ดิฉันก็เคยมีเรื่องพาดพิงเรื่องส่วนตัวเหมือนที่คุณโบรกกรักเจอ ดิฉันพยายามทำความเข้าใจคู่กรณีของดิฉัน ตั้งแต่เขาเริ่มแหย่ดิฉันในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อสนทนา และเป็นเรื่องส่วนตัวนั้น ตั้งแต่เตือนว่า "สนใจเรื่องส่วนตัวดิฉันขนาดนั้นเลยหรือ" เป็นการแย็บว่าคุณล้ำเส้นแล้วนะ แต่เขาไม่หยุดยังมีมาอีกเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่พันทิปยังไม่เปลี่ยนโฉมด้วยซ้ำ ดิฉันจึงต้องบอกว่าดิฉันจะฟ้อง เป้าหมายของดิฉันไม่ได้คิดจะเอาผิดเขาหรอก แค่อยากทำให้รู้ว่าพฤติกรรมแบบนี้มันผิดกฎหมายจริง ๆ คุณต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วล่ะ ดิฉันต้องชื่นชมคู่กรณีของดิฉันค่ะ พอรู้ว่าดิฉันไม่พอใจขนาดนั้น เขานิ่ง ใช้เวลาไตร่ตรอง เพื่อหาข้อยุติ ในที่สุดเขาเลือกการยอมรับผิดและขอโทษในที่สุด ความรู้สึกของดิฉันที่มีต่อคุณ Diala ขณะนี้คือพอใจและขอบคุณที่ทำให้ดิฉันมีความรู้สึกดี ๆ ต่อคนไม่รู้จักขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
การพาดพิงเรื่องส่วนตัวในทางที่เสียหาย เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าสีไหนต้องระมัดระวังค่ะ และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมีการฟ้องร้องกัน สิ่งที่ควรทำก็คือ ตั้งสติ ชั่งน้ำหนักว่ามันผิดเพราะอะไร ผิดที่เขาหรือผิดที่เรา ตอบโต้แบบไหนจึงจะไม่เสียเปรียบ ไม่ยั่วยุให้เรื่องลุกลาม ต้องยอมรับค่ะว่าคนเรานี่อีคิวต่างกัน ตอนที่ดิฉันมีเรื่องดิฉันก็พยายามก้าวข้าม คห.ที่ยั่วยุ และให้โอกาสคู่กรณีให้มากที่สุดเพื่อให้ได้ข้อยุติที่น่าพอใจทั้งสองฝ่าย
คำว่า "ขอโทษ" เป็นคำที่ดิฉันใช้บ่อยในห้องนี้ สะท้อนให้เห็นสิ่งที่ตัวเองทำ ประเมินตนเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมเราพลาดบ่อยอย่างนี้ เพราะเราไม่รู้จักเขาดีพอ บางครั้งเล่นมากไป เขาไม่ชอบ เราจึงต้องขอโทษ ใช้คำว่า "ขอโทษ" เราอาจเสียศักดิ์ศรี แต่ทำให้การอยู่ร่วมกันมันดีขึ้น เราเป็นที่ยอมรับในสังคมมากขึ้นชัยชนะมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก ไม่ใช่อยู่ที่การไขว้คว้าหาศักดิ์ศรีอะไรนั่นเลย
ดิฉันเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากคุณพ่อของดิฉัน ท่านเป็นนักกฎหมายจนได้ฉายาว่า "ทนายคนยาก" ท่านเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ครองใจคนมาร่วม 20 ปี จำได้ว่าสมัยแรก ๆ ที่พ่อชนะการเลือกตั้ง พ่อเอาผลคะแนนมาคลี่ดูว่าตำบลไหน หมู่ไหนที่คะแนนเราได้น้อยที่สุด ตกเย็น ๆ พ่อจะพาดิฉันเข้าไปสัมผัสกับผู้คนเหล่านั้น ไปนั่งคุย นั่งดื่ม พูดคุยถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เขาอยากให้พ่อช่วยเหลือเขา และดำเนินเรื่องช่วยเหลืออย่างจริงจัง มีญาติคนหนึ่งต่อว่าพ่อว่า "จะสนใจไปทำไมกัน พวกนี้ไม่ใช่พวกเราสักหน่อย" พ่อตอบว่า "เขาไม่รักเรา มันต้องมีสาเหตุ เราต้องยิ่งทำความเข้าใจเขา ไม่งั้นทำงานยาก"
ยังมีอะไรอีกหลายแง่มุมที่ดิฉันเรียนรู้จากพ่อ แม้แต่บทหนัก ๆ ที่ท่านใช้เชือดข้าราชการประจำที่คอรัปชั่น ปลอมตั๋วหมู และกระด้างกระเดื่องไม่ยอมรับผิด พ่อบอกว่าเป้าหมายของพ่อคือประโยชน์สูงสุดของคนในท้องถิ่น การพูดน้อย มีจุดยืน ซื่อสัตย์ ไม่ทำในเรื่องที่ผิดกฎหมายทั้งในที่ลับที่แจ้ง เป็นสิ่งที่พ่อยึดถือเสมอมา ทำให้พ่อเหนื่อยแต่งาน ไม่เหนื่อยใจ ไม่ต้องคอยระวังตัว สิ่งนี่แหละที่ 3 สมัยหลังจากนั้นพ่อไม่มีคู่ต่อสู้ทางการเมืองเลย ใครสู้ก็แพ้ค่ะ
บทเรียนที่ดิฉันถูกปลูกฝั่งจากพ่อเสมอมา และยึดเป็นคติในการดำเนินชีวิตคือ
"ชัยชนะ ไม่ใช่อยู่ที่การไขว่คว้าหาศักดิ์ศรี แต่คือการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ ให้อภัยคนเป็น และเต็มใจรับใช้ผู้อื่นได้โดยไม่ต้องฝื่น"
ปล. กระทู้นี้นำเสนอเรื่องส่วนตัวมากไปสักนิด แต่นี่คือความจริงค่ะ เวลาจะก้าวย่างไปทางไหน จะตัดสินใจทำอะไร ดิฉันมีพ่อเป็นแบบอย่างเสมอมา เมื่อมีข้อขัดแย้ง ต้องมีสติค่ะ พลาดก็ขอโทษ ไม่เห็นจะยากอะไรเลย ได้ใจคนด้วย
การขอโทษเมื่อทำผิด มันทำให้เสียศักดิ์ศรีมากกกกไหม
การพาดพิงเรื่องส่วนตัวในทางที่เสียหาย เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าสีไหนต้องระมัดระวังค่ะ และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมีการฟ้องร้องกัน สิ่งที่ควรทำก็คือ ตั้งสติ ชั่งน้ำหนักว่ามันผิดเพราะอะไร ผิดที่เขาหรือผิดที่เรา ตอบโต้แบบไหนจึงจะไม่เสียเปรียบ ไม่ยั่วยุให้เรื่องลุกลาม ต้องยอมรับค่ะว่าคนเรานี่อีคิวต่างกัน ตอนที่ดิฉันมีเรื่องดิฉันก็พยายามก้าวข้าม คห.ที่ยั่วยุ และให้โอกาสคู่กรณีให้มากที่สุดเพื่อให้ได้ข้อยุติที่น่าพอใจทั้งสองฝ่าย
คำว่า "ขอโทษ" เป็นคำที่ดิฉันใช้บ่อยในห้องนี้ สะท้อนให้เห็นสิ่งที่ตัวเองทำ ประเมินตนเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมเราพลาดบ่อยอย่างนี้ เพราะเราไม่รู้จักเขาดีพอ บางครั้งเล่นมากไป เขาไม่ชอบ เราจึงต้องขอโทษ ใช้คำว่า "ขอโทษ" เราอาจเสียศักดิ์ศรี แต่ทำให้การอยู่ร่วมกันมันดีขึ้น เราเป็นที่ยอมรับในสังคมมากขึ้นชัยชนะมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก ไม่ใช่อยู่ที่การไขว้คว้าหาศักดิ์ศรีอะไรนั่นเลย
ดิฉันเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากคุณพ่อของดิฉัน ท่านเป็นนักกฎหมายจนได้ฉายาว่า "ทนายคนยาก" ท่านเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ครองใจคนมาร่วม 20 ปี จำได้ว่าสมัยแรก ๆ ที่พ่อชนะการเลือกตั้ง พ่อเอาผลคะแนนมาคลี่ดูว่าตำบลไหน หมู่ไหนที่คะแนนเราได้น้อยที่สุด ตกเย็น ๆ พ่อจะพาดิฉันเข้าไปสัมผัสกับผู้คนเหล่านั้น ไปนั่งคุย นั่งดื่ม พูดคุยถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เขาอยากให้พ่อช่วยเหลือเขา และดำเนินเรื่องช่วยเหลืออย่างจริงจัง มีญาติคนหนึ่งต่อว่าพ่อว่า "จะสนใจไปทำไมกัน พวกนี้ไม่ใช่พวกเราสักหน่อย" พ่อตอบว่า "เขาไม่รักเรา มันต้องมีสาเหตุ เราต้องยิ่งทำความเข้าใจเขา ไม่งั้นทำงานยาก"
ยังมีอะไรอีกหลายแง่มุมที่ดิฉันเรียนรู้จากพ่อ แม้แต่บทหนัก ๆ ที่ท่านใช้เชือดข้าราชการประจำที่คอรัปชั่น ปลอมตั๋วหมู และกระด้างกระเดื่องไม่ยอมรับผิด พ่อบอกว่าเป้าหมายของพ่อคือประโยชน์สูงสุดของคนในท้องถิ่น การพูดน้อย มีจุดยืน ซื่อสัตย์ ไม่ทำในเรื่องที่ผิดกฎหมายทั้งในที่ลับที่แจ้ง เป็นสิ่งที่พ่อยึดถือเสมอมา ทำให้พ่อเหนื่อยแต่งาน ไม่เหนื่อยใจ ไม่ต้องคอยระวังตัว สิ่งนี่แหละที่ 3 สมัยหลังจากนั้นพ่อไม่มีคู่ต่อสู้ทางการเมืองเลย ใครสู้ก็แพ้ค่ะ
บทเรียนที่ดิฉันถูกปลูกฝั่งจากพ่อเสมอมา และยึดเป็นคติในการดำเนินชีวิตคือ "ชัยชนะ ไม่ใช่อยู่ที่การไขว่คว้าหาศักดิ์ศรี แต่คือการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ ให้อภัยคนเป็น และเต็มใจรับใช้ผู้อื่นได้โดยไม่ต้องฝื่น"
ปล. กระทู้นี้นำเสนอเรื่องส่วนตัวมากไปสักนิด แต่นี่คือความจริงค่ะ เวลาจะก้าวย่างไปทางไหน จะตัดสินใจทำอะไร ดิฉันมีพ่อเป็นแบบอย่างเสมอมา เมื่อมีข้อขัดแย้ง ต้องมีสติค่ะ พลาดก็ขอโทษ ไม่เห็นจะยากอะไรเลย ได้ใจคนด้วย