ขบวนการปั่นหุ้นในอดีต ......... เรื่องเก่า..แต่ไม่ล้าสมัย

กระทู้สนทนา
ผมอ่านเจอบทความเก่าๆ เรื่องการปั่นหุ้นที่เกิดขึ้นในตลาดบ้านเรา ซึ่งนักลงทุนมือใหม่ๆที่เพิ่งเข้ามาในตลาดอาจยังไม่เคยรับรู้ว่าเขาทำกันยังไง ลองอ่านดู น่าจะพอได้ไอเดียอะไรบ้าง  และจะได้ระมัดระวังตัวกันบ้างอย่าได้หลงระเริง กับหุ้นที่วิ่งขึ้นวิ่งลงกันเป็นโยโย่ เหมือนในขณะนี้

   ****  หมายเหตุ  :  เรื่องจากข่าวหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายสัปดาห์    10  มิ.ย  2549    ครับ  ไม่ใช่เรื่องในปัจจุบัน  ****

   เจาะลึกขบวนการปั่นหุ้น สิงค์โปร์แหล่งพักหุ้นร้อน! “ฝรั่งหัวดำ” ตัวการใหญ่


* พบแล้ว 3 ตัวการใหญ่ ปั่นหุ้นในเมืองไทยจับมือกันเป็นขบวนการ ทำแบบแยบยล
* ครั้งนี้ Deal maker ชั้นเซียนในวงการยอมเปิดปากเป็นฉาก ๆ พร้อมยกตัวอย่างหุ้นที่ใช้เทคนิคจากต่างประเทศเข้ามาดำเนินการปั่น ซึ่งคนอ่านต้องตะลึง
* แม้แต่ 3เซียนหุ้นในประเทศ รรยง ,เสี่ยปู่และมาดาม
บลู ต้องชิดซ้าย
* นักเล่นหุ้น อยากรวยและไม่อยากเป็นแมงเม่า

แม้ตลาดหุ้นเมืองไทยจะมี free float และมีหุ้นตัวใหญ่น้อย แต่ก็มีข่าวรายงานจากเหล่าโบรกเกอร์ว่าต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดโดยซื้อยกล็อตในหุ้นตัวใหญ่อยู่ตลอด นอกจากนี้ยังมีข่าว “ปั่นหุ้น”ไม่เว้นวัน แต่แท้จริงการเข้ามาของ”ฝรั่ง”นั้นจะเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหนไม่มีใครรู้ และข่าวปั้นหุ้น แท้ที่จริงนั้น ใครเป็นผู้บงการที่แท้จริง !?

อย่างไรก็ดีแหล่งข่าว 2 กลุ่มที่อยู่ในวงการตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็น “ขาใหญ่” ในวงการตลาดหุ้นได้เปิดอกคุยกับ “ผู้จัดการรายสัปดาห์” ถึงกลเม็ดวิธีการปั่นหุ้นของกลุ่มบุคคลต่างๆ

3 รูปแบบการ “ปั่น”ในตลาดหุ้นไทย

แหล่งข่าว ระบุว่า หากจะนับกันไปแล้วรูปแบบการปั่นหุ้นในเมืองไทยมี 3 แบบ คือการสร้างข่าวดันราคา การสร้างวอลุ่มดันราคาหุ้นโดยไม่ต้องมีข่าวมารองรับ และสุดท้ายการปั่นหุ้นผ่านกองทุน สำหรับการสร้างข่าวดันราคาหุ้นนั้นทุกคนสังเกตได้ว่าจากหุ้นตัวเล็กที่มีราคาไม่สูงมากนัก แต่ได้รับการปั้นแต่งข่าวดีถึงการลงทุนและร่วมทุนมากมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ราคาหุ้นทะยานขึ้นไปรับข่าวดีที่เกิดขึ้น เช่น โดยไล่มาตั้งแต่ N-Park หุ้นที่ไต่ราคาหุ้น จาก 1 บาทกว่า มาที่ 10 บาท แต่ในที่สุดราคาหุ้นก็ตกลงมาต่ำกว่าบาทในปัจจุบัน ด้วยเหตุที่ข่าวดีนั้นไม่สามารถสะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้นได้

มาถึง PICNI ซึ่งสร้างข่าวด้วยการสร้างกำไรที่บ่งบอกถึงการเติบโตที่มหาศาลนำมาสู่การดึงแมงเม่าเข้ามาติดกับ ซึ่งวิธีการจับหุ้นมาแต่งตัวนี้เป็นแนวทางของหุ้นอีกหลายตัวที่ดำเนินตามรอย รวมถึง IEC ซึ่งเป็นหุ้นราคาขึ้นลงร้อนแรงล่าสุด

ส่วนการปั่นแบบสร้างวอลุ่มการซื้อขายนั้น ผู้ปั่นจะเลือกหุ้นตัวเล็ก ราคาต่ำและต้องมีฟรีโฟลท( สัดส่วนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด) น้อย เพราะใช้เม็ดเงินไม่มากก็สามารถสร้างราคาให้สูงขึ้นได้ในเวลาไม่นาน

อย่างไรก็ตามหากมองให้ลึกลงไปจะพบว่า การปั่นในรูปแบบที่ 1 จะใช้เวลาในการบ่มเพาะหุ้นมากกว่า ในขณะที่การสร้างวอลุ่มนั้น ใช้เวลาเพียง 1-2 วัน แล้วราคาก็จะกลับรูดลงต่ำยิ่งกว่าราคาก่อนที่ถูกปั่น และสุดท้ายสำหรับการใช้กองทุนเข้าไปหากินปั่นหุ้นนั้น มีน้อยคนที่จะรับทราบข้อมูลเหล่านี้ เพราะมีขั้นตอนซับซ้อน มีการใช้ตัวแทนจากกองทุนต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง การซื้อขายแต่ละครั้งจึงดูเหมือนเป็นการเข้ามาซื้อขายจากกองทุนต่างประเทศ แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นกองทุนนอมินีของ “ฝรั่งหัวดำ”ที่ใช้กองทุนเป็นเครื่องมือในการปั่นหุ้นแทนตัวเอง

ส่งผลให้ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมามีนักลงทุนเจ็บตัวกับพฤติกรรมสร้างราคาไม่น้อย คาดการณ์กันว่าแค่หุ้น PICNI อย่างเดียวก็มีคนเจ็บตัวไม่ต่ำกว่า 8,000 ราย ยังไม่นับรวม หุ้นเล็กๆอย่าง BNT,EWC,APURE ที่มีรายย่อยวิ่งตามเข้าไปและต้องรับไม้สุดท้ายในราคาสูงสุดไป

กลต.วิ่งล่าลม ดับเบิ้ลแสตนดาร์ด

เมื่อมีพฤติกรรมการไล่ราคาเช่นนี้ให้เห็นอยู่ในตลาดหุ้น ปรากฏว่าการเข้ามาของตำรวจตลาดหุ้นอย่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. นั้นก็เหมือนกับเป็น “ยิ้มระดาษ” เพราะทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นนั้น กลต.จะเข้าไปมีบทบาทหลังจากที่มีเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว และไม่สามารถหยุดยั้งกระแสความต้องการที่จะเข้าไปเก็งกำไรในหุ้นเหล่านั้นได้

นอกจาก ก.ล.ต. ยังถูกมองว่าเป็นองค์กรที่พิจารณาความแบบดับเบิ้ลแสตนดาร์ด เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นของบางกลุ่มนั้นไม่ได้ถูกก.ล.ต.เข้าไปดูแล ถึงแม้จะเห็นอย่างเด่นชัดว่ามีการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างผิดปกติ

เปิด 3 กลุ่มปั่นหุ้นเมืองไทย

การสร้างราคาหุ้นในเมืองไทยที่เราเรียกว่า “ปั่นหุ้น” นั้น เซียนตลาดหุ้น ระบุว่า มีกลุ่มคนหรือขบวนการสร้างราคาเข้าไปเกี่ยวข้อง 3 กลุ่ม คือกลุ่มสร้างราคาระดับอินเตอร์ กลุ่มสร้างราคาระดับในประเทศ และกลุ่มที่ปั่นหุ้นโดยใช้กองทุนของรัฐบาล

กลุ่มแรก เป็นนักปั่นหุ้นระดับอินเตอร์ ซึ่งแม้จะมีชาวต่างชาติในภูมิภาคเอเชียเข้ามาบ้าง แต่ที่จริงแล้วอินเตอร์หมายถึงพฤติกรรมการสร้างราคาหรือปั้นหุ้นนั้นได้ใช้วิธีการรูปแบบเดียวกับตลาดต่างประเทศมาใช้ในประเทศไทย ซึ่งมีพฤติกรรมที่สังเกตได้ง่ายๆ คือ จับหุ้นเก่า-แต่งตัวใหม่-ไล่ราคา โดยมีการสร้างข่าวและทำให้บริษัทมีสตอรี่ไลน์ หรือ การสร้างเรื่องราวให้กับหุ้น เช่น จะควบรวมกับบริษัทในต่างประเทศ เพิ่มไลน์ธุรกิจ ฯลฯ จนทำให้ผู้ซื้อหุ้นคิดว่าการลงทุนที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นฐานทำให้ราคาหุ้นได้จริง ๆ การที่จะเข้าไปจับหุ้นตัวนั้นๆได้ กลุ่มอินเตอร์เหล่านี้จะต้องมีเงินตุงในกระเป๋ามากพอสมควร และกลุ่มอินเตอร์นี้สร้างราคาหุ้นครั้งใดกำไรที่คาดหวังทุกครั้งมักจะอยู่ที่ 1000% เป็นอย่างน้อย (อ่าน“IEC”โมเดลปั้นหุ้น เซียนระดับอินเตอร์!)

ส่วนกลุ่มที่สองเป็นนักสร้างราคาระดับในประเทศจะเป็นคนไทยกันเอง ซึ่งถ้าใครแฟนพันธุ์แท้ในตลาดหลักทรัพย์ก็คงรู้จักชื่อเสียงของพวกเขาเหล่านี้ดี ไม่ว่าจะเป็น ทันตแพทย์ยรรยง พันธุ์วงษ์กล่อม (รรยง) ,สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือฉายา “เสี่ยปู่” และ “ศรีฟ้า”หรือคนในวงการรู้จักกันในนาม “มาม่าบลู-มาดามบลู” ซึ่งคนกลุ่มนี้มักจะเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นในสมัยที่หุ้นราคาไม่สูงมากนักและมีพื้นฐานพอไปได้ เรียกได้ว่า หลังวิกฤติ ปี 2540 เป็นต้นมาเหล่านักสร้าวราคาระดับในประเทศก็มีบทบาทในตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก เมื่อซื้อหุ้นราคาถูกประกอบกับหลังจากนั้นสภาวะตลาดหุ้นเมืองไทยรีบาวด์(ดีดตัว)ขึ้น ทำให้กลุ่มนักสร้างราคาต่างร่ำรวยหุ้นที่ซื้อไว้แบบเป็นกอบเป็นกำ (อ่าน เกาะติด “3เซียน”ในประเทศ -จากรายย่อยสู่กระบี่มือหนึ่ง! )

กลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มที่อยู่หลังฉากคอยบงการอยู่เบื้องหลัง โดยมีเครื่องมือเป็น “กองทุนของรัฐ” ตั้งแต่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม กองทุนของธนาคารกรุงไทย ฯลฯ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีอำนาจบางอย่างอยู่ในมือด้วย มีพฤติกรรมเป็น “ไอ้โม่ง”คอยชักใย ซึ่งขณะนี้กำลังได้กำไรสองต่อ ทั้งกำไรค่าเงินบาทและส่วนต่างของราคาหุ้น วิธีการที่ไอ้โม่งเข้าไปเล่นก็คือ การใช้กองทุนรัฐ ฯเข้าไปซื้อหุ้นประเภท เบญจภาคีไว้ (อ่าน“หุ้นเบญจภาคี”...มีแต่ได้..ไม่มีเสีย !) หรือจะเป็นการตั้ง Put & call option ไว้กับเหล่ากองทุนทั้งหลาย เพราะกองทุนจะต้องทำกำไรให้กับผู้ถือหน่วย อย่างน้อย 8-10% ไอ้โม่งเห็นโอกาส หุ้นตัวนี้และเข้าซื้อไว้ 3.30 บาท แล้วทำรายการ put and call ไว้กับกองทุนซึ่งอีก 2 ปีเขาจะซื้อต่อในราคา 4.60 บาท

ทางกองทุนก็เล็งเห็นส่วนต่าง 1.30 บาท ซึ่งทางกองทุนจะทำกำไรให้กับผู้ถือหน่วยทันที 10% ต่อปี และ 15% ในสองปี ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับกองทุน แต่ราคาขนาดนั้นอยู่ที่ 9 บาท เรียกได้ว่าลงทุนที่ราคา 4.60 บาท แต่รับราคาขายไป 9 บาททันที ขบวนการเหล่านี้ไอ้โม่งจะทำผ่าน นอมินีซึ่งอยู่ต่างแดน(Off shore) เพื่อใช้ทำการซื้อขาย แล้วโอนเงินเหล่านั้นไปทางสิงคโปร์ ซึ่งไม่มีใครสังเกตว่าที่เป็นกองทุนต่างประเทศนั้นที่แท้ก็คือ ไอ้โม่งหัวดำทีมีอำนาจสั่งการในเมืองไทยนี่เอง

ล่าสุดนี้ ไอ้โม่งที่ใช้กองทุนบังหน้าซื้อขายหุ้นนี้ กำลังเล็ง ๆ ฮุบ TPI เพราะได้เข้าไปรับซื้อที่ราคา 7.20 บาทไว้เรียบร้อย

“3 ประสาน” สร้างราคาให้โลดลิ่ว

เมื่อทราบ 3 กลุ่มที่เข้ามาโดดเด่นในตลาดหุ้นไทยแล้ว สิ่งที่จะลืมไม่ได้เลยคือ กลุ่มคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างราคาพุ่งให้กลุ่มอินเตอร์และกลุ่มในประเทศได้นั้น ทั้ง 2 กลุ่มนี้ต้องจับมือกับ 3 บุคคลด้วยกัน นั้นคือ เจ้าของหุ้นเดิม, ผู้ทำหน้าที่เป็นคนกลางการซื้อขายระหว่างบริษัท หรือที่เรียกว่าดีลเมกเกอร์ (Deal maker) และ ผู้ดูแลราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือ มาร์เก็ตเมกเกอร์ (Market maker)

อย่างไรก็ดีการปั้นหุ้นของกลุ่มอินเตอร์นั้น จะเริ่มตั้งแต่ดีล เมกเกอร์ ไปคุยกับเจ้าของหุ้นเดิม ว่าต้องการจะปรับโฉมอย่างไรบ้าง ดีลเมกเกอร์เองจะเป็นคนมอง “อาการ”หุ้นว่ามีโอกาส สร้างราคาได้มากน้อยแค่ไหน หลังจากนั้นทางดีลเมกเกอร์ก็จะขอดูข้อมูลภายในว่าจะมีโครงการอะไรเกิดขึ้นได้หรือไม่ ดีลเมกเกอร์ก็จะเริ่มตั้งเป้าราคาหุ้น แล้วใช้วิธีทำบทวิเคราะห์ออกมาถึงเหตุผลในการซื้อหุ้นตัวนี้ วิธีการนี้จะต้องใช้เครือข่ายโบรกเกอร์กระจายกันออกไป ซึ่งเหล่าดีลเมกเกอร์จะเป็นผู้วางแผนไว้ทั้งหมดว่าต้องการจะขายที่ราคาเท่าใด เช่นต้องการซื้อ TPI ที่ 8.10 บาท 200 ล้านหุ้น ทางโบรกเกอร์ก็จะกระจายการซื้อออกไปยังโบรกเกอร์ในเครือทั้งหมดให้ได้ตามราคาที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งจะใช้วีธีการดันขึ้นไปแล้วทุบลงมาซึ่งวิธีนี้เรียกว่า “เก็บหุ้น”ซึ่งวิธีการเหล่านี้ มาร์เก็ตเมกเกอร์จะแสดงเป็นตัวเด่น

เมื่อเก็บ หุ้นได้ตามคำสั่งแล้ว ก็ใช่วิธีการ”โอนบล็อก” ทีละน้อยซึ่งซื้อเก็บไว้ตามบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ประมาณ 5 บริษัท ซึ่งได้จดทะเบียนไว้ในนาม off shore หรือเป็นบริษัทที่ไม่มีแหล่งที่มาของประเทศ (non resident) แล้วโอนใบหุ้นไปที่นอมินี่ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งไม่ต้องมีการจ่ายเงิน เพราะเป็นแค่การโอนหุ้นเท่านั้น ไม่ใช่การซื้อขาย หลังจากได้ราคาตามเป้าแล้วเมื่อต้องการจะขายทำกำไร ทางดีลเมกเกอร์ที่ตั้งเป้าราคาขายไว้ล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อข่าวดันราคามาถึงราคาเป้าหมายก็จะเป็นเพียงกลุ่มมาร์เก็ตเมกเกอร์และดีลเมกเกอร์เท่านั้นที่ได้ราคาสูงสุด ขณะที่รายย่อยขายออกไม่ทัน และจะอยู่ติดดอยค้างเติ่งต่อไป

กระบวนการดังกล่าวจะต้องมีการวางแผนโดยดีลเมกเกอร์ว่าจะมีการสร้างข่าวดันราคาหุ้นกี่ระยะ รวมทั้งทางดีลเมกเกอร์จะต้องติดต่อกับกองทุนต่างประเทศเข้ามาร่วมทุนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของการสร้างดีลแต่ละครั้งด้วย

กลวิธีดังกล่าวนั้น อาจจะต่างกันอยู่นิดเดียวที่มาร์เก็ตเมกเกอร์นั้นจะเป็นผู้ดันราคาหุ้นให้มี volume ที่สูง ขณะที่ ดีลเมกเกอร์จะเป็นผู้คิดแผนการทั้งหมดว่าจะมีการดันหุ้นขึ้นไปอย่างเป็นระบบอย่างไรบ้าง อีกทั้งมาร์เก็ตเมกเกอร์นั้นไม่ต้องรู้จักหรือติดต่อกับเจ้าของหุ้นเดิม อาจจะได้ยินว่าดีลเมกเกอร์จะทำดีลอะไรก็สามารถเข้ามาผสมโรงสร้างราคาได้ ท้ายที่สุดข่าวการสร้างราคาหุ้นจะสะท้อนความจริงได้หรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของดีลเมกเกอร์ ที่จะส่งต่อไม้สุดท้ายให้เหล่ากองทุนมารับซื้อ เพื่อให้รายย่อยไม่เคว้ง ได้หรือไม่?

                                                                        มีต่อครับ ------->
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่