นางจินดาเป็นแม่ค้าขายปลาดุกย่างน้ำปลาหวานยอดสะเดาในตลาดนี้มานาน ถ้าจะนับกันให้ถ้วนถี่ก็จะชนขวบปีที่สิบห้าอยู่อีกไม่กี่วัน ด้วยรสมือและน้ำคำคะขานั้นเองที่ทำให้ลูกค้าไม่เคยห่างหาย หากจะพิศดูให้ดีรูปร่างและหน้าตาก็คงจะเป็นเครื่องช่วยเรียกลูกค้าได้อีกส่วนหนึ่ง เพราะภายใต้ร่องรอยแห่งตรากตรำนั่น เงาร่างของคนเคยสวยยังคงประทับเฝ้าแฝงอยู่ไม่รู้คลาย
นางสาวจิตดีผู้เป็นลูก เพิ่งทำบัตรประชาชนมาได้ไม่ถึงสามเดือน เธอเป็นคนรักเรียนพอๆ กับรักอาชีพของผู้เป็นมารดา หัดการงานของแม่มาได้แต่น้อย เมื่อยังเล็กกว่านี้ก็ช่วยหุงหาดูแลห้องหับ พอโตขึ้นจนรู้ความและชำนาญพอ ก็ช่วยแม่ทำปลาหมักปลา เคี่ยวน้ำปลา ซอยพริกซอยหอม กระทั่งลวกสะเดาให้กรุบกรอบกำลังดีก็ทำได้ สองปีหลังนางจินดาจึงได้ผ่อนแรงลงไปอีกมาก
ตลอดมาสองแม่ลูกไม่เคยพูดเรื่องของพ่อ เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่เคยซักถามหรือทำท่าว่าจะเป็นปมด้อยนางก็เฉยเสีย ยินดีที่ลูกเป็นคนรู้อยู่และไม่เห็นว่าการที่จิตดีไม่เคยเรียกร้องร่ำหาผู้เป็นพ่อนั้นเป็นเรื่องผิดปกติ
จิตดีใกล้เป็นสาวเต็มที ตอนที่แม่เข้ามาเปรยๆ เรื่องของพ่อ ว่าครอบครัวลองขาดพ่อบ้านเสียคนหนึ่ง ก็เหมือนขาดหัวเรือใหญ่ ถึงแม่จะคอยเป็นหางเสือคัดท้ายซ้ายขวาได้ดีอย่างไร มันก็เหมือนกับพายเรือทวนน้ำ ทั้งหนักแรงหนักใจ หมดแรงเมื่อไรทั้งชีวิตก็คงไหลลงไปตามกระแสกรรม
วันนั้นลูกสาวกำลังเลือกกุ้งแห้งตัวใหญ่พิเศษไว้โรยหน้าน้ำปลาหวาน เธอไม่ได้ออกความคิดเห็นเรื่องพ่อ เรื่องเรือ หรือว่าเรื่องหางเสือ เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองหน้าแม่แล้วเอ่ยปากขอคำปรึกษาอย่างเคย
"เลี้ยงหมาสักตัวดีไหมล่ะแม่ ตอนฉันไปโรงเรียน เที่ยงๆ แม่ไม่อยู่บ้านจะได้ไม่ต้องคอยห่วงคอยระแวง"
นางจินดาร้องเพ้ยคำหนึ่ง ไม่รู้เพราะถูกขัดคอเรื่องที่ตนกำลังตะล่อมพูด หรือว่าถูกขัดใจเรื่องที่ลูกสาวยังไม่เลิกความคิดที่เคยพร่ำขอมานาน
"แค่สองปากสองท้องยังแทบเอาตัวไม่รอด ยังจะริหาหมามาเลี้ยงให้มันมาอดๆ อยากๆ เป็นบาปเป็นกรรม ห้องก็เล็กแคบเท่ารูหนู....เออ...ถ้ามีหัวเรี่ยวหัวแรงอย่างครัวอื่นเขาก็จะว่าไปอีกอย่าง...."
ผู้เป็นแม่คัดท้ายคำพูดกลับมาสู่ต้นเรื่องที่สนทนาจนได้ แต่ลูกสาวก็เสออกไปกลับปลาดุกซึ่งวางย่างไว้บนเตาหน้าบ้าน นางจินดาเลื่อนกระจาดกุ้งแห้งมาเลือกต่อ กำลังจะคิดว่าอาการนิ่งเฉยของจิตดีเป็นการยินยอมพร้อมใจ เสียงลูกสาวก็ตะโกนลั่น
"ไอ้แมวบ้า!!....มาขโมยปลาอีกแล้ว...แม่!..แม่!...ไอ้คอดมันพาพวกมาคาบปลาไปอีกแล้ว!!!"
แล้วยุทธการไล่ล่าประจำวันก็เวียนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงก่นด่าเจ้าของแมวอยู่ปาวๆ
ตั้งแต่นั้น น้าเติมบุญก็เริ่มแวะเวียนเข้ามาให้จิตดีได้เห็นหน้า เขาเป็นรุ่นน้องนางจินดาอยู่เกือบรอบ ผู้ที่ชักชวนให้เข้ามาสนิทสนมถึงขั้นกินข้าวเย็นหรือบางครั้งก็ตื่นมากินข้าวเช้าด้วยกันนั้น แม้แม่บอกกับลูกสาวถึงความดีอันมีเป็นคุณูปการจนสุดจะสาธยาย จิตดีก็ยังเฉยอยู่เพราะถือว่าเป็นความสุขของแม่ พลอยดีใจที่เห็นแม่ยิ้มชื่นได้อีกครั้ง สภาพในบ้านก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก นอกจากกลอนประตูห้องส่วนตัวของจิตดีซึ่งแม่หาซื้อมาให้ติดแทนอันเก่าที่ผุกร่อน กับเตียงสปริงหลังใหญ่ในห้องนอนของนางจินดาเอง
นางไม่ได้ยัดเยียดคำว่า "พ่อ" ให้จิตดีเรียกขานเขา เพียงแต่ขอให้ลูกสาวเคารพและเกรงใจผู้ร่วมชายคาคนใหม่ตามสมควร
วันที่เติมบุญย้ายเข้ามาอยู่เป็นเรื่องเป็นราว นางจินดาก็ซื้อต่างหูห่วงทองคำคู่เล็กๆ ให้ลูกสาวด้วย
แรกๆ นางจินดาและนายเติมบุญก็เอาหูทวนลมเสียจากคำนินทา ชายหนุ่มทำท่าว่าจะช่วยการทำมาค้าขายได้แข็งแรงดี จนเมื่อคำค่อนแคะกระแซะกระเซ้าของลูกค้าสาวน้อยสาวใหญ่ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ไม่ยอมสร่างซา นางจินดาจึงให้สามีเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน คอยช่วยเหลือทำผักทำปลากับจิตดี
แต่ด้วยความเคยชินที่เคยจัดเคยทำอะไรๆ ตามลำพังมานาน การเข้ามาช่วยจัดหาและเป็นลูกมือของน้าเติมบุญ ทำให้จิตดีรู้สึกเก้ๆ กังๆ เหมือนมีแขนขายื่นออกมาให้เกินความจำเป็น หนักเข้าจึงเพียงมอบตำแหน่งมือย่างพ่วงด้วยยามเฝ้าปลาที่หน้าบ้านให้เท่านั้น
นายเติมบุญทำหน้าที่ของตนด้วยความแข็งขันทั้งกลางคืนกลางวัน ทุกวันเขาจะออกไปช่วยนางจินดาเก็บร้านช่วยเข็นรถมาจอดแอบไว้ใต้ถุนแฟลต จิตดีจะใช้ช่วงเวลานั้นอาบน้ำชำระร่างกายทำกิจธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อยก่อนที่คนทั้งคู่จะกลับถึงบ้าน
นางจินดาดูมีผิวพรรณเปล่งปลั่งและรักสวยรักงามขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก จิตดีเองก็มีสุขภาพจิตดีขึ้นเพราะไม่ต้องคอยห่วงพะวงกลัวพวกพลพรรคแมวโซทั้งหลายจะมาฉกฉวยปลาดุกย่างตัวอวบอีกต่อไป สภาพแฟลตของการเคหะแห่งชาติยังช่วยเก็บสุ้มเสียงต่างๆ ได้เป็นอย่างดี จิตดีจึงมีเวลาเก็บตัวอ่านหนังสืออยู่แต่ในห้องมากขึ้น
พักหลังนายเติมบุญมักบ่นว่าปวดเมื่อยตามไขข้อและเส้นสาย นางจินดาไม่ได้ตำหนิจิตดีแต่อย่างใดเมื่อลูกสาวปฏิเสธไม่ยอมช่วยนวดเฟ้น เช่นเดียวกับไม่ได้บ่นว่าหรือน้อยอกน้อยใจที่ต้องจัดการเก็บของเข้าบ้านด้วยตัวคนเดียวเหมือนอย่างครั้งไม่เคยมีเขา
เมื่อดูท่าว่าสมาชิกใหม่สมัครใจจะอยู่โยงเฝ้าบ้านมากกว่า จิตดีจึงปล่อยให้พ่อเลี้ยงหนุ่มนั่งละเลียดอารมณ์กับฟองเบียร์ตามสบาย ส่วนตนเองก็ออกไปช่วยแม่ขายของและเก็บร้าน ทุกวันนายเติมบุญจะยิ้มรื่นคอยเปิดประตูรับ ป้อนน้ำคำให้ภรรยาผู้เป็นสุดที่รักได้คลายหายเหนื่อย และเอ่ยชื่นชมในความขยันขันแข็งเป็นแม่เหย้าแม่เรือนของจิตดีอยู่เนืองๆ
แม้สองแม่ลูกจะไม่ได้ระแวงในความบริสุทธิ์ใจของชายหนุ่ม แต่ก็ต่างเฝ้าระมัดระวังกันอยู่ในที นางจินดาเริ่มซื้อหาเสื้อผ้าทั้งชั้นนอกชั้นในมาให้ลูกสาวบ่อยๆ แต่ละชุดแต่ละชิ้นนั้นก็เป็นที่พอใจของจิตดี ด้วยเหตุนี้ทั้งสามจึงอยู่ร่วมบ้านกันมาได้อย่างเป็นปกติสุข มีเพียงบางคืนที่เติมบุญตึงได้ที่ ก็จะออกความเห็นเกี่ยวกับการแต่งกายที่มิดชิดชวนอบอ้าวอึดอัดของลูกเลี้ยงวัยสาวขบเผาะสักคราวหนึ่ง
แต่แล้วในวันหนึ่ง แมวเจ้ากรรมก็มาขโมยปลาย่างไปเสียได้ บางส่วนตกเกลื่อนอยู่บนพื้น ที่ยังค้างเตาก็เริ่มไหม้ เพราะถ่านในเตาไม่ได้โรยขี้เถ้าอย่างที่ควร จิตดีไม่รู้จะโทษใครได้ ยิ่งเห็นเติมบุญรีบวิ่งกลับขึ้นมาพร้อมถุงใส่ขวดเบียร์ในมือ ก็ยิ่งคร้านจะพูดอะไรอีก จนคนที่ยืนหอบต้องเป็นฝ่ายออกปาก
"ไอ้คอดอีกหละมั้งเนี่ย...ไม่รู้เจ้าของมันเลี้ยงยังไงให้อดยากนัก...."
เขาบ่นอะไรต่อมิอะไรอีกหลายคำขณะที่กำลังใช้จีบต่อจีบของฝาขวดงัดง้างกันจนเปิดดื่มได้ขวดหนึ่ง
".....เลี้ยงหมาสักตัวไหมจิตดี เอาไว้ให้มันไล่ขบไอ้แมวเวรตะไรนั่นไงล่ะ"
"ดีสิน้า...ฉันน่ะพูดกับแม่มานานแล้ว แต่แม่ไม่เคยยอม บอกว่าแค่สองปากท้องยังจะเลี้ยงไม่รอด..."
ไม่ทันที่จิตดีจะพูดจบ เต็มบุญก็ชิงตวาดเสียงขึ้นเสียก่อน
"นี่เอ็งหาว่าข้ามาเกาะแม่เอ็งกินอย่างนั้นเรอะวะ!!!" เขากร่างเข้ามาถึงตัว ดีที่ในมือจิตดีมีไม้เสียบปลาดุกอยู่กำใหญ่ ไฟโมโหจึงดับลงด้วยแววความรักตัวกลัวเจ็บ ลูกเลี้ยงไม่ได้เงื้อง่าอันใดด้วยซ้ำตอนหันมาประจันหน้า แต่ก็ทำให้พ่อเลี้ยงผงะถอยหลังไปได้ตอนยกมือไหว้และกล่าวคำขออภัย
สองวันถัดนางจินดาก็เปรยขึ้นในวงข้าวมื้อค่ำ
"ขาประจำเขามาว่าปลาเราไม่สะอาด มีกรวดทรายปนอยู่ในเนื้อด้วย...."
จิตดีจึงเล่าถึงต้นสายปลายเหตุ เว้นไว้แต่ตอนเติมบุญทิ้งปลาลงไปซื้อเบียร์
"ช่างเถอะ...วันหน้าวันหลังก็ระวังๆ หน่อยก็แล้วกัน จะมีกรวดมีทรายจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอแม่คืนเงินแล้วแถมปลาใหม่ไปให้สองตัวกับน้ำปลาหวานสะเดาอีกชุด ก็เห็นยิ้มรื่นหน้าบานกลับไป....เอ!...หรือว่าเราจะหาหมาเล็กๆ มาเลี้ยงสักตัว...เอาไว้ให้เห่าไล่แมวตะกระพวกนั้นก็ยังดี..."
พูดได้แค่นั้นวงข้าวก็แตกกระจาย เพราะเติมบุญใช้ขาที่ขัดสมาธิกวาดจานข้าวชามแกง ก่อนจะปึงปังเข้าห้องปิดประตูไป สองคนที่เหลือได้แต่มองหน้ากันไปมาก่อนผู้เป็นแม่จะพยักให้ลูกสาวเก็บล้างทำความสะอาด ส่วนตนเองก็ขอตัวเข้าห้องไปปรับความเข้าใจกับสามีเลือดร้อน
(ต่อ)
__________เลี้ยงหมาไหมแม่____________(เรื่องสั้น)
นางสาวจิตดีผู้เป็นลูก เพิ่งทำบัตรประชาชนมาได้ไม่ถึงสามเดือน เธอเป็นคนรักเรียนพอๆ กับรักอาชีพของผู้เป็นมารดา หัดการงานของแม่มาได้แต่น้อย เมื่อยังเล็กกว่านี้ก็ช่วยหุงหาดูแลห้องหับ พอโตขึ้นจนรู้ความและชำนาญพอ ก็ช่วยแม่ทำปลาหมักปลา เคี่ยวน้ำปลา ซอยพริกซอยหอม กระทั่งลวกสะเดาให้กรุบกรอบกำลังดีก็ทำได้ สองปีหลังนางจินดาจึงได้ผ่อนแรงลงไปอีกมาก
ตลอดมาสองแม่ลูกไม่เคยพูดเรื่องของพ่อ เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่เคยซักถามหรือทำท่าว่าจะเป็นปมด้อยนางก็เฉยเสีย ยินดีที่ลูกเป็นคนรู้อยู่และไม่เห็นว่าการที่จิตดีไม่เคยเรียกร้องร่ำหาผู้เป็นพ่อนั้นเป็นเรื่องผิดปกติ
จิตดีใกล้เป็นสาวเต็มที ตอนที่แม่เข้ามาเปรยๆ เรื่องของพ่อ ว่าครอบครัวลองขาดพ่อบ้านเสียคนหนึ่ง ก็เหมือนขาดหัวเรือใหญ่ ถึงแม่จะคอยเป็นหางเสือคัดท้ายซ้ายขวาได้ดีอย่างไร มันก็เหมือนกับพายเรือทวนน้ำ ทั้งหนักแรงหนักใจ หมดแรงเมื่อไรทั้งชีวิตก็คงไหลลงไปตามกระแสกรรม
วันนั้นลูกสาวกำลังเลือกกุ้งแห้งตัวใหญ่พิเศษไว้โรยหน้าน้ำปลาหวาน เธอไม่ได้ออกความคิดเห็นเรื่องพ่อ เรื่องเรือ หรือว่าเรื่องหางเสือ เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองหน้าแม่แล้วเอ่ยปากขอคำปรึกษาอย่างเคย
"เลี้ยงหมาสักตัวดีไหมล่ะแม่ ตอนฉันไปโรงเรียน เที่ยงๆ แม่ไม่อยู่บ้านจะได้ไม่ต้องคอยห่วงคอยระแวง"
นางจินดาร้องเพ้ยคำหนึ่ง ไม่รู้เพราะถูกขัดคอเรื่องที่ตนกำลังตะล่อมพูด หรือว่าถูกขัดใจเรื่องที่ลูกสาวยังไม่เลิกความคิดที่เคยพร่ำขอมานาน
"แค่สองปากสองท้องยังแทบเอาตัวไม่รอด ยังจะริหาหมามาเลี้ยงให้มันมาอดๆ อยากๆ เป็นบาปเป็นกรรม ห้องก็เล็กแคบเท่ารูหนู....เออ...ถ้ามีหัวเรี่ยวหัวแรงอย่างครัวอื่นเขาก็จะว่าไปอีกอย่าง...."
ผู้เป็นแม่คัดท้ายคำพูดกลับมาสู่ต้นเรื่องที่สนทนาจนได้ แต่ลูกสาวก็เสออกไปกลับปลาดุกซึ่งวางย่างไว้บนเตาหน้าบ้าน นางจินดาเลื่อนกระจาดกุ้งแห้งมาเลือกต่อ กำลังจะคิดว่าอาการนิ่งเฉยของจิตดีเป็นการยินยอมพร้อมใจ เสียงลูกสาวก็ตะโกนลั่น
"ไอ้แมวบ้า!!....มาขโมยปลาอีกแล้ว...แม่!..แม่!...ไอ้คอดมันพาพวกมาคาบปลาไปอีกแล้ว!!!"
แล้วยุทธการไล่ล่าประจำวันก็เวียนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงก่นด่าเจ้าของแมวอยู่ปาวๆ
ตั้งแต่นั้น น้าเติมบุญก็เริ่มแวะเวียนเข้ามาให้จิตดีได้เห็นหน้า เขาเป็นรุ่นน้องนางจินดาอยู่เกือบรอบ ผู้ที่ชักชวนให้เข้ามาสนิทสนมถึงขั้นกินข้าวเย็นหรือบางครั้งก็ตื่นมากินข้าวเช้าด้วยกันนั้น แม้แม่บอกกับลูกสาวถึงความดีอันมีเป็นคุณูปการจนสุดจะสาธยาย จิตดีก็ยังเฉยอยู่เพราะถือว่าเป็นความสุขของแม่ พลอยดีใจที่เห็นแม่ยิ้มชื่นได้อีกครั้ง สภาพในบ้านก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก นอกจากกลอนประตูห้องส่วนตัวของจิตดีซึ่งแม่หาซื้อมาให้ติดแทนอันเก่าที่ผุกร่อน กับเตียงสปริงหลังใหญ่ในห้องนอนของนางจินดาเอง
นางไม่ได้ยัดเยียดคำว่า "พ่อ" ให้จิตดีเรียกขานเขา เพียงแต่ขอให้ลูกสาวเคารพและเกรงใจผู้ร่วมชายคาคนใหม่ตามสมควร
วันที่เติมบุญย้ายเข้ามาอยู่เป็นเรื่องเป็นราว นางจินดาก็ซื้อต่างหูห่วงทองคำคู่เล็กๆ ให้ลูกสาวด้วย
แรกๆ นางจินดาและนายเติมบุญก็เอาหูทวนลมเสียจากคำนินทา ชายหนุ่มทำท่าว่าจะช่วยการทำมาค้าขายได้แข็งแรงดี จนเมื่อคำค่อนแคะกระแซะกระเซ้าของลูกค้าสาวน้อยสาวใหญ่ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ไม่ยอมสร่างซา นางจินดาจึงให้สามีเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน คอยช่วยเหลือทำผักทำปลากับจิตดี
แต่ด้วยความเคยชินที่เคยจัดเคยทำอะไรๆ ตามลำพังมานาน การเข้ามาช่วยจัดหาและเป็นลูกมือของน้าเติมบุญ ทำให้จิตดีรู้สึกเก้ๆ กังๆ เหมือนมีแขนขายื่นออกมาให้เกินความจำเป็น หนักเข้าจึงเพียงมอบตำแหน่งมือย่างพ่วงด้วยยามเฝ้าปลาที่หน้าบ้านให้เท่านั้น
นายเติมบุญทำหน้าที่ของตนด้วยความแข็งขันทั้งกลางคืนกลางวัน ทุกวันเขาจะออกไปช่วยนางจินดาเก็บร้านช่วยเข็นรถมาจอดแอบไว้ใต้ถุนแฟลต จิตดีจะใช้ช่วงเวลานั้นอาบน้ำชำระร่างกายทำกิจธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อยก่อนที่คนทั้งคู่จะกลับถึงบ้าน
นางจินดาดูมีผิวพรรณเปล่งปลั่งและรักสวยรักงามขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก จิตดีเองก็มีสุขภาพจิตดีขึ้นเพราะไม่ต้องคอยห่วงพะวงกลัวพวกพลพรรคแมวโซทั้งหลายจะมาฉกฉวยปลาดุกย่างตัวอวบอีกต่อไป สภาพแฟลตของการเคหะแห่งชาติยังช่วยเก็บสุ้มเสียงต่างๆ ได้เป็นอย่างดี จิตดีจึงมีเวลาเก็บตัวอ่านหนังสืออยู่แต่ในห้องมากขึ้น
พักหลังนายเติมบุญมักบ่นว่าปวดเมื่อยตามไขข้อและเส้นสาย นางจินดาไม่ได้ตำหนิจิตดีแต่อย่างใดเมื่อลูกสาวปฏิเสธไม่ยอมช่วยนวดเฟ้น เช่นเดียวกับไม่ได้บ่นว่าหรือน้อยอกน้อยใจที่ต้องจัดการเก็บของเข้าบ้านด้วยตัวคนเดียวเหมือนอย่างครั้งไม่เคยมีเขา
เมื่อดูท่าว่าสมาชิกใหม่สมัครใจจะอยู่โยงเฝ้าบ้านมากกว่า จิตดีจึงปล่อยให้พ่อเลี้ยงหนุ่มนั่งละเลียดอารมณ์กับฟองเบียร์ตามสบาย ส่วนตนเองก็ออกไปช่วยแม่ขายของและเก็บร้าน ทุกวันนายเติมบุญจะยิ้มรื่นคอยเปิดประตูรับ ป้อนน้ำคำให้ภรรยาผู้เป็นสุดที่รักได้คลายหายเหนื่อย และเอ่ยชื่นชมในความขยันขันแข็งเป็นแม่เหย้าแม่เรือนของจิตดีอยู่เนืองๆ
แม้สองแม่ลูกจะไม่ได้ระแวงในความบริสุทธิ์ใจของชายหนุ่ม แต่ก็ต่างเฝ้าระมัดระวังกันอยู่ในที นางจินดาเริ่มซื้อหาเสื้อผ้าทั้งชั้นนอกชั้นในมาให้ลูกสาวบ่อยๆ แต่ละชุดแต่ละชิ้นนั้นก็เป็นที่พอใจของจิตดี ด้วยเหตุนี้ทั้งสามจึงอยู่ร่วมบ้านกันมาได้อย่างเป็นปกติสุข มีเพียงบางคืนที่เติมบุญตึงได้ที่ ก็จะออกความเห็นเกี่ยวกับการแต่งกายที่มิดชิดชวนอบอ้าวอึดอัดของลูกเลี้ยงวัยสาวขบเผาะสักคราวหนึ่ง
แต่แล้วในวันหนึ่ง แมวเจ้ากรรมก็มาขโมยปลาย่างไปเสียได้ บางส่วนตกเกลื่อนอยู่บนพื้น ที่ยังค้างเตาก็เริ่มไหม้ เพราะถ่านในเตาไม่ได้โรยขี้เถ้าอย่างที่ควร จิตดีไม่รู้จะโทษใครได้ ยิ่งเห็นเติมบุญรีบวิ่งกลับขึ้นมาพร้อมถุงใส่ขวดเบียร์ในมือ ก็ยิ่งคร้านจะพูดอะไรอีก จนคนที่ยืนหอบต้องเป็นฝ่ายออกปาก
"ไอ้คอดอีกหละมั้งเนี่ย...ไม่รู้เจ้าของมันเลี้ยงยังไงให้อดยากนัก...."
เขาบ่นอะไรต่อมิอะไรอีกหลายคำขณะที่กำลังใช้จีบต่อจีบของฝาขวดงัดง้างกันจนเปิดดื่มได้ขวดหนึ่ง
".....เลี้ยงหมาสักตัวไหมจิตดี เอาไว้ให้มันไล่ขบไอ้แมวเวรตะไรนั่นไงล่ะ"
"ดีสิน้า...ฉันน่ะพูดกับแม่มานานแล้ว แต่แม่ไม่เคยยอม บอกว่าแค่สองปากท้องยังจะเลี้ยงไม่รอด..."
ไม่ทันที่จิตดีจะพูดจบ เต็มบุญก็ชิงตวาดเสียงขึ้นเสียก่อน
"นี่เอ็งหาว่าข้ามาเกาะแม่เอ็งกินอย่างนั้นเรอะวะ!!!" เขากร่างเข้ามาถึงตัว ดีที่ในมือจิตดีมีไม้เสียบปลาดุกอยู่กำใหญ่ ไฟโมโหจึงดับลงด้วยแววความรักตัวกลัวเจ็บ ลูกเลี้ยงไม่ได้เงื้อง่าอันใดด้วยซ้ำตอนหันมาประจันหน้า แต่ก็ทำให้พ่อเลี้ยงผงะถอยหลังไปได้ตอนยกมือไหว้และกล่าวคำขออภัย
สองวันถัดนางจินดาก็เปรยขึ้นในวงข้าวมื้อค่ำ
"ขาประจำเขามาว่าปลาเราไม่สะอาด มีกรวดทรายปนอยู่ในเนื้อด้วย...."
จิตดีจึงเล่าถึงต้นสายปลายเหตุ เว้นไว้แต่ตอนเติมบุญทิ้งปลาลงไปซื้อเบียร์
"ช่างเถอะ...วันหน้าวันหลังก็ระวังๆ หน่อยก็แล้วกัน จะมีกรวดมีทรายจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอแม่คืนเงินแล้วแถมปลาใหม่ไปให้สองตัวกับน้ำปลาหวานสะเดาอีกชุด ก็เห็นยิ้มรื่นหน้าบานกลับไป....เอ!...หรือว่าเราจะหาหมาเล็กๆ มาเลี้ยงสักตัว...เอาไว้ให้เห่าไล่แมวตะกระพวกนั้นก็ยังดี..."
พูดได้แค่นั้นวงข้าวก็แตกกระจาย เพราะเติมบุญใช้ขาที่ขัดสมาธิกวาดจานข้าวชามแกง ก่อนจะปึงปังเข้าห้องปิดประตูไป สองคนที่เหลือได้แต่มองหน้ากันไปมาก่อนผู้เป็นแม่จะพยักให้ลูกสาวเก็บล้างทำความสะอาด ส่วนตนเองก็ขอตัวเข้าห้องไปปรับความเข้าใจกับสามีเลือดร้อน
(ต่อ)