________ร่ายนางรำ__________ [... บทที่ ๖ ...]ฝ
http://pantip.com/topic/30118459
ติดตาม "ร่ายนางรำ" ได้ทุกบทจากบล็อกนะครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=01-2013&date=20&group=27&gblog=1
***********************************************************************************
บทที่ ๗
ความจริงนั้นเหมือนภาพฝัน เพราะงดงามและเป็นสุขเกินกว่าจะเกิดขึ้นได้จริง แม้กระทั่งได้รับรู้และจับต้อง แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็ไม่น่าเชื่อหรอกว่าจะเป็นไปได้ในชีวิตใคร
ราวเสียงหวานแว่ว ยังเบาแผ่วอยู่ริมหู
“สวัสดีจ๊ะ...คุณพี่...”
ความทรงจำยังฉายชัด หล่อนก้าวออกมาต่อหน้า ทั้งๆ ที่ไร้เสื้อผ้าสักเพียงชิ้น จนเขาต้องเบือนสายตาหลบ นึกเสียดายว่าความกระจ่างสะคราญ ไม่ควรสักนิดที่จะต้องแดดลม หรือแม้แต่เพียงแสงอ่อนแห่งนวลจันทร์
จนรู้สึกถูกสะกิดเบาๆ จึงกล้าหันกลับ
คราวนี้บนเรือนร่างของหญิงสาวมีอาภรณ์เพียบพร้อม เป็นชุดผ้าบางเบาราวถูกถักทอขึ้นจากใยบัว เป็นสีฟ้าอ่อนละมุน ประดับปุยเมฆขาวกระจ่างตา
เพราะมึนเมาหนักนัก ถึงความอัศจรรย์ที่บังเกิดให้เห็น จะทำให้แทบสร่าง แต่เขาก็ยังรู้สึกกึ่งฝันกึ่งจริง การพูดคุยสนทนา ยังเป็นแนวรำพันพร่ำเพ้อ
“อัปสรายาใจของพี่...”
“จ้ะ...”
เสียงรับคำสั้นๆ คล้ายดังก้องยืดยาว แทงลึกลงไปถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจรัก
“เธอออกมาจากภาพวาดนั่นจริงละหรือ”
“จ้ะ... คุณพี่...”
“พี่ชื่อปราโมทย์...”
“ทำไมคุณพี่มานั่งดื่มอยู่คนเดียว”
“คนเดียวที่ไหน มีน้องเป็นเพื่อนอยู่นี้ยังไรเล่า”
ยังจำได้อีกว่าหล่อนยิ้มเหมือนยั่ว แววตาสุกใสไม่เชิงว่าไร้เดียงสา แต่ทั้งหมดของตลอดเวลาที่จ้องมองมา ล้วนกระตุ้นเร้าไฟเสน่หาให้โหมแรง...
“ถ้าคุณพี่ไม่รังเกียจ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อน... นะ...จ๊ะ”
นั่นละคือที่มาของปัญหา...
ตั้งแต่ถูกปลุกเรียก แล้วเผลอดึงมือหนุ่มรับใช้ประจำตัว มาแนบแก้มรำพึงรำพัน
“อยู่กับพี่ อยู่กับพี่เถิดนะยาใจ...”
จนอีกฝ่ายรีบชักมือกลับ ถอยห่างไปไกล แล้วใช้แต่เพียงเสียงเรียกให้ตื่น
“คุณโมทย์เป็นอย่างไรขอรับ เมื่อกี้ละเมอถึงผู้หญิง ยาใจ... ยาใจ...”
“ก็ใช่ซี แม่อัปสรายาใจที่ก้าวออกมาจากภาพนั่นยังไง”
ในใจเขายังเชื่อ ว่าหล่อนปรากฏกายออกมาจากภาพวาดกระดาษหนังมนุษย์ได้จริงๆ
“ภาพ... ภาพไหนหรือขอรับ”
“นั่นยังไร ไอ้เซ่...อ”
คำหลังที่ค้างไว้เพราะไม่อยากเชื่อสายตา
ภาพวาดของแม่อัปสรายาใจของตน บัดนี้อันตรธานไปเสียแล้ว
เหลือแต่แผ่นผ้ารองพื้นเปล่าๆ ไร้ร่องรอยของแผ่นกระดาษหนังมนุษย์นุ่มเนียน
ราวกับว่าตนแขวนผ้าเปล่าไว้ตั้งแต่ต้น ครั้นจะหันไปสอบสวนเอากับไอ้คนที่เพิ่งสะกิดเรียกก็ใช่ที่
“เอ็งไปตามไอ้หนาน...”
ปราโมทย์ต้องเรียกหาอีกคน ที่ช่วยดูแลตนเมื่อเย็นวาน
“ไอ้หนานออกไปที่กรมตั้งแต่เช้าขอรับ”
“อุวะ... มันจะไปทำงานแทนข้าหรือไง”
“ไม่ทราบขอรับ”
“ว่าแต่เอ็ง เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร”
“ก็ตอนที่ปลุกคุณโมทย์...”
“แล้วภาพแม่อัปสร!”
ปราโมทย์ตวาด ไม่เชื่อหรอกว่าภาพวาดของหญิงสาวจะหายไปได้เอง
“พวกเอ็งมันรู้มาก รู้กันใช่ไหมเล่า ว่ากระดาษนั่น รูปวาดนั่น มันสำคัญ มันสูงค่าสักแค่ไหน...”
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากนั้น ปราโมทย์จึงแล่นมาถึงบ้านของสัตยา สองสามีภรรยาที่ปรับความเข้าใจได้ตั้งแต่ตอนชวนกันเข้านอนเมื่อคืน รีบออกมาต้อนรับพร้อมกัน
“แย่แล้ว สัตยา... แย่แล้ว”
“ใจเย็นเถอะค่ะพี่โมทย์ มีอะไรคะ หรือเขาปฏิวัติอำนาจท่านผู้นำ”
“ใช่ครับ พี่โมทย์ใจเย็นก่อนดีกว่า”
“จะให้เย็นอยู่ได้ยังไรเล่า ในเมื่อแม่อัปสรายาใจ หนีไปแล้ว”
ปราโมทย์มีท่าทางเป็นทุกข์หนัก จนศศิประภาอดรำคาญไม่ได้
“ถ้าผู้หญิงของพี่หาย ก็ไปแจ้งตำรวจซีคะ...”
“ได้ยังไงกันเล่า ก็... ที่หายไปน่ะ คือแม่อัปสรายาใจ”
ยิ่งญาติผู้พี่รำพันอยู่คำเดียวก็ยิ่งรำคาญ
“ถ้าพี่โมทย์เมาค้าง หรือเมามาตั้งแต่หัวรุ่ง จะพักเสียหน่อยค่อยตื่นมาคุยกันใหม่ก็ได้”
หล่อนประชดตรงๆ
“ใครหรือครับ อัปรายาใจ ที่พี่ปราโมทย์พูดถึง”
สัตยาต้องขัดคำ ไม่เช่นนั้นก็เข้าใจกันไม่ได้สักที
“ก็ในภาพวาดของคุณสัตยานั่นไง สวยยังกะนางอัปสรสวรรค์ เมื่อคืนหล่อนออกมาดื่มสุราเป็นเพื่อนผม”
“ในภาพวาด...”
“ใช่คนในภาพวาดนั่นละ นางฟ้านางสวรรค์ชัดๆ”
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกพี่โมทย์”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้... ก็ผมเห็นอยู่เอง”
“พี่โมทย์คงดื่มหนักเกินไปละซีคะ”
“แต่พี่รู้ตัว”
“ไม่ต้องพูดหรอกค่ะ ถ้าลองได้ถ่อมาถึงนี้แล้ว ก็มีแต่คนหลงเพ้อละเมอพกเท่านั้นละค่ะ ที่อยู่ๆ จะมานั่งยันนอนยันกับคนอื่นว่า มีผู้หญิงก้าวออกมาจากรูปวาดได้จริงๆ...”
ศศิประภาหยุดนิดหนึ่งเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“อ้อ! แล้วยังไรคะ ก้าวออกมาโทงๆ อย่างนั้นเลยหรือ”
“ตอนแรกก็เป็นอย่างนั้น แต่แค่พริบตาละมั้ง ที่แม่ยาใจหล่อนมีเสื้อผ้าสวมอยู่แล้ว
“ตกลงว่าพี่โมทย์เชื่อว่าเป็นไปได้หรือครับ”
“เลิกถามว่าเชื่อไม่เชื่อจริงๆ ได้แล้วละน่ะ... ปัญหาคือตอนนี้ทั้งรูปวาดทั้งกระดาษที่ใช้วาด มันล่องหนหายไปเสียแล้ว”
“พวกบ่าวไพร่ ข้าใช้คนสวน ไปสอบถามมันหรือยังล่ะคะ”
ศศิประภาออกจะหงุดหงิด
“ไม่มีใครเข้ามายุ่งเกี่ยวหรอกน่ะคุณศิ”
“หรือพี่โมทย์เมาจนลืมว่าเอาไปซุกซ่อนไว้ไหน ใต้หมอนใต้เตียง ค้นดูทั่วแล้วรึยัง”
“พี่เกณฑ์กันหาหมดแล้ว กระทั่งตั้งรางวัลให้ ก็ยังไม่เจอ”
“แล้วมีใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวในห้องนั้นบ้างไหมครับ”
“ก็ไม่มีน่ะซีเล่า ผมกะว่าจะกินเหล้าแก้มสาวงาม แล้วยังไร... หล่อนก็เดินออกมา มานั่งกินเป็นเพื่อน... เออ! จริงสิ สัตยา คุณศิ ที่จริงภาพนั่นไม่ได้ถูกขโมยหรอก เป็นแม่อัปสรายาใจ เป็นฝ่ายหนีไปเอง”
ยิ่งฟังที่พูด คนฟังก็รู้สึกเหมือนคนพูดบ้าบอไปแล้ว
“พี่โมทย์พูดราวกับว่า กระดาษมันจะงอกนูนเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นตัวคนแล้วเดินหนีไปไหนต่อไหนได้จริง อย่างนั้นหรือคะ”
“ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะคุณศิ”
“ศิกว่าพี่โมทย์คงเมาหนักจริงๆ หรือว่ายังไม่สร่าง...”
“จริงๆ นะคุณศิ สัตยา... หล่อนเดินออกมานั่งกินเหล้าเป็นเพื่อนผมจริงๆ”
“แต่ตอนนี้ภาพนั้นหายไปแล้ว”
สัตยาพยายามดึงคนเล่าให้กลับมาสู่จุดสำคัญ
“ถ้าพี่โมทย์บอกว่าผู้หญิงคนในรูปนั้นเกิดมีชีวิต แล้วหลบลี้หนีหายไปจากพี่จริงๆ แล้วการมาที่บ้านศินี้ จะช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้นได้หรือคะ”
“ก็...”
ปราโมทย์ถึงกับพูดไม่ออก
“ก็... ทำไมล่ะ ไม่เชื่อกันแน่ๆ ใช่ไหม... ได้... ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ!”
สุดท้ายญาติผู้พี่ของศศิประภาก็ทิ้งคำไว้อย่างนั้น ก่อนจะผลุนผลันจากไป
________ร่ายนางรำ__________ [... บทที่ ๗ ...]
http://pantip.com/topic/30118459
ติดตาม "ร่ายนางรำ" ได้ทุกบทจากบล็อกนะครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=01-2013&date=20&group=27&gblog=1
***********************************************************************************
บทที่ ๗
ความจริงนั้นเหมือนภาพฝัน เพราะงดงามและเป็นสุขเกินกว่าจะเกิดขึ้นได้จริง แม้กระทั่งได้รับรู้และจับต้อง แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็ไม่น่าเชื่อหรอกว่าจะเป็นไปได้ในชีวิตใคร
ราวเสียงหวานแว่ว ยังเบาแผ่วอยู่ริมหู
“สวัสดีจ๊ะ...คุณพี่...”
ความทรงจำยังฉายชัด หล่อนก้าวออกมาต่อหน้า ทั้งๆ ที่ไร้เสื้อผ้าสักเพียงชิ้น จนเขาต้องเบือนสายตาหลบ นึกเสียดายว่าความกระจ่างสะคราญ ไม่ควรสักนิดที่จะต้องแดดลม หรือแม้แต่เพียงแสงอ่อนแห่งนวลจันทร์
จนรู้สึกถูกสะกิดเบาๆ จึงกล้าหันกลับ
คราวนี้บนเรือนร่างของหญิงสาวมีอาภรณ์เพียบพร้อม เป็นชุดผ้าบางเบาราวถูกถักทอขึ้นจากใยบัว เป็นสีฟ้าอ่อนละมุน ประดับปุยเมฆขาวกระจ่างตา
เพราะมึนเมาหนักนัก ถึงความอัศจรรย์ที่บังเกิดให้เห็น จะทำให้แทบสร่าง แต่เขาก็ยังรู้สึกกึ่งฝันกึ่งจริง การพูดคุยสนทนา ยังเป็นแนวรำพันพร่ำเพ้อ
“อัปสรายาใจของพี่...”
“จ้ะ...”
เสียงรับคำสั้นๆ คล้ายดังก้องยืดยาว แทงลึกลงไปถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจรัก
“เธอออกมาจากภาพวาดนั่นจริงละหรือ”
“จ้ะ... คุณพี่...”
“พี่ชื่อปราโมทย์...”
“ทำไมคุณพี่มานั่งดื่มอยู่คนเดียว”
“คนเดียวที่ไหน มีน้องเป็นเพื่อนอยู่นี้ยังไรเล่า”
ยังจำได้อีกว่าหล่อนยิ้มเหมือนยั่ว แววตาสุกใสไม่เชิงว่าไร้เดียงสา แต่ทั้งหมดของตลอดเวลาที่จ้องมองมา ล้วนกระตุ้นเร้าไฟเสน่หาให้โหมแรง...
“ถ้าคุณพี่ไม่รังเกียจ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อน... นะ...จ๊ะ”
นั่นละคือที่มาของปัญหา...
ตั้งแต่ถูกปลุกเรียก แล้วเผลอดึงมือหนุ่มรับใช้ประจำตัว มาแนบแก้มรำพึงรำพัน
“อยู่กับพี่ อยู่กับพี่เถิดนะยาใจ...”
จนอีกฝ่ายรีบชักมือกลับ ถอยห่างไปไกล แล้วใช้แต่เพียงเสียงเรียกให้ตื่น
“คุณโมทย์เป็นอย่างไรขอรับ เมื่อกี้ละเมอถึงผู้หญิง ยาใจ... ยาใจ...”
“ก็ใช่ซี แม่อัปสรายาใจที่ก้าวออกมาจากภาพนั่นยังไง”
ในใจเขายังเชื่อ ว่าหล่อนปรากฏกายออกมาจากภาพวาดกระดาษหนังมนุษย์ได้จริงๆ
“ภาพ... ภาพไหนหรือขอรับ”
“นั่นยังไร ไอ้เซ่...อ”
คำหลังที่ค้างไว้เพราะไม่อยากเชื่อสายตา
ภาพวาดของแม่อัปสรายาใจของตน บัดนี้อันตรธานไปเสียแล้ว
เหลือแต่แผ่นผ้ารองพื้นเปล่าๆ ไร้ร่องรอยของแผ่นกระดาษหนังมนุษย์นุ่มเนียน
ราวกับว่าตนแขวนผ้าเปล่าไว้ตั้งแต่ต้น ครั้นจะหันไปสอบสวนเอากับไอ้คนที่เพิ่งสะกิดเรียกก็ใช่ที่
“เอ็งไปตามไอ้หนาน...”
ปราโมทย์ต้องเรียกหาอีกคน ที่ช่วยดูแลตนเมื่อเย็นวาน
“ไอ้หนานออกไปที่กรมตั้งแต่เช้าขอรับ”
“อุวะ... มันจะไปทำงานแทนข้าหรือไง”
“ไม่ทราบขอรับ”
“ว่าแต่เอ็ง เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร”
“ก็ตอนที่ปลุกคุณโมทย์...”
“แล้วภาพแม่อัปสร!”
ปราโมทย์ตวาด ไม่เชื่อหรอกว่าภาพวาดของหญิงสาวจะหายไปได้เอง
“พวกเอ็งมันรู้มาก รู้กันใช่ไหมเล่า ว่ากระดาษนั่น รูปวาดนั่น มันสำคัญ มันสูงค่าสักแค่ไหน...”
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากนั้น ปราโมทย์จึงแล่นมาถึงบ้านของสัตยา สองสามีภรรยาที่ปรับความเข้าใจได้ตั้งแต่ตอนชวนกันเข้านอนเมื่อคืน รีบออกมาต้อนรับพร้อมกัน
“แย่แล้ว สัตยา... แย่แล้ว”
“ใจเย็นเถอะค่ะพี่โมทย์ มีอะไรคะ หรือเขาปฏิวัติอำนาจท่านผู้นำ”
“ใช่ครับ พี่โมทย์ใจเย็นก่อนดีกว่า”
“จะให้เย็นอยู่ได้ยังไรเล่า ในเมื่อแม่อัปสรายาใจ หนีไปแล้ว”
ปราโมทย์มีท่าทางเป็นทุกข์หนัก จนศศิประภาอดรำคาญไม่ได้
“ถ้าผู้หญิงของพี่หาย ก็ไปแจ้งตำรวจซีคะ...”
“ได้ยังไงกันเล่า ก็... ที่หายไปน่ะ คือแม่อัปสรายาใจ”
ยิ่งญาติผู้พี่รำพันอยู่คำเดียวก็ยิ่งรำคาญ
“ถ้าพี่โมทย์เมาค้าง หรือเมามาตั้งแต่หัวรุ่ง จะพักเสียหน่อยค่อยตื่นมาคุยกันใหม่ก็ได้”
หล่อนประชดตรงๆ
“ใครหรือครับ อัปรายาใจ ที่พี่ปราโมทย์พูดถึง”
สัตยาต้องขัดคำ ไม่เช่นนั้นก็เข้าใจกันไม่ได้สักที
“ก็ในภาพวาดของคุณสัตยานั่นไง สวยยังกะนางอัปสรสวรรค์ เมื่อคืนหล่อนออกมาดื่มสุราเป็นเพื่อนผม”
“ในภาพวาด...”
“ใช่คนในภาพวาดนั่นละ นางฟ้านางสวรรค์ชัดๆ”
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกพี่โมทย์”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้... ก็ผมเห็นอยู่เอง”
“พี่โมทย์คงดื่มหนักเกินไปละซีคะ”
“แต่พี่รู้ตัว”
“ไม่ต้องพูดหรอกค่ะ ถ้าลองได้ถ่อมาถึงนี้แล้ว ก็มีแต่คนหลงเพ้อละเมอพกเท่านั้นละค่ะ ที่อยู่ๆ จะมานั่งยันนอนยันกับคนอื่นว่า มีผู้หญิงก้าวออกมาจากรูปวาดได้จริงๆ...”
ศศิประภาหยุดนิดหนึ่งเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“อ้อ! แล้วยังไรคะ ก้าวออกมาโทงๆ อย่างนั้นเลยหรือ”
“ตอนแรกก็เป็นอย่างนั้น แต่แค่พริบตาละมั้ง ที่แม่ยาใจหล่อนมีเสื้อผ้าสวมอยู่แล้ว
“ตกลงว่าพี่โมทย์เชื่อว่าเป็นไปได้หรือครับ”
“เลิกถามว่าเชื่อไม่เชื่อจริงๆ ได้แล้วละน่ะ... ปัญหาคือตอนนี้ทั้งรูปวาดทั้งกระดาษที่ใช้วาด มันล่องหนหายไปเสียแล้ว”
“พวกบ่าวไพร่ ข้าใช้คนสวน ไปสอบถามมันหรือยังล่ะคะ”
ศศิประภาออกจะหงุดหงิด
“ไม่มีใครเข้ามายุ่งเกี่ยวหรอกน่ะคุณศิ”
“หรือพี่โมทย์เมาจนลืมว่าเอาไปซุกซ่อนไว้ไหน ใต้หมอนใต้เตียง ค้นดูทั่วแล้วรึยัง”
“พี่เกณฑ์กันหาหมดแล้ว กระทั่งตั้งรางวัลให้ ก็ยังไม่เจอ”
“แล้วมีใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวในห้องนั้นบ้างไหมครับ”
“ก็ไม่มีน่ะซีเล่า ผมกะว่าจะกินเหล้าแก้มสาวงาม แล้วยังไร... หล่อนก็เดินออกมา มานั่งกินเป็นเพื่อน... เออ! จริงสิ สัตยา คุณศิ ที่จริงภาพนั่นไม่ได้ถูกขโมยหรอก เป็นแม่อัปสรายาใจ เป็นฝ่ายหนีไปเอง”
ยิ่งฟังที่พูด คนฟังก็รู้สึกเหมือนคนพูดบ้าบอไปแล้ว
“พี่โมทย์พูดราวกับว่า กระดาษมันจะงอกนูนเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นตัวคนแล้วเดินหนีไปไหนต่อไหนได้จริง อย่างนั้นหรือคะ”
“ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะคุณศิ”
“ศิกว่าพี่โมทย์คงเมาหนักจริงๆ หรือว่ายังไม่สร่าง...”
“จริงๆ นะคุณศิ สัตยา... หล่อนเดินออกมานั่งกินเหล้าเป็นเพื่อนผมจริงๆ”
“แต่ตอนนี้ภาพนั้นหายไปแล้ว”
สัตยาพยายามดึงคนเล่าให้กลับมาสู่จุดสำคัญ
“ถ้าพี่โมทย์บอกว่าผู้หญิงคนในรูปนั้นเกิดมีชีวิต แล้วหลบลี้หนีหายไปจากพี่จริงๆ แล้วการมาที่บ้านศินี้ จะช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้นได้หรือคะ”
“ก็...”
ปราโมทย์ถึงกับพูดไม่ออก
“ก็... ทำไมล่ะ ไม่เชื่อกันแน่ๆ ใช่ไหม... ได้... ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ!”
สุดท้ายญาติผู้พี่ของศศิประภาก็ทิ้งคำไว้อย่างนั้น ก่อนจะผลุนผลันจากไป