การเดินทางสุดป่วนของสองคู่หูนายกระจอก ฮาโล่ อาโลฮ่า และจักรยานคู่ใจ ลักเล่น้อย ส. กลอยใจ ตอนที่ 5 คร๊าบ
22 ธันวาคม – โค้งอันตรายเส้นทางชุมพร – ละอุ่น ระนอง
“ยยยย” ผมตะโกนกับตัวเองสุดเสียงกับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าผม
รถกระบะคันนึงกำลังวิ่งสวนเลนมาด้วยความเร็วสูงเพื่อแซงรถมอเตอร์ไซด์คันนึงที่กำลังขี่ขึ้นจากเขา และผมคือจักรยานคันนึงที่ไหลลงจากเขามาด้วยความเร็วพอสมควร จากภาพที่เห็นเราประสานงากันแน่ๆ ตอนนั้นผมคิดในใจกูตายแน่ๆ
ผมเคยดูหนังและฟังจากหลายคนบอกว่าวินาทีก่อนตายเราจะเห็นทุกอย่างเหมือนภาพสไลว์โมชั่น และภาพต่างๆในความทรงจำจะไหลย้อนมาปรากฏในความคิดเหมือนเราเร่งเทปความเร็วสูง ผมเชื่อแล้วว่ามันเป็นความจริง
ในหัวของผมตอนนี้จากภาพตรงหน้าที่เป็นรถกระบะที่กำลังพุ่งมาชนผม อยู่ดีๆเหมือนมีภาพความทรงจำในอดีตวิ่งเข้ามาในหัวผม ภาพตอนที่ผมเจอเธอครั้งแรก ภาพที่ผมได้แต่แอบมองเธอเงียบๆไม่กล้าไปคุยกับเธอเพราะเรามันกระจอกเหลือเกิน ภาพตอนเราคุยกันครั้งแรก ภาพตอนเราไปเดินเที่ยวกันครั้งแรก ภาพตอนเธอยิ้ม ภาพตอนเธอหัวเราะ และสารพัดภาพที่เกี่ยวกับเธอวิ่งเข้ามาในหัวเหมือนเร่งความเร็ว 1000 เท่าในหัวผม
“สัญญานะเราจะเดินทางไปดูโลกกว้างด้วยกัน สัญญาแล้วห้ามเบี้ยวนะ” ภาพสุดท้ายที่แว่บเข้ามาคือภาพเธอพูดย้ำคำสัญญาที่ผมเคยมีให้เธอตอนที่เธอยังอยู่
แล้วมันก็ตัดภาพมาเป็นรถกระบะที่วิ่งมาใกล้ผมมากกว่าเดิม ผมรู้ดีว่าถ้าผมประสานงากับกระบะที่วิ่งสวนเลนมาตรงหน้าผมตอนนี้เนี่ยผมตายแน่ๆ ผมคิดในใจนี่เรากำลังจะตายแล้วแล้วเหรอเนี่ย เฮ้ยไม่ได้สิ จะตายตรงนี้ไม่ได้ ยังไปได้ไม่ถึงไหนเลย จบเห่ตรงนี้จะไปสู้หน้าเธอได้ยังไงวะ
ผมตัดสินใจหักหลบซ้ายพุ่งเข้าหารั้วกั้นขอบทางทันที ผมก็ไม่รู้หรอกว่าถ้าผมพุ่งชนรั้วกั้นขอบทางผมจะรอดรึเปล่า แต่ก็ยังดีกว่าพุ่งชนประสานงากับรถกระบะที่วิ่งสวนมาแล้วผมตายชัวร์ๆแบบนี้แน่ๆ
“ตูม” เจ้าลักเล่จูเนียร์ของผมประสานงาเข้ากับรั้วเหล็กที่กั้นขอบทางแบบรุณแรงมาก แรงขนาดหยุดไม่อยู่และทำให้ผมและลักเล่ตีลังกาข้ามรั้วเหล็กกั้นขอบทางตกไปข้างล่างที่เป็นทางลาดชันเหมือนหน้าผา ผมจำไม่ได้ผมกลิ้งตลบไปกี่รอบ จำได้แต่พอได้สติคือผมละลักเล่กำลังไหลร่วงไปตามทางลาดหน้าผา
พอได้สติผมรีบเอาขาผมหนีบลักเล่ไว้แล้วรีบเอามือคว้าอะไรก็ได้ที่คว้าได้ ในที่สุดใหล่ผมก็ไปกระแทกกับต้นไม้เล็กๆต้นนึงและผมก็รีบกอดลำต้นมันเอาไว้จนผมและลักเล่ก็หยุดตกลงไปข้างล่างจนได้ พอมั่นใจแล้วว่าผมหยุดแน่ๆแล้วถึงได้มีเวลาหายใจหายคอกับเค้าบ้างซะที สิ่งที่แรกที่ผมพยายามทำคือเช็กร่างกายตัวเองว่ายังครับ 32 อยู่นะเว๊ยเฮ้ย พอผมลองพยายามลุกขึ้นมาแล้วผมก็พบว่าผมรู้สึกปวดแปล๊บอย่างแรงที่ร่างกายซีกซ้ายของผม เชี่ยเจ็บโว๊ย และต่อมาผมก็ตรวจสภาพลักเล่ว่ามันก็ยังครบ 32 ดีอยู่นะ และผมก็เจอเรื่องที่ บัดซบกว่าผมบาดเจ็บคือลักเล่แฮนด์หักขนาดปั่นต่อไปไม่ไหว !!!
ผมยอมรับตอนนั้นผมโคตรท้อเลย หรือว่าการเดินทางของผมครั้งนี้มันต้องจบลงตรงนี้ ผมไม่สามารถไปถึงภูเก็ตได้ ผมต้องแพ้แค่ตรงนี้ สำรวจตัวเองอีกรอร่างกายซีกซ้ายมันปวดมาก มือซ้ายมันปวดมากร้าวไปหมด มีแผลใหญ่ๆที่เอว และขาซ้ายโดยเฉพาะตรงเข่าปวดมาก ผมยอมรับผมลุกไม่ไหวต้องนอนตั้งสติตัวเอง ผมไม่อยากยอมรับตัวเองว่าผมจะต้องมาแพ้ตรงนี้เหรอเนี่ย และพยายามนึกถึงเหตุผลที่ทำไมผมออกเดินทางครั้งนี้ ตอนที่เธอยังอยู่เธอเคยบอกผมคือคนพิเศษ และผมก็เคยถามเธอกลับนะว่าผมดีตรงไหนเหรอ
“ดื้อมั้ง ใช่ดื้อมากๆ จะเอาอะไรก็เอาให้ได้ ไม่เคยยอมฟังชาวบ้านเค้าพูดบ้างเลย”
“แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆเนี่ยแหละถึงได้รักไง”
โอเคถ้าคุณบอกว่าผมดื้อ ผมหัวรั้น ผมก็จะใช้มันเป็นข้อดีของผมไปเลยละกัน ผมจะดื้อจนวินาทีสุดท้ายเลยล่ะ ผมกัดฟันยืนอีกครั้ง บ่นกับตัวเองเชี่ยเจ็บโว๊ยไอ้สาด ค่อยๆปีนกลับมาบนถนนอีกรอบสำรวจตัวเองและเริ่มเดินหาข้าวของที่หล่นกระจายไปตรงโน้นตรงนี้ โชคดียังอยู่เกือบครบมีบางอย่างกระเด็นหายไปหลายอย่างแต่ชิ้นสำคัญๆยังอยู่ครบ ผมมัดของไว้กับลักเล่ใหม่อีกรอบ แล้วยืนโบกรถที่วิ่งผ่านไปมาผมเลือกโบกแต่รถกระบะ หลังจากโบกมาเกือบ 10 คันในที่สุดก็มีรถยอมจอดให้ผมจนได้
“พี่ๆรถผมพังผมขอติดรถเข้าไปตัวเมืองระนองหาร้านซ่อมหน่อยนะครับพี่”
“เฮ้ยขึ้นมาเลย เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
โอ้ว เย้ รอดแล้ว เจอคนใจดีแล้ว ผมยกลักเล่ขึ้นท้ายกระบะแล้วปีนไปนั่งคู่กับลักเล่ทันที แล้วรถพี่เค้าก็มุ่งหน้าไปเส้นทางสู่อำเภอเมืองระนองต่อ สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร เห็นด้วยมั้ยครับ
การเดินทางปั่นจักรยานกรุงเทพ - ภูเก็ตของนายกระจอก 5 : อุบัติเหตุเกือบตายที่ระนอง เอสทีกาแฟชุมพร
22 ธันวาคม – โค้งอันตรายเส้นทางชุมพร – ละอุ่น ระนอง
“ยยยย” ผมตะโกนกับตัวเองสุดเสียงกับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าผม
รถกระบะคันนึงกำลังวิ่งสวนเลนมาด้วยความเร็วสูงเพื่อแซงรถมอเตอร์ไซด์คันนึงที่กำลังขี่ขึ้นจากเขา และผมคือจักรยานคันนึงที่ไหลลงจากเขามาด้วยความเร็วพอสมควร จากภาพที่เห็นเราประสานงากันแน่ๆ ตอนนั้นผมคิดในใจกูตายแน่ๆ
ผมเคยดูหนังและฟังจากหลายคนบอกว่าวินาทีก่อนตายเราจะเห็นทุกอย่างเหมือนภาพสไลว์โมชั่น และภาพต่างๆในความทรงจำจะไหลย้อนมาปรากฏในความคิดเหมือนเราเร่งเทปความเร็วสูง ผมเชื่อแล้วว่ามันเป็นความจริง
ในหัวของผมตอนนี้จากภาพตรงหน้าที่เป็นรถกระบะที่กำลังพุ่งมาชนผม อยู่ดีๆเหมือนมีภาพความทรงจำในอดีตวิ่งเข้ามาในหัวผม ภาพตอนที่ผมเจอเธอครั้งแรก ภาพที่ผมได้แต่แอบมองเธอเงียบๆไม่กล้าไปคุยกับเธอเพราะเรามันกระจอกเหลือเกิน ภาพตอนเราคุยกันครั้งแรก ภาพตอนเราไปเดินเที่ยวกันครั้งแรก ภาพตอนเธอยิ้ม ภาพตอนเธอหัวเราะ และสารพัดภาพที่เกี่ยวกับเธอวิ่งเข้ามาในหัวเหมือนเร่งความเร็ว 1000 เท่าในหัวผม
“สัญญานะเราจะเดินทางไปดูโลกกว้างด้วยกัน สัญญาแล้วห้ามเบี้ยวนะ” ภาพสุดท้ายที่แว่บเข้ามาคือภาพเธอพูดย้ำคำสัญญาที่ผมเคยมีให้เธอตอนที่เธอยังอยู่
แล้วมันก็ตัดภาพมาเป็นรถกระบะที่วิ่งมาใกล้ผมมากกว่าเดิม ผมรู้ดีว่าถ้าผมประสานงากับกระบะที่วิ่งสวนเลนมาตรงหน้าผมตอนนี้เนี่ยผมตายแน่ๆ ผมคิดในใจนี่เรากำลังจะตายแล้วแล้วเหรอเนี่ย เฮ้ยไม่ได้สิ จะตายตรงนี้ไม่ได้ ยังไปได้ไม่ถึงไหนเลย จบเห่ตรงนี้จะไปสู้หน้าเธอได้ยังไงวะ
ผมตัดสินใจหักหลบซ้ายพุ่งเข้าหารั้วกั้นขอบทางทันที ผมก็ไม่รู้หรอกว่าถ้าผมพุ่งชนรั้วกั้นขอบทางผมจะรอดรึเปล่า แต่ก็ยังดีกว่าพุ่งชนประสานงากับรถกระบะที่วิ่งสวนมาแล้วผมตายชัวร์ๆแบบนี้แน่ๆ
“ตูม” เจ้าลักเล่จูเนียร์ของผมประสานงาเข้ากับรั้วเหล็กที่กั้นขอบทางแบบรุณแรงมาก แรงขนาดหยุดไม่อยู่และทำให้ผมและลักเล่ตีลังกาข้ามรั้วเหล็กกั้นขอบทางตกไปข้างล่างที่เป็นทางลาดชันเหมือนหน้าผา ผมจำไม่ได้ผมกลิ้งตลบไปกี่รอบ จำได้แต่พอได้สติคือผมละลักเล่กำลังไหลร่วงไปตามทางลาดหน้าผา
พอได้สติผมรีบเอาขาผมหนีบลักเล่ไว้แล้วรีบเอามือคว้าอะไรก็ได้ที่คว้าได้ ในที่สุดใหล่ผมก็ไปกระแทกกับต้นไม้เล็กๆต้นนึงและผมก็รีบกอดลำต้นมันเอาไว้จนผมและลักเล่ก็หยุดตกลงไปข้างล่างจนได้ พอมั่นใจแล้วว่าผมหยุดแน่ๆแล้วถึงได้มีเวลาหายใจหายคอกับเค้าบ้างซะที สิ่งที่แรกที่ผมพยายามทำคือเช็กร่างกายตัวเองว่ายังครับ 32 อยู่นะเว๊ยเฮ้ย พอผมลองพยายามลุกขึ้นมาแล้วผมก็พบว่าผมรู้สึกปวดแปล๊บอย่างแรงที่ร่างกายซีกซ้ายของผม เชี่ยเจ็บโว๊ย และต่อมาผมก็ตรวจสภาพลักเล่ว่ามันก็ยังครบ 32 ดีอยู่นะ และผมก็เจอเรื่องที่ บัดซบกว่าผมบาดเจ็บคือลักเล่แฮนด์หักขนาดปั่นต่อไปไม่ไหว !!!
ผมยอมรับตอนนั้นผมโคตรท้อเลย หรือว่าการเดินทางของผมครั้งนี้มันต้องจบลงตรงนี้ ผมไม่สามารถไปถึงภูเก็ตได้ ผมต้องแพ้แค่ตรงนี้ สำรวจตัวเองอีกรอร่างกายซีกซ้ายมันปวดมาก มือซ้ายมันปวดมากร้าวไปหมด มีแผลใหญ่ๆที่เอว และขาซ้ายโดยเฉพาะตรงเข่าปวดมาก ผมยอมรับผมลุกไม่ไหวต้องนอนตั้งสติตัวเอง ผมไม่อยากยอมรับตัวเองว่าผมจะต้องมาแพ้ตรงนี้เหรอเนี่ย และพยายามนึกถึงเหตุผลที่ทำไมผมออกเดินทางครั้งนี้ ตอนที่เธอยังอยู่เธอเคยบอกผมคือคนพิเศษ และผมก็เคยถามเธอกลับนะว่าผมดีตรงไหนเหรอ
“ดื้อมั้ง ใช่ดื้อมากๆ จะเอาอะไรก็เอาให้ได้ ไม่เคยยอมฟังชาวบ้านเค้าพูดบ้างเลย”
“แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆเนี่ยแหละถึงได้รักไง”
โอเคถ้าคุณบอกว่าผมดื้อ ผมหัวรั้น ผมก็จะใช้มันเป็นข้อดีของผมไปเลยละกัน ผมจะดื้อจนวินาทีสุดท้ายเลยล่ะ ผมกัดฟันยืนอีกครั้ง บ่นกับตัวเองเชี่ยเจ็บโว๊ยไอ้สาด ค่อยๆปีนกลับมาบนถนนอีกรอบสำรวจตัวเองและเริ่มเดินหาข้าวของที่หล่นกระจายไปตรงโน้นตรงนี้ โชคดียังอยู่เกือบครบมีบางอย่างกระเด็นหายไปหลายอย่างแต่ชิ้นสำคัญๆยังอยู่ครบ ผมมัดของไว้กับลักเล่ใหม่อีกรอบ แล้วยืนโบกรถที่วิ่งผ่านไปมาผมเลือกโบกแต่รถกระบะ หลังจากโบกมาเกือบ 10 คันในที่สุดก็มีรถยอมจอดให้ผมจนได้
“พี่ๆรถผมพังผมขอติดรถเข้าไปตัวเมืองระนองหาร้านซ่อมหน่อยนะครับพี่”
“เฮ้ยขึ้นมาเลย เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
โอ้ว เย้ รอดแล้ว เจอคนใจดีแล้ว ผมยกลักเล่ขึ้นท้ายกระบะแล้วปีนไปนั่งคู่กับลักเล่ทันที แล้วรถพี่เค้าก็มุ่งหน้าไปเส้นทางสู่อำเภอเมืองระนองต่อ สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร เห็นด้วยมั้ยครับ