ประเทศอื่นเขาพิพาทเรื่องดินแดนกันมาเป็นร้อยปี ไม่มีใครยอมใคร ก็ไม่เห็นมีคนในประเทศเดียวกันออกมาด่าว่าคลั่งชาติเหมือนประเทศไทย
ถ้าไม่เป็นเพราะอดีตผู้นำของไทยไม่ไปมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำเขมร ถ้าไม่เป็นเพราะผู้นำเขมรเข้าข้างอดีตผู้นำของไทยอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัว อันไหนเป็นมารยาทางการทูตระหว่างประเทศที่จะต้องปฏิบัติในฐานะที่ตัวเองเป็นผู้นำประเทศ สถานการณ์คงไม่เป็นเหมือนปัจจุบัน
ถ้าคนกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย "ไม่คลั่งบุคคล" เหนือประเทศชาติ สถานการณ์เรื่องปราสาทพระวิหารคงไม่เป็นอย่างปัจจุบันที่ยังไม่รบกับเขมรเราก็แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง เพราะมีคนจำพวกหนึ่งคอยแก้ต่างเข้าข้างผู้นำเขมรตลอด
วันดีคืนดีก็ยกขบวนไปเขมร ไปร้องเพลงสรรเสริญ ฮุน เซน เสร็จแล้วก็กลับมาเสพสุขเมืองไทยที่พวกเขาก่นด่าว่าเป็นประเทศของพวกอำมาตย์ ชนชั้นสูง ไม่มีประชาธิปไตย
ไม่เห็นว่าคนเหล่านี้จะอยากจะย้ายสำมะโนครัวไปอยู่เขมรที่ล้าหลัง (แต่พวกเขาสรรเสริญ) แต่อย่างใด
ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-เขมรที่เกิดขึ้นสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ต้องถือว่าปัจจัยสำคัญยิ่งประการหนึ่งเกิดจากอคติและการเลือกข้าง (ข้ามประเทศ) ทางการเมืองของ ฮุน เซน เอง
นั่นคือ ฮุน เซน เลือกข้างคุณทักษิณเต็มตัว และทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์สุดฤทธิ์แบบไม่ลืมหูลืมตา
แต่การต่อสู้ของฝ่ายไทยในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ อย่างน้อยก็ทำให้แม้คณะกรรมการมรดกโลกอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนได้แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ครบเกณฑ์ทุกข้อ โดยคณะกรรมการมรดกโลกกำหนดให้เขมรส่งแผนที่บริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 แต่เขมรส่งไม่ทันเนื่องจากการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกัมพูชายังไม่มีความชัดเจน
จึงทำให้ในขณะนั้น ฮุน เซน โกรธแค้นนายอภิสิทธิ์มาก ถึงกับใช้คำพูดที่หยาบคาย และต่ำๆ ด่านายอภิสิทธิ์ ยิ่งกว่าที่นายกษิตเคยวิจารณ์ ฮุน เซน อีก แถมยังแช่งชักให้นายอภิสิทธิ์ตาย ขอให้ครอบครัวมีอันเป็นไป ซึ่งถือว่าผิดมารยาทอย่างร้ายแรง แบบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคำพูดของคนระดับผู้นำประเทศ
แต่ก็แปลกที่ขณะนั้นคนไทยที่รัก ฮุน เซน และทักษิณ ไม่เคยออกมาตอบโต้ ฮุน เซน ว่าใช้คำพูดหยาบคายเลย แต่ชอบนำเอาประเด็นเดียวกันนี้มาโจมตีนายกษิตเป็นหลัก
ทำไมตอนที่ ฮุน เซน ยิงถล่มชายแดนไทยสมัยประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจนมีประชาชนไทยล้มตาย ทำไมคนเหล่านี้จึงไม่คิดว่านี่คือแผนของ ฮุน เซน ร่วมกับนักการเมืองไทยบางคนต้องการล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์เหมือนกัน
ถามว่าถ้ารัฐบาลที่อ่อนข้อให้เขมร ไม่ตอบโต้ ไม่คิดรักษาผลประโยชน์และอธิปไตยอย่างเต็มกำลัง เพียงพื่อให้เขมรเอ็นดูและไม่ยิงถล่มเรา ถามว่านั่นเป็นรัฐบาลที่น่าชื่นชมหรือ ส่วนรัฐบาลไทยที่คัดค้านเขมร ไม่ยอมเสียเปรียบเขมร แล้วถูกเขมรยิงถล่ม ถือเป็นรัฐบาลที่แย่อย่างนั้นหรือ
พวกที่กล่าวหาว่าคนอื่นใช้เรื่องปราสาทพระวิหารมาปลุกระดมให้คนคลั่งชาติแบบเสียสติ นั้น ในอีกมุมหนึ่งการคลั่งชาติอย่างน้อยก็ดีกว่า "คลั่งบุคคล" เพราะการคลั่งยถึงการคำนึงถึงส่วนรวม ในขณะที่การ "คลั่งบุคคล" จนยอมเข้าข้างอ่อนข้อให้เขมร ไม่พยายามจะรักษาอธิปไตยอย่างเต็มกำลัง นั้นเป็นการคำนึงถึงแค่ประโยชน์ส่วนตัวและกลุ่ม
บางทีพวกเสียสติของแท้ ก็คงเป็นพวกที่ยอมยกดินแดนให้ประเทศอื่นง่ายๆ นั่นแหละ ไม่แสดงออกว่าต้องการรักษาดินแดนแล้ว ยังห้ามขัดขวางไม่ให้คนอื่นแสดงออกอีก
คนคลั่งชาติ อย่างน้อยก็ดีกว่าพวก "ช่างหัว...ชาติ" ผลประโยชน์ส่วนตัวและคณะบุคคลต้องมาก่อน ซึ่งเห็นได้มากและชัดในเวลานี้
ตัดตอนบางส่วน จากมติชน
เขาพระวิหาร คลั่งชาติ หรือ คลั่งบุคคล จนไม่มองชาติ
ถ้าไม่เป็นเพราะอดีตผู้นำของไทยไม่ไปมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำเขมร ถ้าไม่เป็นเพราะผู้นำเขมรเข้าข้างอดีตผู้นำของไทยอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัว อันไหนเป็นมารยาทางการทูตระหว่างประเทศที่จะต้องปฏิบัติในฐานะที่ตัวเองเป็นผู้นำประเทศ สถานการณ์คงไม่เป็นเหมือนปัจจุบัน
ถ้าคนกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย "ไม่คลั่งบุคคล" เหนือประเทศชาติ สถานการณ์เรื่องปราสาทพระวิหารคงไม่เป็นอย่างปัจจุบันที่ยังไม่รบกับเขมรเราก็แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง เพราะมีคนจำพวกหนึ่งคอยแก้ต่างเข้าข้างผู้นำเขมรตลอด
วันดีคืนดีก็ยกขบวนไปเขมร ไปร้องเพลงสรรเสริญ ฮุน เซน เสร็จแล้วก็กลับมาเสพสุขเมืองไทยที่พวกเขาก่นด่าว่าเป็นประเทศของพวกอำมาตย์ ชนชั้นสูง ไม่มีประชาธิปไตย
ไม่เห็นว่าคนเหล่านี้จะอยากจะย้ายสำมะโนครัวไปอยู่เขมรที่ล้าหลัง (แต่พวกเขาสรรเสริญ) แต่อย่างใด
ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-เขมรที่เกิดขึ้นสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ต้องถือว่าปัจจัยสำคัญยิ่งประการหนึ่งเกิดจากอคติและการเลือกข้าง (ข้ามประเทศ) ทางการเมืองของ ฮุน เซน เอง
นั่นคือ ฮุน เซน เลือกข้างคุณทักษิณเต็มตัว และทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์สุดฤทธิ์แบบไม่ลืมหูลืมตา
แต่การต่อสู้ของฝ่ายไทยในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ อย่างน้อยก็ทำให้แม้คณะกรรมการมรดกโลกอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนได้แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ครบเกณฑ์ทุกข้อ โดยคณะกรรมการมรดกโลกกำหนดให้เขมรส่งแผนที่บริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 แต่เขมรส่งไม่ทันเนื่องจากการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกัมพูชายังไม่มีความชัดเจน
จึงทำให้ในขณะนั้น ฮุน เซน โกรธแค้นนายอภิสิทธิ์มาก ถึงกับใช้คำพูดที่หยาบคาย และต่ำๆ ด่านายอภิสิทธิ์ ยิ่งกว่าที่นายกษิตเคยวิจารณ์ ฮุน เซน อีก แถมยังแช่งชักให้นายอภิสิทธิ์ตาย ขอให้ครอบครัวมีอันเป็นไป ซึ่งถือว่าผิดมารยาทอย่างร้ายแรง แบบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคำพูดของคนระดับผู้นำประเทศ
แต่ก็แปลกที่ขณะนั้นคนไทยที่รัก ฮุน เซน และทักษิณ ไม่เคยออกมาตอบโต้ ฮุน เซน ว่าใช้คำพูดหยาบคายเลย แต่ชอบนำเอาประเด็นเดียวกันนี้มาโจมตีนายกษิตเป็นหลัก
ทำไมตอนที่ ฮุน เซน ยิงถล่มชายแดนไทยสมัยประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจนมีประชาชนไทยล้มตาย ทำไมคนเหล่านี้จึงไม่คิดว่านี่คือแผนของ ฮุน เซน ร่วมกับนักการเมืองไทยบางคนต้องการล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์เหมือนกัน
ถามว่าถ้ารัฐบาลที่อ่อนข้อให้เขมร ไม่ตอบโต้ ไม่คิดรักษาผลประโยชน์และอธิปไตยอย่างเต็มกำลัง เพียงพื่อให้เขมรเอ็นดูและไม่ยิงถล่มเรา ถามว่านั่นเป็นรัฐบาลที่น่าชื่นชมหรือ ส่วนรัฐบาลไทยที่คัดค้านเขมร ไม่ยอมเสียเปรียบเขมร แล้วถูกเขมรยิงถล่ม ถือเป็นรัฐบาลที่แย่อย่างนั้นหรือ
พวกที่กล่าวหาว่าคนอื่นใช้เรื่องปราสาทพระวิหารมาปลุกระดมให้คนคลั่งชาติแบบเสียสติ นั้น ในอีกมุมหนึ่งการคลั่งชาติอย่างน้อยก็ดีกว่า "คลั่งบุคคล" เพราะการคลั่งยถึงการคำนึงถึงส่วนรวม ในขณะที่การ "คลั่งบุคคล" จนยอมเข้าข้างอ่อนข้อให้เขมร ไม่พยายามจะรักษาอธิปไตยอย่างเต็มกำลัง นั้นเป็นการคำนึงถึงแค่ประโยชน์ส่วนตัวและกลุ่ม
บางทีพวกเสียสติของแท้ ก็คงเป็นพวกที่ยอมยกดินแดนให้ประเทศอื่นง่ายๆ นั่นแหละ ไม่แสดงออกว่าต้องการรักษาดินแดนแล้ว ยังห้ามขัดขวางไม่ให้คนอื่นแสดงออกอีก
คนคลั่งชาติ อย่างน้อยก็ดีกว่าพวก "ช่างหัว...ชาติ" ผลประโยชน์ส่วนตัวและคณะบุคคลต้องมาก่อน ซึ่งเห็นได้มากและชัดในเวลานี้
ตัดตอนบางส่วน จากมติชน