การทำโพลล์และการนำเสนอโพลล์มีบทบาทในสังคมการเมืองไทย
มากขึ้นเรื่อยๆทั้งโพลล์ที่สอบถามความเห็นประชาชนในประเด็นต่างๆ
และโพลล์สำรวจความนิยมในตัวนักการเมือง หรือโพลล์เลือกตั้ง ซึ่ง
ระยะหลัง จัดได้ว่าเป็น “ตัวช่วย” ที่มีอานุภาพมาก
1) ปัจจุบัน ไม่เฉพาะสถาบันการศึกษาและองค์กรต่างๆ เท่านั้นที่จัดทำโพลล์
แม้แต่บริษัทเอกชน รัฐบาล หน่วยงานของรัฐ ตลอดจนพรรคการเมือง ก็นิยม
“ว่าจ้างทำโพลล์” จะพบว่า บรรดาสำนักโพลล์ทั้งหลาย เมื่อเปิดดูเบื้องลึก
ปูมหลัง ก็จะพบรายชื่อลูกค้ายาวเป็นหางว่าว
ยกตัวอย่าง ในเว็บไซต์ของเอแบคโพลล์ ก็จะปรากฏรายนามลูกค้า
ซึ่งมีทั้งสำนักนายกรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐ และองค์กรต่างๆ มากมาย
ข้อมูลในลักษณะนี้ควรจะต้อง “เปิดให้หมด” เพื่อให้ประชาชนรู้ทันว่า
โพลล์อันไหนรับงานใครมาบ้าง หรือโพลล์สำนักไหนมีโอกาสที่จะเกรงใจใคร
หรืออาจจะเอนเอียงเข้าข้างใคร หรือไม่?
2) การทำโพลล์ที่ถูกต้อง จะต้องอยู่บนพื้นฐานระเบียบวิธีวิจัย การตั้งโจทย์
การสุ่มตัวอย่าง การประมวลผลซึ่งถ้ามีเจตนาไม่สุจริต ไม่มีจรรยาบรรณ
หรือรับจ้างทำโพลล์เพื่อสร้างกระแส สร้างภาพ โดยที่สังคมไม่รู้เท่าทัน
ก็จะสร้างผลกระทบได้ไม่น้อยดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย
เอแบคโพลล์เคยเขียนหนังสือ “กลโกงโพลล์เลือกตั้ง ใครได้ใครเสีย”
ตีพิมพ์เมื่อปี 2550 บอกว่า โพลล์ในสังคมไทยยังมีปัญหาค่อนข้างมาก
ถูกนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมืองบางพรรค หรือนักการเมือง
บางกลุ่ม เช่น
- ทำให้คณะทำงานของพรรคการเมืองที่โพลล์ระบุว่ามีคะแนนนิยม
มาเป็นอันดับหนึ่งและทิ้งห่างพรรคการเมืองอื่นเกิดกำลังใจในการ
ทำงานให้ถึงเป้าหมาย ในขณะที่พรรคการเมืองที่อยู่อันดับท้ายๆ
ของโพลล์ ก็จะหมดกำลังใจในการต่อสู้ทางการเมือง
- ทำให้การระดมทุนและสรรพกำลังของพรรคการเมืองอันดับหนึ่งเป็นไป
ได้ง่ายขึ้น เพราะกลุ่มทุนจะยอมสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีคะแนนนิยมสูง
- ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบางกลุ่มยอมอำนวยความสะดวกให้กับ
พรรคการเมืองที่ได้รับการคาดหมายว่า จะได้เป็นรัฐบาลชุดต่อไป ฯลฯ
ดร.นพดลยังเคยยอมรับไว้ด้วยว่า
“โพลล์ลักษณะนี้จะส่งผลชี้นำได้มากกับประชาชนกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ
เลือกพรรคใด หรือไม่ได้ติดตามข่าวสารมากนัก...”
3) ยิ่งกว่านั้น สำหรับโพลล์เลือกตั้งในประเทศไทย ดร.นพดล กรรณิกา
เคยเปิดเผยว่า ได้พบเห็นการทำโพลล์ที่ไม่สร้างสรรค์ 3 แบบ คือ
โพลล์ทาส หรือโพลล์รับใช้ นักทำโพลล์ไปรับอามิสสินจ้างจากฝ่ายการเมือง
ไปมีผลประโยชน์แอบแฝง ความสนิทสนมจนกระทั่งยอมเป็นคนรับใช้
มีตำแหน่งทางการเมือง ส่งผลให้เกิดปัญหาได้
โพลล์เทียม เป็นโพลล์ที่ไม่ได้ทำถูกต้องตามหลักวิชาการและโพลล์ปลุกระดม
ซึ่งถือว่าไม่ใช่โพลล์ แต่แสร้งทำทีเหมือนจะเป็นการทำโพลล์ เช่น ไปเคาะ
ประตูบ้าน ไปใส่ร้ายป้ายสีกับคู่แข่ง เล่าถึงความเลวร้ายของคู่แข่ง มักจะเป็น
เทคนิคของฝ่ายการเมืองที่ทำในช่วงโค้งสุดท้าย เทคนิคนี้ได้ผลค่อนข้างมาก
4) โพลล์เลือกตั้งมีผลกระทบต่อการตัดสินใจลงคะแนนของประชาชน
อย่างแน่นอน และอาจทำให้ผลคะแนนไม่สะท้อนความจริงของคะแนน
นิยมจริงๆ ก็เป็นได้ เช่น ประชาชนอาจนำผลโพลล์ไปประกอบการ
ตัดสินใจ ทำให้ผู้สมัครที่โพลล์ทำนายว่าพ่ายแพ้แน่นอน มักไม่ได้รับ
คะแนนเสียงในการเลือกตั้งลงคะแนนจริง เพราะประชาชนคิดว่าถึงเลือก
ไปก็แพ้อยู่ดี จึงตัดสินใจไม่เลือกและไปเลือกผู้สมัครคนอื่นแทนที่คะแนน
อาจจะสูสีกันหรืออาจจะตัดสินใจไม่ออกมาใช้สิทธิก็ได้ในหลายประเทศ
มีการห้ามเผยแพร่ผลของโพลล์เลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้ง เช่น มีตั้งแต่
7 วัน 5 วัน 30 วัน หรืออย่างประเทศโปรตุเกส ห้ามตลอดช่วงรณรงค์
การหาเสียงเลือกตั้ง
5) การพิจารณาโพลล์เลือกตั้งของสำนักต่างๆ สังคมจะต้องมีสติ
รู้เท่าทันโพลล์ (ไม่เว้นแม้แต่เอแบคโพลล์) ขณะเดียวกัน เพื่อความ
โปร่งใส ไม่เกิดครหา ไม่มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบในช่วงเลือกตั้ง
ผู้ว่าฯ กทม. สำนักโพลล์ต่างๆ ควรจะเปิดเผยแหล่งที่มาของเงิน
สนับสนุนการจัดทำโพลล์ของตนเอง ความสัมพันธ์ที่มีเกี่ยวกับ
นักการเมืองหรือพรรคการเมือง ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น มีงานที่
รับจ้างรัฐบาล หน่วยงานของรัฐ นักการเมืองหรือพรรคการเมืองหรือไม่?
สำนักไหนรับจ้างทำประชาเสวนาให้รัฐบาล? สำนักไหนรับจ้างทำงาน
อื่นใดให้รัฐบาลอยู่อีกบ้าง ก็ควรเปิดเผยตัวเองออกมาด้วย?
ประชาชนจะได้ตั้งสติ เสพรับข้อมูลของโพลล์อย่างระมัดระวัง และรู้เท่าทัน
สารส้ม
http://www.naewna.com/politic/columnist/5080
บทความนี้คงไม่เกิด หากเมื่อวาน เอแบคโพล ไม่ประกาศว่า
พงศพัศ คะแนนนำ คุณชาย ...ทุกหมวด...
เพราะโพลก่อนหน้านี้ พงศพ้ศ คะแนนเป็นรอง ทุกสำนัก.
นี่คือ ปชป. นี่คือ คนดี..
ส่องกระจกดูเงาโพลล์..กวนน้ำให้ใส ...สารส้ม ...แนวหน้าออนไลน์
มากขึ้นเรื่อยๆทั้งโพลล์ที่สอบถามความเห็นประชาชนในประเด็นต่างๆ
และโพลล์สำรวจความนิยมในตัวนักการเมือง หรือโพลล์เลือกตั้ง ซึ่ง
ระยะหลัง จัดได้ว่าเป็น “ตัวช่วย” ที่มีอานุภาพมาก
1) ปัจจุบัน ไม่เฉพาะสถาบันการศึกษาและองค์กรต่างๆ เท่านั้นที่จัดทำโพลล์
แม้แต่บริษัทเอกชน รัฐบาล หน่วยงานของรัฐ ตลอดจนพรรคการเมือง ก็นิยม
“ว่าจ้างทำโพลล์” จะพบว่า บรรดาสำนักโพลล์ทั้งหลาย เมื่อเปิดดูเบื้องลึก
ปูมหลัง ก็จะพบรายชื่อลูกค้ายาวเป็นหางว่าว
ยกตัวอย่าง ในเว็บไซต์ของเอแบคโพลล์ ก็จะปรากฏรายนามลูกค้า
ซึ่งมีทั้งสำนักนายกรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐ และองค์กรต่างๆ มากมาย
ข้อมูลในลักษณะนี้ควรจะต้อง “เปิดให้หมด” เพื่อให้ประชาชนรู้ทันว่า
โพลล์อันไหนรับงานใครมาบ้าง หรือโพลล์สำนักไหนมีโอกาสที่จะเกรงใจใคร
หรืออาจจะเอนเอียงเข้าข้างใคร หรือไม่?
2) การทำโพลล์ที่ถูกต้อง จะต้องอยู่บนพื้นฐานระเบียบวิธีวิจัย การตั้งโจทย์
การสุ่มตัวอย่าง การประมวลผลซึ่งถ้ามีเจตนาไม่สุจริต ไม่มีจรรยาบรรณ
หรือรับจ้างทำโพลล์เพื่อสร้างกระแส สร้างภาพ โดยที่สังคมไม่รู้เท่าทัน
ก็จะสร้างผลกระทบได้ไม่น้อยดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย
เอแบคโพลล์เคยเขียนหนังสือ “กลโกงโพลล์เลือกตั้ง ใครได้ใครเสีย”
ตีพิมพ์เมื่อปี 2550 บอกว่า โพลล์ในสังคมไทยยังมีปัญหาค่อนข้างมาก
ถูกนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมืองบางพรรค หรือนักการเมือง
บางกลุ่ม เช่น
- ทำให้คณะทำงานของพรรคการเมืองที่โพลล์ระบุว่ามีคะแนนนิยม
มาเป็นอันดับหนึ่งและทิ้งห่างพรรคการเมืองอื่นเกิดกำลังใจในการ
ทำงานให้ถึงเป้าหมาย ในขณะที่พรรคการเมืองที่อยู่อันดับท้ายๆ
ของโพลล์ ก็จะหมดกำลังใจในการต่อสู้ทางการเมือง
- ทำให้การระดมทุนและสรรพกำลังของพรรคการเมืองอันดับหนึ่งเป็นไป
ได้ง่ายขึ้น เพราะกลุ่มทุนจะยอมสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีคะแนนนิยมสูง
- ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบางกลุ่มยอมอำนวยความสะดวกให้กับ
พรรคการเมืองที่ได้รับการคาดหมายว่า จะได้เป็นรัฐบาลชุดต่อไป ฯลฯ
ดร.นพดลยังเคยยอมรับไว้ด้วยว่า
“โพลล์ลักษณะนี้จะส่งผลชี้นำได้มากกับประชาชนกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ
เลือกพรรคใด หรือไม่ได้ติดตามข่าวสารมากนัก...”
3) ยิ่งกว่านั้น สำหรับโพลล์เลือกตั้งในประเทศไทย ดร.นพดล กรรณิกา
เคยเปิดเผยว่า ได้พบเห็นการทำโพลล์ที่ไม่สร้างสรรค์ 3 แบบ คือ
โพลล์ทาส หรือโพลล์รับใช้ นักทำโพลล์ไปรับอามิสสินจ้างจากฝ่ายการเมือง
ไปมีผลประโยชน์แอบแฝง ความสนิทสนมจนกระทั่งยอมเป็นคนรับใช้
มีตำแหน่งทางการเมือง ส่งผลให้เกิดปัญหาได้
โพลล์เทียม เป็นโพลล์ที่ไม่ได้ทำถูกต้องตามหลักวิชาการและโพลล์ปลุกระดม
ซึ่งถือว่าไม่ใช่โพลล์ แต่แสร้งทำทีเหมือนจะเป็นการทำโพลล์ เช่น ไปเคาะ
ประตูบ้าน ไปใส่ร้ายป้ายสีกับคู่แข่ง เล่าถึงความเลวร้ายของคู่แข่ง มักจะเป็น
เทคนิคของฝ่ายการเมืองที่ทำในช่วงโค้งสุดท้าย เทคนิคนี้ได้ผลค่อนข้างมาก
4) โพลล์เลือกตั้งมีผลกระทบต่อการตัดสินใจลงคะแนนของประชาชน
อย่างแน่นอน และอาจทำให้ผลคะแนนไม่สะท้อนความจริงของคะแนน
นิยมจริงๆ ก็เป็นได้ เช่น ประชาชนอาจนำผลโพลล์ไปประกอบการ
ตัดสินใจ ทำให้ผู้สมัครที่โพลล์ทำนายว่าพ่ายแพ้แน่นอน มักไม่ได้รับ
คะแนนเสียงในการเลือกตั้งลงคะแนนจริง เพราะประชาชนคิดว่าถึงเลือก
ไปก็แพ้อยู่ดี จึงตัดสินใจไม่เลือกและไปเลือกผู้สมัครคนอื่นแทนที่คะแนน
อาจจะสูสีกันหรืออาจจะตัดสินใจไม่ออกมาใช้สิทธิก็ได้ในหลายประเทศ
มีการห้ามเผยแพร่ผลของโพลล์เลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้ง เช่น มีตั้งแต่
7 วัน 5 วัน 30 วัน หรืออย่างประเทศโปรตุเกส ห้ามตลอดช่วงรณรงค์
การหาเสียงเลือกตั้ง
5) การพิจารณาโพลล์เลือกตั้งของสำนักต่างๆ สังคมจะต้องมีสติ
รู้เท่าทันโพลล์ (ไม่เว้นแม้แต่เอแบคโพลล์) ขณะเดียวกัน เพื่อความ
โปร่งใส ไม่เกิดครหา ไม่มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบในช่วงเลือกตั้ง
ผู้ว่าฯ กทม. สำนักโพลล์ต่างๆ ควรจะเปิดเผยแหล่งที่มาของเงิน
สนับสนุนการจัดทำโพลล์ของตนเอง ความสัมพันธ์ที่มีเกี่ยวกับ
นักการเมืองหรือพรรคการเมือง ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น มีงานที่
รับจ้างรัฐบาล หน่วยงานของรัฐ นักการเมืองหรือพรรคการเมืองหรือไม่?
สำนักไหนรับจ้างทำประชาเสวนาให้รัฐบาล? สำนักไหนรับจ้างทำงาน
อื่นใดให้รัฐบาลอยู่อีกบ้าง ก็ควรเปิดเผยตัวเองออกมาด้วย?
ประชาชนจะได้ตั้งสติ เสพรับข้อมูลของโพลล์อย่างระมัดระวัง และรู้เท่าทัน
สารส้ม
http://www.naewna.com/politic/columnist/5080
บทความนี้คงไม่เกิด หากเมื่อวาน เอแบคโพล ไม่ประกาศว่า
พงศพัศ คะแนนนำ คุณชาย ...ทุกหมวด...
เพราะโพลก่อนหน้านี้ พงศพ้ศ คะแนนเป็นรอง ทุกสำนัก.
นี่คือ ปชป. นี่คือ คนดี..