทก์ชนะคดี ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าจ้างค้างจ่าย 804,667 บาท และเงินสะสมในบัญชีพิเศษของโจทก์ 1,452,473 บาท กับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนรถยนต์ตู้ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีเจียส ให้แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ โจทก์ก็อุทธรณ์เนื่องจากยังไม่พอใจคำตัดสิน ศาลฎีกาก็พิพากษาเพิ่มให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชย 6,800,000 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 708,333.33 บาท ให้แก่โจทก์
IP (Intellectual Property) น่าจะเป็นสาขาของทนายหรือคนทำงานด้านกฎหมาย (ในไทย) ที่ได้ค่าตอบแทนเยอะที่สุดแล้วมั้ง อย่างสำนักกฎหมาย ดำเนิน สมเกียรติ บุญมา ที่เน้นทำแต่ด้าน IP จนมีชื่อเสียง ก็มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 500 กว่าล้านบาทต่อปี แต่ต้นทุนมีแต่เงินเดือนของพาร์ทเนอร์ และทนาย ที่เหลือเป็นกำไรมหาศาล
เอามาให้เป็นข้อคิดดูสำหรับคนที่กำลังเรียนด้านกฎหมาย หรือเพิ่งจะเริ่มงานด้านกฎหมาย หรือที่กำลังตัดสินใจว่าจะมุ่งไปที่สาขาไหน