นาทีนี้คงต้องบอกว่า ถึงเวลาที่ "สถาบันสำรวจความคิดเห็น" ต้องสังคายนาทางวิชาการครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการสำรวจความคิดเห็นในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับ "การเมือง"
จะเห็นว่า การทำโพลล์ "เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม." โค้งสุดท้ายก่อนจะมีการเลือกตั้งหลายสำนัก ผลสำรวจออกมา "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.จาก "พรรคเพื่อไทย" มีคะแนนนำเป็นอันดับหนึ่ง
แม้แต่การสำรวจหน้าคูหาเลือกตั้งหลังลงคะแนนเสียง "เอ็กซิทโพลล์" ก็ยังมีความผิดพลาดเกิดขึ้น
"ดร.ถวิลวดี บุรีกุล" ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงความคลาดเคลื่อนของผลโพลล์ที่เกิดขึ้นว่า เกิดจากวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างเป็นไปตามหลักวิชาการหรือไม่ และจะเห็นว่า จากการสำรวจยังมีกลุ่มตัวอย่างที่ยังไม่ตัดสินใจจะเลือกผู้สมัครคนไหนเกือบ 20% บางสำนักมีกลุ่มตัวอย่างที่ยังไม่ได้ตัดสินใจสูงเกือบ 40% จุดนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนได้เช่นกัน
"ดร.ถวิลวดี" ยกตัวอย่างสาเหตุที่ทำให้การสำรวจของ "เอ็กซิทโพล์" มีความคลาดเคลื่อนเกิดจาก 1.คนตอบไม่ตรงกับที่ตัวเองกากบาท 2.การเลือกสุ่มตัวอย่างไม่เป็นไปตามความน่าจะเป็น คือ ไม่ได้สุ่มจากคน 100% เลือกสุ่มเป็นบางคน ช่วงเวลาในการทำสำรวจอาจไม่ได้ทำตลอดเวลา อาจเลือกทำเฉพาะช่วงเวลา เช่น ช่วงเช้าถึงเที่ยง หรือเพียง 2-3 ชั่วโมง 3.การสำรวจทำทุกหน่วยเลือกตั้งหรือไม่ 4.พื้นที่สุ่มอาจมีเรื่องของอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ผู้ตอบคำถามตอบไม่ตรงกับที่กาหมายเลข เพื่อความปลอดภัยของผู้ตอบคำถาม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยทำให้การสำรวจผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนได้ ความผิดพลาดจากโพลล์ และเอ็กซิทโพลล์อีกประการ เกิดจากการสุ่มตัวอย่างที่เน้นสุ่มตามสะดวก ความเร็ว
"ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า" กล่าวอีกว่า นอกจากความคลาดเคลื่อนของ "โพลล์" แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้ผลคะแนนต่างไปจากที่ "โพลล์" สำรวจมาคือ คนที่ยังไม่ตัดสินว่าจะเลือกใครก่อนหน้านี้ได้รับอิทธิพลจากการรณรงค์จากองค์กร หรือผู้นำทางความคิด ทำให้ตัดสินใจไปเลือกตั้งและกากบาทหมายเลขที่ "ผู้นำ" ที่ตัวเองชื่นชอบ จะเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มี "ผู้นำ" หลายคนได้แสดงจุดยืนในการไปใช้สิทธิเลือกผู้สมัคร โดยประกาศว่าจะเลือกหมายเลขใด ทำให้ผู้ที่ยังไม่ไปใช้สิทธิตัดสินใจเลือกตาม
"คนกรุงเทพฯ ต่างจากคนต่างจังหวัดที่มีความใกล้ชิดกับข่าวสาร การเลือกตั้งชอบที่จะเลือกฝ่ายเป็นรอง เพื่อเลือกไปคานอำนาจ นอกจากนี้เชื่อว่า โซเชียลมีผลต่อการลงคะแนนเลือกตั้งครั้งนี้พอสมควร" ดร.ถวิลวดี กล่าว
ส่วนที่ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ออกมาสวนทางกลับโพลล์ "ดร.ถวิลวดี" กล่าวว่า คนกรุงเทพฯ ต้องการให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ และเชื่อว่า สาเหตุที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมาจากการตัดสินใจของคนกรุงเทพฯ ในระยะเวลาเพียง 1-2 วันก่อนการเลือกตั้ง เนื่องจากคนกรุงเทพฯ กลัวเศรษฐกิจไม่ดี กลัวรัฐบาลดูแลทั้งระดับประเทศและท้องถิ่น
ขณะที่ "ผศ.ดร.ณกมล ปุญชเขตต์ทิกุล" นักวิชาการอาวุโสโครงการศูนย์ยุทธศาสตร์อาเซียนศึกษาเพื่อการพัฒนา(ประเทศไทย) บอกถึงสาเหตุของความคลาดเคลื่อนของโพลล์ครั้งนี้ เกิดจาก 1.คนที่ตอบคำถามโพลล์ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มตัวแทนที่แท้จริง 2.ผู้ทำโพลล์มีธงอยู่ในใจแล้ว 3.ผู้ตอบคำถามโพลล์อยู่ในลักษณะเอียนโพลล์หรืออยากตบหน้าคนทำโพลล์ทำให้ผลสำรวจของ "เอ็กซิทโพลล์" ได้คำตอบที่ไม่ต้องกับคะแนนจริง
จากความคลาดเคลื่อนของโพลล์ที่เกิดขึ้น "ดร.ณกมล" เห็นว่าควรต้องมีการจัดระเบียบโพลล์ ปฏิรูปการทำโพลล์ โดยเฉพาะโพลล์ของสถาบันการศึกษา ที่นำแบรนด์ของสถาบันมาชี้นำทางสังคม เพื่อให้ผู้ทำโพลล์ได้ระมัดระวังมากขึ้น
"การทำโพลล์ต้องมีจรรยาบรรณ ถ้าทำแล้วผิดสม่ำเสมอต้องเสียค่าปรับ หรือต้องมีมาตรการทางสังคม และมาตรการทางกฎหมายมาลงโทษและควบคุม โดยอาจให้มีโทษปรับเงินหรือโทษจำคุก เพื่อให้คนทำโพลล์อธิบายอย่างโปร่งใสได้" ดร.ณกมล กล่าว
"ดร.ณกมล" กล่าวถึงรูปแบบหรือกระบวนการลงโทษโพลล์ผิดซ้ำซากว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดย รมว.ศึกษาธิการ ต้องมีมาตรการหรือต้องกำหนดการเผยแพร่โพลล์จะกระทำไม่ได้ หากยังเผยแพร่ถือว่าสถาบันที่ทำโพลล์มีความผิด คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องมีบทบัญญัติห้ามทำโพลล์เผยแพร่ในสื่อ เพราะ กกต.ยังสามารถห้ามเผยแพร่โพลล์ 7 วันสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งได้ ก็ต้องห้ามในข้อนี้ได้เช่นกัน รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนงที่นำโพลล์ไปอ่านแล้วผลผิดพลาด ควรจะมีบทลงโทษ โดยไม่นำโพลล์ของสถาบันนั้นมาออกสื่ออีก และทางสถาบันที่ทำโพลล์ และอาจารย์ที่รับผิดชอบทำโพลล์ต้องออกแถลงการณ์แสดงความรับผิดชอบว่า สาเหตุความผิดพลาดเกิดจากอะไร เพราะผลโพลล์ได้ชี้นำทางสังคมไปแล้ว ถือว่ามีความผิดทางกฎหมายไปแล้ว เนื่องจากมีคนเชื่อโพลล์ไปแล้ว
"ความคลาดเคลื่อนของโพลล์มี 5% แต่สิ่งที่เกิดขึ้นโพลล์ผิดพลาดเกิน 5% แต่ถ้าทำผิดมาตลอดไม่ใช่ผิดแค่ 5-10% แต่เป็น 100% คนที่ทำโพลล์ทั้งหลายต้องมีจรรยาบรรณ ถ้าผิดเสมอทางนายกสภามหาวิทยาลัย หรืออธิการบดีสถาบันที่ทำโพลล์ต้องออกแถลงการณ์และแสดงความรับผิดชอบที่เกิดขึ้น การทำโพลล์หากมองในแง่สีสันก็เป็นได้ แต่สีสันที่เป็นเหมือนลูกอมที่ต้องมองถึงผลของลูกอมที่ทำให้เกิดโรคอ้วนต้องกำจัดสิ่งเหล่านี้ด้วย"
......................
(หมายเหตุ : ผลเลือกตั้งสะท้อน'คุณภาพโพลล์' : ขยายปมร้อน โดยสมถวิล เทพสวัสดิ์)
http://www.komchadluek.net/
ผลเลือกตั้งสะท้อน'คุณภาพโพลล์' และ "โหร"
จะเห็นว่า การทำโพลล์ "เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม." โค้งสุดท้ายก่อนจะมีการเลือกตั้งหลายสำนัก ผลสำรวจออกมา "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.จาก "พรรคเพื่อไทย" มีคะแนนนำเป็นอันดับหนึ่ง
แม้แต่การสำรวจหน้าคูหาเลือกตั้งหลังลงคะแนนเสียง "เอ็กซิทโพลล์" ก็ยังมีความผิดพลาดเกิดขึ้น
"ดร.ถวิลวดี บุรีกุล" ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงความคลาดเคลื่อนของผลโพลล์ที่เกิดขึ้นว่า เกิดจากวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างเป็นไปตามหลักวิชาการหรือไม่ และจะเห็นว่า จากการสำรวจยังมีกลุ่มตัวอย่างที่ยังไม่ตัดสินใจจะเลือกผู้สมัครคนไหนเกือบ 20% บางสำนักมีกลุ่มตัวอย่างที่ยังไม่ได้ตัดสินใจสูงเกือบ 40% จุดนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนได้เช่นกัน
"ดร.ถวิลวดี" ยกตัวอย่างสาเหตุที่ทำให้การสำรวจของ "เอ็กซิทโพล์" มีความคลาดเคลื่อนเกิดจาก 1.คนตอบไม่ตรงกับที่ตัวเองกากบาท 2.การเลือกสุ่มตัวอย่างไม่เป็นไปตามความน่าจะเป็น คือ ไม่ได้สุ่มจากคน 100% เลือกสุ่มเป็นบางคน ช่วงเวลาในการทำสำรวจอาจไม่ได้ทำตลอดเวลา อาจเลือกทำเฉพาะช่วงเวลา เช่น ช่วงเช้าถึงเที่ยง หรือเพียง 2-3 ชั่วโมง 3.การสำรวจทำทุกหน่วยเลือกตั้งหรือไม่ 4.พื้นที่สุ่มอาจมีเรื่องของอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ผู้ตอบคำถามตอบไม่ตรงกับที่กาหมายเลข เพื่อความปลอดภัยของผู้ตอบคำถาม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยทำให้การสำรวจผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนได้ ความผิดพลาดจากโพลล์ และเอ็กซิทโพลล์อีกประการ เกิดจากการสุ่มตัวอย่างที่เน้นสุ่มตามสะดวก ความเร็ว
"ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า" กล่าวอีกว่า นอกจากความคลาดเคลื่อนของ "โพลล์" แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้ผลคะแนนต่างไปจากที่ "โพลล์" สำรวจมาคือ คนที่ยังไม่ตัดสินว่าจะเลือกใครก่อนหน้านี้ได้รับอิทธิพลจากการรณรงค์จากองค์กร หรือผู้นำทางความคิด ทำให้ตัดสินใจไปเลือกตั้งและกากบาทหมายเลขที่ "ผู้นำ" ที่ตัวเองชื่นชอบ จะเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มี "ผู้นำ" หลายคนได้แสดงจุดยืนในการไปใช้สิทธิเลือกผู้สมัคร โดยประกาศว่าจะเลือกหมายเลขใด ทำให้ผู้ที่ยังไม่ไปใช้สิทธิตัดสินใจเลือกตาม
"คนกรุงเทพฯ ต่างจากคนต่างจังหวัดที่มีความใกล้ชิดกับข่าวสาร การเลือกตั้งชอบที่จะเลือกฝ่ายเป็นรอง เพื่อเลือกไปคานอำนาจ นอกจากนี้เชื่อว่า โซเชียลมีผลต่อการลงคะแนนเลือกตั้งครั้งนี้พอสมควร" ดร.ถวิลวดี กล่าว
ส่วนที่ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ออกมาสวนทางกลับโพลล์ "ดร.ถวิลวดี" กล่าวว่า คนกรุงเทพฯ ต้องการให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ และเชื่อว่า สาเหตุที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมาจากการตัดสินใจของคนกรุงเทพฯ ในระยะเวลาเพียง 1-2 วันก่อนการเลือกตั้ง เนื่องจากคนกรุงเทพฯ กลัวเศรษฐกิจไม่ดี กลัวรัฐบาลดูแลทั้งระดับประเทศและท้องถิ่น
ขณะที่ "ผศ.ดร.ณกมล ปุญชเขตต์ทิกุล" นักวิชาการอาวุโสโครงการศูนย์ยุทธศาสตร์อาเซียนศึกษาเพื่อการพัฒนา(ประเทศไทย) บอกถึงสาเหตุของความคลาดเคลื่อนของโพลล์ครั้งนี้ เกิดจาก 1.คนที่ตอบคำถามโพลล์ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มตัวแทนที่แท้จริง 2.ผู้ทำโพลล์มีธงอยู่ในใจแล้ว 3.ผู้ตอบคำถามโพลล์อยู่ในลักษณะเอียนโพลล์หรืออยากตบหน้าคนทำโพลล์ทำให้ผลสำรวจของ "เอ็กซิทโพลล์" ได้คำตอบที่ไม่ต้องกับคะแนนจริง
จากความคลาดเคลื่อนของโพลล์ที่เกิดขึ้น "ดร.ณกมล" เห็นว่าควรต้องมีการจัดระเบียบโพลล์ ปฏิรูปการทำโพลล์ โดยเฉพาะโพลล์ของสถาบันการศึกษา ที่นำแบรนด์ของสถาบันมาชี้นำทางสังคม เพื่อให้ผู้ทำโพลล์ได้ระมัดระวังมากขึ้น
"การทำโพลล์ต้องมีจรรยาบรรณ ถ้าทำแล้วผิดสม่ำเสมอต้องเสียค่าปรับ หรือต้องมีมาตรการทางสังคม และมาตรการทางกฎหมายมาลงโทษและควบคุม โดยอาจให้มีโทษปรับเงินหรือโทษจำคุก เพื่อให้คนทำโพลล์อธิบายอย่างโปร่งใสได้" ดร.ณกมล กล่าว
"ดร.ณกมล" กล่าวถึงรูปแบบหรือกระบวนการลงโทษโพลล์ผิดซ้ำซากว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดย รมว.ศึกษาธิการ ต้องมีมาตรการหรือต้องกำหนดการเผยแพร่โพลล์จะกระทำไม่ได้ หากยังเผยแพร่ถือว่าสถาบันที่ทำโพลล์มีความผิด คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องมีบทบัญญัติห้ามทำโพลล์เผยแพร่ในสื่อ เพราะ กกต.ยังสามารถห้ามเผยแพร่โพลล์ 7 วันสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งได้ ก็ต้องห้ามในข้อนี้ได้เช่นกัน รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนงที่นำโพลล์ไปอ่านแล้วผลผิดพลาด ควรจะมีบทลงโทษ โดยไม่นำโพลล์ของสถาบันนั้นมาออกสื่ออีก และทางสถาบันที่ทำโพลล์ และอาจารย์ที่รับผิดชอบทำโพลล์ต้องออกแถลงการณ์แสดงความรับผิดชอบว่า สาเหตุความผิดพลาดเกิดจากอะไร เพราะผลโพลล์ได้ชี้นำทางสังคมไปแล้ว ถือว่ามีความผิดทางกฎหมายไปแล้ว เนื่องจากมีคนเชื่อโพลล์ไปแล้ว
"ความคลาดเคลื่อนของโพลล์มี 5% แต่สิ่งที่เกิดขึ้นโพลล์ผิดพลาดเกิน 5% แต่ถ้าทำผิดมาตลอดไม่ใช่ผิดแค่ 5-10% แต่เป็น 100% คนที่ทำโพลล์ทั้งหลายต้องมีจรรยาบรรณ ถ้าผิดเสมอทางนายกสภามหาวิทยาลัย หรืออธิการบดีสถาบันที่ทำโพลล์ต้องออกแถลงการณ์และแสดงความรับผิดชอบที่เกิดขึ้น การทำโพลล์หากมองในแง่สีสันก็เป็นได้ แต่สีสันที่เป็นเหมือนลูกอมที่ต้องมองถึงผลของลูกอมที่ทำให้เกิดโรคอ้วนต้องกำจัดสิ่งเหล่านี้ด้วย"
......................
(หมายเหตุ : ผลเลือกตั้งสะท้อน'คุณภาพโพลล์' : ขยายปมร้อน โดยสมถวิล เทพสวัสดิ์)
http://www.komchadluek.net/