สงสัยมาตลอด ตั้งแต่เข้าใจว่า เลือกตั้งคืออะไร?
จน กกต. ท่านหนึ่ง ให้สัมภาษณ์ว่า ผลโพล ที่ออกก่อนวันเลือกตั้ง อาจเป็นการชี้นำ ซึ่งทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้ง
มองมาที่ สื่อมวลชน นสพ. รายวัน ได้มีการติดตาม เกาะติด กิจกรรมของผู้สมัคร มีการถ่ายภาพเปรียบเทียบกันบนหน้า 1 ของ นสพ.
เช่น ภาพผู้สมัครรายที่ 1 มีคนป้อนอาหารให้ เปรียบเทียบ ภาพผู้สมัครรายที่ 2 ทานเอง หรือ
ภาพผู้สมัครรายที่ 1 เดินหาเสียงเหนื่อย นั่งพัก เปรียบเทียบ ภาพผู้สมัครรายที่ 2 ยื่น มีแม่ยกเช็ดเหงื่อให้
แล้วภาพผู้สมัครที่เหลือล่ะ ไปอยู่ตรงไหน? ของหน้าสื่อ
ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง รู้หรือไม่ว่า ผู้สมัครผู้ว่าฯ ทั้งหมดมีกี่คน? ทั้งๆ ที่เสียค่าธรรมเนียมในการสมัครเท่าเทียมกัน
การเกาะติดข่าว และตีแผ่ การหาเสียงเลือกตั้ง ของผู้สมัครแต่ละคน
นักข่าว ภาคสนาม ของแต่ละช่องแต่ละสถานี แต่ละแขนงสื่อ ปฏิบัติกับผู้สมัครทุกคนเท่าเทียมกันหรือไม่?
หรืออย่างเช่น ให้ข่าวว่า ใครคือ "ตัวเต็ง" หรือ "ไม้ประดับ" หรือ นำผลโพลมาตีแผ่
จากสำนักนั้นสำนักนี้ ว่า เสียงใครที่ 1 ที่ 2 ใครบ๊วย ถือว่า เท่าเทียมกันไหม?
...เท่าที่เกิดผม และจำความได้ ผมเองไม่เคยรู้สึกว่าเท่าเทียมกันเลย..
อย่างนี้ ถ้ามองตามหลัก กม. มองการตีความตามเจตนารมณ์ของการเลือกตั้ง
ผมเองก็มองว่า อาจเข้าข่าย "เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้งต่อตัวผู้สมัคร" ด้วยเหมือนกัน หรือไม่?
ปัจจุบัน ระบบ social network ที่ปัจจุบัน 60% ของ ประชากรทั่วไทย หรือ 90% ของคน กทม. ได้เข้าถึงอย่างง่ายดาย
การ post ข้อความ การใส่ข้อความใดๆ การสร้างอาณาจักรเครือข่าย การ follow เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้รับสารได้เลือกกากบาทไปตามทิศทางของผลทางการเลือกตั้งในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องยาก
กกต. ในฐานะ หน่วยงานกำกับ จะมีมาตรการรองรับและป้องกันเพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อทุกภาคส่วน (ผู้สมัคร, กองเชียร์, จนท., ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง, ผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง, สื่อสารมวลชน ฯลฯ) ในประเด็นนี้อย่างไร?
ผลโพล กกต. มองว่า "อาจเป็นการชี้นำ" แล้ว นสพ.ที่ตีข่าว ผู้สมัคร ถือว่าชี้นำได้ไหม?
จน กกต. ท่านหนึ่ง ให้สัมภาษณ์ว่า ผลโพล ที่ออกก่อนวันเลือกตั้ง อาจเป็นการชี้นำ ซึ่งทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้ง
มองมาที่ สื่อมวลชน นสพ. รายวัน ได้มีการติดตาม เกาะติด กิจกรรมของผู้สมัคร มีการถ่ายภาพเปรียบเทียบกันบนหน้า 1 ของ นสพ.
เช่น ภาพผู้สมัครรายที่ 1 มีคนป้อนอาหารให้ เปรียบเทียบ ภาพผู้สมัครรายที่ 2 ทานเอง หรือ
ภาพผู้สมัครรายที่ 1 เดินหาเสียงเหนื่อย นั่งพัก เปรียบเทียบ ภาพผู้สมัครรายที่ 2 ยื่น มีแม่ยกเช็ดเหงื่อให้
แล้วภาพผู้สมัครที่เหลือล่ะ ไปอยู่ตรงไหน? ของหน้าสื่อ
ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง รู้หรือไม่ว่า ผู้สมัครผู้ว่าฯ ทั้งหมดมีกี่คน? ทั้งๆ ที่เสียค่าธรรมเนียมในการสมัครเท่าเทียมกัน
การเกาะติดข่าว และตีแผ่ การหาเสียงเลือกตั้ง ของผู้สมัครแต่ละคน
นักข่าว ภาคสนาม ของแต่ละช่องแต่ละสถานี แต่ละแขนงสื่อ ปฏิบัติกับผู้สมัครทุกคนเท่าเทียมกันหรือไม่?
หรืออย่างเช่น ให้ข่าวว่า ใครคือ "ตัวเต็ง" หรือ "ไม้ประดับ" หรือ นำผลโพลมาตีแผ่
จากสำนักนั้นสำนักนี้ ว่า เสียงใครที่ 1 ที่ 2 ใครบ๊วย ถือว่า เท่าเทียมกันไหม?
...เท่าที่เกิดผม และจำความได้ ผมเองไม่เคยรู้สึกว่าเท่าเทียมกันเลย..
อย่างนี้ ถ้ามองตามหลัก กม. มองการตีความตามเจตนารมณ์ของการเลือกตั้ง
ผมเองก็มองว่า อาจเข้าข่าย "เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้งต่อตัวผู้สมัคร" ด้วยเหมือนกัน หรือไม่?
ปัจจุบัน ระบบ social network ที่ปัจจุบัน 60% ของ ประชากรทั่วไทย หรือ 90% ของคน กทม. ได้เข้าถึงอย่างง่ายดาย
การ post ข้อความ การใส่ข้อความใดๆ การสร้างอาณาจักรเครือข่าย การ follow เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้รับสารได้เลือกกากบาทไปตามทิศทางของผลทางการเลือกตั้งในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องยาก
กกต. ในฐานะ หน่วยงานกำกับ จะมีมาตรการรองรับและป้องกันเพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อทุกภาคส่วน (ผู้สมัคร, กองเชียร์, จนท., ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง, ผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง, สื่อสารมวลชน ฯลฯ) ในประเด็นนี้อย่างไร?