การเงิน - การลงทุน
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556 06:09
หุ้นอาเซียนยังเด่น แต่ทองคำไม่น่าลงทุน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

บลจ.อมันดิชูหุ้นอาเซียนน่าสนใจเศรษฐกิจแนวโน้มเติบโตดีในขณะที่ราคายังไม่แพง ให้น้ำหนัก "ไทย-ฟิลิปปินส์-อินโดนีเซีย"
นายทิโมธี เธียว เปิดเผยว่า ตลาดอาเซียนเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจโดยเฉพาะเมื่อรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะมีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 2.0 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และเศรษฐกิจก็ยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ฟิลลิปปินส์เองจะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มจะลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยจะเป็นการลงทุนหลักในถนนและสนามบินอีกเป็นจำนวนมาก อินโดนีเซียเองมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกันปัจจุบันมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการเติบโตดี ในขณะที่ไทยเองก็มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเช่นกัน การเพิ่มขึ้นของรายได้คนชั้นกลางและการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลดีต่อการบริโภคในประเทศ
นอกจากนี้เสรษฐกิจจีนเองก็มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่4/55 ซึ่งการเติบโตของจีนจะส่งผลบวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของทั้ง 3 ประเทศ ที่น่าจะได้ประโยชน์จากดีมานด์ในจีนที่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันกองทุน “AMUNDI FUNDS EQUITY ASEAN - IU” ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์มากกว่าตลาด ในขณะที่ให้น้ำหนักตลาดสิงคโปร์และมาเลย์เซียน้อยกว่าตลาด และมีการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเพียงเล็กน้อยประมาณ 0.2% เท่านั้น
"ตลาดหุ้นในอาเซียนโดยรวมยังมีความน่าสนใจ มีสัดส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV) ประมาณ 2 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนของตลาดหุ้นอาเซียนจะอยู่ประมาณ 11 - 12% ซึ่งมองว่าน่าจะสูงกว่า 15% ได้ในอนาคต ในขณะที่ราคาหุ้นก็ยังไม่แพง ปัจจุบันตลาดหุ้นฟิลลิปปินส์ซื้อขายที่สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ประมาณ 17 เท่า อินโดนีเซีย 14 - 15 เท่า และไทย 13 เท่า ซึ่งไทยก็มีจุดร่วมที่เหมือนกันกับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์คือมีรายได้ต่อหัวที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แต่จุดต่างที่ไม่เหมือน คือ จำนวนประชากรของฟิลลิปปินส์และอินโดนีเซียสูงกว่าไทยและอัตราการว่างงานสูงกว่าไทยและกำลังมีแนวโน้มลดลงซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการบริโภคในประเทศที่มากกว่าไทยด้วย นั่นก็จะเป็นสิ่งที่จะตอบได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะขึ้นไปซื้อขายที่ P/E เท่ากับ 2 ตลาดนั้นได้หรือไม่เช่นกัน"
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า “กองทุนกรุงศรีอาเซียนนิวมาร์เก็ต (KF-ASEAN)” ซึ่งมีนโยบายไปลงทุนใน “กองทุน AMUNDI FUNDS EQUITY ASEAN - IU” นั้น ณ สิ้นปี55 ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 13.09% และย้อนหลัง 3 ปี 39.36% ก็เป็นอีกกองทุนที่น่าสนใจในแง่การกระจายการลงทุนไปกับโอกาสการเติบโตของอาเซียนเพราะในช่วงปีที่ผ่านมาซึ่งความเสี่ยงในเศรษฐกิจโลกยังมีมากกว่าปีนี้เศรษฐกิจอาเซียนและตลาดหุ้นก็ยังเติบโตได้ดีเป็นการพิสูจน์มาแล้วระดับหนึ่ง
กองทุน KF-ASEAN ตั้งขึ้นช่วงเม.ย. 51 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลกประกอบกับนโยบายลงทุนในช่วงแรกของกองทุนหลักไปโฟกัสในตลาดหุ้นเวียดนามประมาณ 25 - 30% ของพอร์ตการลงทุน ก่อนที่ฟองสบู่ในเวียดนามจะแตก จึงทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วง 2 ปี แรกไม่ค่อยดีนัก แต่ปัจจุบันทีมจัดการลงทุนได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนและสามารถสร้างผลตอบแทนกลับขึ้นมาได้เป็นอย่างดี หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ก็เป็นอีกกองทุนที่น่าสนใจเช่นกัน
ในส่วนของราคาทองคำนั้น ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบที่มองไว้ 1,550 - 1,700 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ก้มีความเสี่ยงที่จะหลุดลงไปกว่ากรอบที่มองไว้ได้เช่นกัน เพราะความน่าสนใจของทองคำลดลงราคาน่าจะเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งออกข้าง (sideway) ในช่วงนี้ เพราะหากมองความเสี่ยงของเสรษฐกิจโลกลดลงทองคำก็น่าสนใจลดลงเช่นกันในขณะที่หุ้นจะมีความน่าสนใจมากกว่า
สาระพันข่าว " กระต่ายป่า 22 กุมภาพันธ์ 2556 "
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556 06:09
หุ้นอาเซียนยังเด่น แต่ทองคำไม่น่าลงทุน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
บลจ.อมันดิชูหุ้นอาเซียนน่าสนใจเศรษฐกิจแนวโน้มเติบโตดีในขณะที่ราคายังไม่แพง ให้น้ำหนัก "ไทย-ฟิลิปปินส์-อินโดนีเซีย"
นายทิโมธี เธียว เปิดเผยว่า ตลาดอาเซียนเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจโดยเฉพาะเมื่อรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะมีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 2.0 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และเศรษฐกิจก็ยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ฟิลลิปปินส์เองจะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มจะลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยจะเป็นการลงทุนหลักในถนนและสนามบินอีกเป็นจำนวนมาก อินโดนีเซียเองมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกันปัจจุบันมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการเติบโตดี ในขณะที่ไทยเองก็มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเช่นกัน การเพิ่มขึ้นของรายได้คนชั้นกลางและการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลดีต่อการบริโภคในประเทศ
นอกจากนี้เสรษฐกิจจีนเองก็มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่4/55 ซึ่งการเติบโตของจีนจะส่งผลบวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของทั้ง 3 ประเทศ ที่น่าจะได้ประโยชน์จากดีมานด์ในจีนที่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันกองทุน “AMUNDI FUNDS EQUITY ASEAN - IU” ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์มากกว่าตลาด ในขณะที่ให้น้ำหนักตลาดสิงคโปร์และมาเลย์เซียน้อยกว่าตลาด และมีการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเพียงเล็กน้อยประมาณ 0.2% เท่านั้น
"ตลาดหุ้นในอาเซียนโดยรวมยังมีความน่าสนใจ มีสัดส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV) ประมาณ 2 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนของตลาดหุ้นอาเซียนจะอยู่ประมาณ 11 - 12% ซึ่งมองว่าน่าจะสูงกว่า 15% ได้ในอนาคต ในขณะที่ราคาหุ้นก็ยังไม่แพง ปัจจุบันตลาดหุ้นฟิลลิปปินส์ซื้อขายที่สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ประมาณ 17 เท่า อินโดนีเซีย 14 - 15 เท่า และไทย 13 เท่า ซึ่งไทยก็มีจุดร่วมที่เหมือนกันกับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์คือมีรายได้ต่อหัวที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แต่จุดต่างที่ไม่เหมือน คือ จำนวนประชากรของฟิลลิปปินส์และอินโดนีเซียสูงกว่าไทยและอัตราการว่างงานสูงกว่าไทยและกำลังมีแนวโน้มลดลงซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการบริโภคในประเทศที่มากกว่าไทยด้วย นั่นก็จะเป็นสิ่งที่จะตอบได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะขึ้นไปซื้อขายที่ P/E เท่ากับ 2 ตลาดนั้นได้หรือไม่เช่นกัน"
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า “กองทุนกรุงศรีอาเซียนนิวมาร์เก็ต (KF-ASEAN)” ซึ่งมีนโยบายไปลงทุนใน “กองทุน AMUNDI FUNDS EQUITY ASEAN - IU” นั้น ณ สิ้นปี55 ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 13.09% และย้อนหลัง 3 ปี 39.36% ก็เป็นอีกกองทุนที่น่าสนใจในแง่การกระจายการลงทุนไปกับโอกาสการเติบโตของอาเซียนเพราะในช่วงปีที่ผ่านมาซึ่งความเสี่ยงในเศรษฐกิจโลกยังมีมากกว่าปีนี้เศรษฐกิจอาเซียนและตลาดหุ้นก็ยังเติบโตได้ดีเป็นการพิสูจน์มาแล้วระดับหนึ่ง
กองทุน KF-ASEAN ตั้งขึ้นช่วงเม.ย. 51 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลกประกอบกับนโยบายลงทุนในช่วงแรกของกองทุนหลักไปโฟกัสในตลาดหุ้นเวียดนามประมาณ 25 - 30% ของพอร์ตการลงทุน ก่อนที่ฟองสบู่ในเวียดนามจะแตก จึงทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วง 2 ปี แรกไม่ค่อยดีนัก แต่ปัจจุบันทีมจัดการลงทุนได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนและสามารถสร้างผลตอบแทนกลับขึ้นมาได้เป็นอย่างดี หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ก็เป็นอีกกองทุนที่น่าสนใจเช่นกัน
ในส่วนของราคาทองคำนั้น ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบที่มองไว้ 1,550 - 1,700 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ก้มีความเสี่ยงที่จะหลุดลงไปกว่ากรอบที่มองไว้ได้เช่นกัน เพราะความน่าสนใจของทองคำลดลงราคาน่าจะเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งออกข้าง (sideway) ในช่วงนี้ เพราะหากมองความเสี่ยงของเสรษฐกิจโลกลดลงทองคำก็น่าสนใจลดลงเช่นกันในขณะที่หุ้นจะมีความน่าสนใจมากกว่า