คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 29
ส่วนเรื่องราวตามความเห็น 25 นั้น ผมอ่านแล้วก็อดไม่ได้ครับ เพราะข้อมูลบิดเบือนอย่างมากๆ
พอดีผมเรียนมาทางการเงินระหว่างประเทศ พอมีความรู้อยู่บ้าง ขออธิบายสั้นๆดังนี้นะครับ
1. ประเทศไทยเรา มีเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเติบโตมาต่อเนื่อง ทำให้ต้องมีการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อชะลอการเติบโตลงบ้าง ทำให้มีดอกเบี้ยสูง (คนในยุคนั้น คงจำกันได้ครับ ดอกเบี้ยประจำก่อนวิกฤติ อยู่ที่ประมาณ 12% ซึ่งเทียบกับต่างประเทศคือสูงมากครับ)
2. เดิมก่อนรัฐบาลชวนนั้น ประเทศเรามีการควบคุมการนำเงินเข้าออกค่อนข้างเข้มงวด แต่พอมารัฐบาลชวน ก็ทำการเปิด BIBF ผ่อนคลายเงื่อนไขการกู้เงินต่างประเทศครับ ทำให้บริษัทต่างๆ กู้เงินต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
ผลที่ตามมาคืออย่างไรครับ เงินที่กู้จากต่างประเทศนั้น ดอกเบี้ยถูกครับ อยู่ที่ 1-3% เท่านั้น ทำให้บริษัทเหล่านี้กู้เงินจากต่างประเทศมาจำนวนมาก เอาแค่มาฝากธนาคารในเมืองไทย กินดอกเบี้ยตรงส่วนต่าง ก็รวยไม่รู้เรื่องแล้วครับ
ในความเป็นจริง ตามหลักการบริหารเงิน ถ้าเปิด BIBF ให้สามารถกู้เงินได้สะดวกขึ้น จะต้องเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน จากแบบ fix หรือแบบตระกร้าเงิน(คือรัฐเป็นคนกำหนดว่า 1US แลกได้กี่บาท) เป็นแบบ Float คือให้ค่าเงินวิ่งขึ้นวิ่งลงได้ตามเงินที่เข้าออก ตาม demand & supply ของเงินตราจริงๆ
ซึ่งถ้าหากระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบ float ทำให้คนที่กู้เงินมา มีความเสี่ยง เพราะกู้มาตอน US$1= 25 บาท แต่ตอนจะใช้คืน ค่าเงินเปลี่ยนเป็น US$1=40 บาท ก็อาจจะไม่คุ้มกับส่วนต่างดอกเบี้ยที่ได้ (ส่วนต่างเงินฝาก 12% กับต้นทุนเงินกู้ 3%)
แต่ทีนี้ ท่านธารินทร์ ยังไม่ได้ปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนครับ (ผมคิดว่าท่านก็รู้เหมือนที่ผมรู้เนี่ยแหละ เพราะเรียนมาไม่ต่างกันหรอก แล้วท่านก็คงวางแผนจะทำแล้ว แต่ยังไม่กล้าตัดสินใจทำ เพราะการเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องใหญ่มาก) พอดีก็เกิดกรณี สปก 4-01 พรรคพลังธรรมถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลก่อน รัฐบาลชวนก็ล้มไป โดยยังไม่ได้เปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยน แต่กลับเปิด BIBF ไว้แล้ว ทำให้คนต่างชาติ แค่กู้เงินต่างประเทศ เอามาฝากในไทยกินดอกเบี้ยส่วนต่าง พอถึงกำหนด ก็ถอนเงินออกไป นึกดูว่าแค่เงินดอกเบี้ยส่วนต่างที่ประเทศเราต้องจ่ายให้เขา มันก็มหาศาลขนาดไหน
พอต่อมา รัฐบาลบรรหารมาครับ ไม่ต้องบอกว่าจอร์ส โซรอส อ่านงบการเงินประเทศไทย (ให้ดูรูปในความเห็น 28 ของผม) ก็ดูเห็นแล้วว่า ไทยมีหนี้มากกว่าทุน ถ้ายังคงกำหนดค่าเงินไว้ตามเดิม พังแน่ๆ เพราะค่าเงินที่แท้จริง อ่อนกว่านี้ เขาก็เริ่มโจมตีค่าเงินบาทครับ
สุดท้าย ฝีที่ปลูกมาตั้งนาน บ่มไว้ด้วย BIBF ก็มาแตกตอนสมัย ชวลิต ในปี 2539 อย่างที่เราเห็น และรมต ทนง ก็ไม่มีทางเลือก ก็ต้องเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นอย่างที่ผมอธิบายไว้ข้างบนให้เป็น float (ลอยตัว) หรือ managed float(ลอยตัวแบบมีการจัดการ) ในที่สุด อันเป็นเหตุให้ค่าเงินบาทอ่อนลงไป หนี้ของบริษัทต่างๆ เพิ่มอย่างมหาศาลจนเจ๊งกันระนาวอย่างที่ทราบๆกันอยู่ครับ
นี่ผมอธิบายภาพรวมให้เห็นทั้งหมดนะครับ แต่ถ้าใครยังงมงาย เลือกเชื่อเฉพาะข้อมูลที่เป็นคุณกับนักการเมืองที่ตนเองชอบ ก็คงต้องปล่อยให้งมงายกันต่อไปครับ
พอดีผมเรียนมาทางการเงินระหว่างประเทศ พอมีความรู้อยู่บ้าง ขออธิบายสั้นๆดังนี้นะครับ
1. ประเทศไทยเรา มีเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเติบโตมาต่อเนื่อง ทำให้ต้องมีการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อชะลอการเติบโตลงบ้าง ทำให้มีดอกเบี้ยสูง (คนในยุคนั้น คงจำกันได้ครับ ดอกเบี้ยประจำก่อนวิกฤติ อยู่ที่ประมาณ 12% ซึ่งเทียบกับต่างประเทศคือสูงมากครับ)
2. เดิมก่อนรัฐบาลชวนนั้น ประเทศเรามีการควบคุมการนำเงินเข้าออกค่อนข้างเข้มงวด แต่พอมารัฐบาลชวน ก็ทำการเปิด BIBF ผ่อนคลายเงื่อนไขการกู้เงินต่างประเทศครับ ทำให้บริษัทต่างๆ กู้เงินต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
ผลที่ตามมาคืออย่างไรครับ เงินที่กู้จากต่างประเทศนั้น ดอกเบี้ยถูกครับ อยู่ที่ 1-3% เท่านั้น ทำให้บริษัทเหล่านี้กู้เงินจากต่างประเทศมาจำนวนมาก เอาแค่มาฝากธนาคารในเมืองไทย กินดอกเบี้ยตรงส่วนต่าง ก็รวยไม่รู้เรื่องแล้วครับ
ในความเป็นจริง ตามหลักการบริหารเงิน ถ้าเปิด BIBF ให้สามารถกู้เงินได้สะดวกขึ้น จะต้องเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน จากแบบ fix หรือแบบตระกร้าเงิน(คือรัฐเป็นคนกำหนดว่า 1US แลกได้กี่บาท) เป็นแบบ Float คือให้ค่าเงินวิ่งขึ้นวิ่งลงได้ตามเงินที่เข้าออก ตาม demand & supply ของเงินตราจริงๆ
ซึ่งถ้าหากระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบ float ทำให้คนที่กู้เงินมา มีความเสี่ยง เพราะกู้มาตอน US$1= 25 บาท แต่ตอนจะใช้คืน ค่าเงินเปลี่ยนเป็น US$1=40 บาท ก็อาจจะไม่คุ้มกับส่วนต่างดอกเบี้ยที่ได้ (ส่วนต่างเงินฝาก 12% กับต้นทุนเงินกู้ 3%)
แต่ทีนี้ ท่านธารินทร์ ยังไม่ได้ปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนครับ (ผมคิดว่าท่านก็รู้เหมือนที่ผมรู้เนี่ยแหละ เพราะเรียนมาไม่ต่างกันหรอก แล้วท่านก็คงวางแผนจะทำแล้ว แต่ยังไม่กล้าตัดสินใจทำ เพราะการเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องใหญ่มาก) พอดีก็เกิดกรณี สปก 4-01 พรรคพลังธรรมถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลก่อน รัฐบาลชวนก็ล้มไป โดยยังไม่ได้เปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยน แต่กลับเปิด BIBF ไว้แล้ว ทำให้คนต่างชาติ แค่กู้เงินต่างประเทศ เอามาฝากในไทยกินดอกเบี้ยส่วนต่าง พอถึงกำหนด ก็ถอนเงินออกไป นึกดูว่าแค่เงินดอกเบี้ยส่วนต่างที่ประเทศเราต้องจ่ายให้เขา มันก็มหาศาลขนาดไหน
พอต่อมา รัฐบาลบรรหารมาครับ ไม่ต้องบอกว่าจอร์ส โซรอส อ่านงบการเงินประเทศไทย (ให้ดูรูปในความเห็น 28 ของผม) ก็ดูเห็นแล้วว่า ไทยมีหนี้มากกว่าทุน ถ้ายังคงกำหนดค่าเงินไว้ตามเดิม พังแน่ๆ เพราะค่าเงินที่แท้จริง อ่อนกว่านี้ เขาก็เริ่มโจมตีค่าเงินบาทครับ
สุดท้าย ฝีที่ปลูกมาตั้งนาน บ่มไว้ด้วย BIBF ก็มาแตกตอนสมัย ชวลิต ในปี 2539 อย่างที่เราเห็น และรมต ทนง ก็ไม่มีทางเลือก ก็ต้องเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นอย่างที่ผมอธิบายไว้ข้างบนให้เป็น float (ลอยตัว) หรือ managed float(ลอยตัวแบบมีการจัดการ) ในที่สุด อันเป็นเหตุให้ค่าเงินบาทอ่อนลงไป หนี้ของบริษัทต่างๆ เพิ่มอย่างมหาศาลจนเจ๊งกันระนาวอย่างที่ทราบๆกันอยู่ครับ
นี่ผมอธิบายภาพรวมให้เห็นทั้งหมดนะครับ แต่ถ้าใครยังงมงาย เลือกเชื่อเฉพาะข้อมูลที่เป็นคุณกับนักการเมืองที่ตนเองชอบ ก็คงต้องปล่อยให้งมงายกันต่อไปครับ
แสดงความคิดเห็น
สงสัยมากเลยว่า สมัยที่ท่านทักษิณ เป็นนายกฯ แล้วถูกกล่าวหาว่าใช้เงิน (หรือทอง) จนหมดคลัง ความจริงเป็นอย่างไร?
ทั้งๆ ที่ปัจจุบัน ก็มีเอกสารอ้างอิงหลายอย่างออกมาว่า เงินไม่หมด แถมยังมากขึ้นด้วยซ้ำไป
อะไรกันแน่ที่คือความจริง
พอดีช่วงนั้นอยู่หลังเขา ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำมาหากิน ยังไม่ได้สนใจการเมืองอย่างจริงจัง
ในความรู้สึกส่วนตัว ค่อนข้างที่จะเข้าข้างท่านทักษิณ เพราะอยากให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้า ทัดเทียมหน้าเทียมตา ไม่ล้าหลังชาติอื่น บ้านใกล้เรือนเคียง
ขอความกรุณา ไม่หยาบคาย ไม่แดกดัน ไม่ประชดประชัด ไม่เกรียน อยากรู้จริงๆ
ขอขอบคุณล่วงหน้า