คอลัมน์หุ้นคุณค่า : HTECH โตได้อีก

กระทู้ข่าว
ถ้าพูดถึงหุ้นในตลาด mai ที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา น่าจะมีชื่อ บริษัท แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HTECH ติดอยู่ในโผดังกล่าวด้วยอย่างแน่นอน และเมื่อย้อนดูผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 52-54 จะพบว่า ตัวเลขรายได้และผลกำไรเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ก็ทำให้เชื่อว่า ผลการดำเนินงานในปี 56 จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากธุรกิจผลิตเครื่องมือตัดเฉือนโลหะที่มีความแข็ง และต้องการความเที่ยงตรงสูง โดยวัสดุดังกล่าวทำมาจากเพชรสังเคราะห์ มีความเกี่ยวข้องกับหลายธุรกิจ อาทิ อลูมิเนียม ทองแดง ทองเหลือง ไม้ พลาสติก และความเกี่ยวข้องดังกล่าวก็ทำให้บริษัทตัดสินใจมาบุกในอุตสาหกรรมรถยนต์มากขึ้น หลังธุรกิจดังกล่าวมีความต้องการเครื่องมือตัดโลหะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้บริหาร HTECH มองว่า ในปี 2556 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-20% จากปีก่อน และกำไรน่าจะมีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยบริษัทจะพยายามรักษาอัตราการทำกำไรสุทธิ (เน็ตมาร์จิ้น) ไว้ในระดับ 20% และอัตรากำไรในระดับดังกล่าวจะมาจากการเน้นตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์มากขึ้น รวมถึงการเข้าไปทำตลาดในส่วนของกล้องถ่ายรูป และการเจาะตลาดใหม่ในอุตสาหกรรมสายการบิน ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2555 ก็ยังทำผลงานได้ค่อนข้างดี เพราะรายได้จากการขายและให้บริการขยับขึ้นมาอยู่ที่ 149.22 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 108.26 ล้านบาท ส่วนกำไรที่ลดลงเหลือ 19.15 ล้านบาท หรือ 0.0759 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 20.85 ล้านบาท หรือ 0.0869 บาทต่อหุ้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าหนักใจ เพราะเป็นผลพวงที่เกิดจากน้ำท่วมในช่วงปลายปี 2554 เมื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2555 บริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการขยับขึ้นมาอยู่ที่ 418.17 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 307.41 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นในส่วนของบริษัทย่อยในฟิลิปปินส์ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 91.63 ล้านบาท หรือ 0.3753 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 68.56 ล้านบาท หรือ 0.2856 บาทต่อหุ้น เท่ากับเป็นการยืนยันว่า ประสิทธิภาพในการทำกำไรของบริษัทยังดีเยี่ยม เมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินของบริษัทเพื่อนำมาเป็นหนึ่งในตัวแปรที่สำคัญในการตัดสินใจต่อการลงทุน ก็พบว่า ฐานะทางการเงินยังคงแข็งแกร่ง เพราะบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียน 316.19 ล้านบาท ขณะที่มีหนี้สินหมุนเวียน 161.15 ล้านบาท และเมื่อนำมาเปรียบเทียบค่า CURRENT RATIO ได้ที่ระดับ 1.96 เท่า แสดงว่า บริษัทยังมีความคล่องตัวพอสมควร อีกส่วนที่ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อตัวบริษัทมากขึ้นก็คือ เมื่อนำเอาหนี้สินรวมที่มีอยู่ 208.88 ล้านบาท มาเทียบกับ ส่วนของผู้ถือหุ้นที่ระดับ 601.44 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.35 เท่า คือเครื่องยืนยันว่า ปัญหาหนี้สินไม่ได้มารบกวนการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด เมื่อมาวิเคราะห์ค่า P/E ที่ระดับ 9.93 เท่า ถือว่า ราคาหุ้นยังไม่แพงเกินไป และเมื่อวิเคราะห์ค่า P/BV ที่ระดับ 1.67 เท่า และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ให้ในระดับ 3.52% ถือว่า ราคายังมีโอกาสปรับตัวขึ้นอีก โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาหุ้นอ่อนตัวลงมาหนักๆ ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่งเหมือนเดิม คือโอกาสทองสำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้นดีราคาถูก!!ที่มา: http://itrading.bualuang.co.th/ข่าวประจำวันนี้-RSS-รายละเอียด1099164

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่