ขึ้นปีใหม่ 2556 รัฐบาลไม่ปล่อยให้เสียเวลา เดินหน้าออก พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่งทันทีไม่ให้เสียเวลา
รัฐบาลถือจังหวะ ครม.สัญจรที่ จ.อุตรดิตถ์ เห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ ตามที่กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอให้เห็นชอบ เป็นการปูทางของโครงการที่จะใช้เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่คาดว่าจะมีการเสนอให้ ครม.กดปุ่มไฟเขียวในวันที่ 5 ก.พ. 2556
รัฐบาลได้วางกลยุทธ์การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ให้รอบคอบและรัดกุมมากขึ้น หลังจากการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ที่ถูกถล่มว่ารัฐบาลใช้อำนาจออกเช็คเปล่าบริหารประเทศ ทั้งที่ไม่มีความพร้อมด้านโครงการ ทำให้เกิดความไม่โปร่งใส เงินรั่วไหล และโครงการที่ทำไม่เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจ
ดังนั้น รัฐบาลจึงเห็นชอบพิมพ์เขียวการพัฒนาระบบขนส่งโดยรวมก่อนที่จะเห็นชอบเงินกู้ก้อนใหญ่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการกู้เงินก้อนใหม่ไม่ได้เป็นการเซ็นเช็คเปล่าให้รัฐบาลไปบริหารแบบไม่ชอบมาพากลอีกต่อไป แต่มีโครงการที่เป็นภาพรวมของการพัฒนาประเทศ ที่จะใช้เงินกู้อย่างคุ้มค่า
โดยในการเสนอร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง จะเป็นผู้ชงเข้า ครม. แต่ไม่รู้สาเหตุใดที่มีการยับยั้งไว้ในที่สุด
ตามหลักการร่างกฎหมายดังกล่าวจะมีการทำบัญชีการลงทุนแนบท้ายเงินกู้ถึง 2 บัญชีโดยบัญชีแรกเป็นโครงการแรกที่พร้อมลงทุน และบัญชีที่สองเป็นการสำรองโครงการไว้ในกรณีที่โครงการในบัญชีแรกไม่สามารถดำเนินการได้
สำหรับโครงการลงทุนที่จะใช้เงินกู้ ส่วนใหญ่เป็นระบบขนส่งที่มีกระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าของโครงการเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งทางราง 1.6 ล้านล้านบาท ประกอบด้วยรถไฟฟ้า 10 สาย การสร้างรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่
การลงทุนสร้างถนนอีก 3.2 แสนล้านบาท โดยหลักจะเป็นการขยายถนน 4 ช่องทางในสายทางหลัก และการสร้างมอเตอร์เวย์ที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดและภูมิภาคต่างๆ เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)
นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนด้านน้ำอีก 3 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างท่าเรือสงขลา ท่าเรือชุมพร และท่าเรือปากบารา และที่เหลือเป็นการสร้างด่านศุลกากรเพิ่มเติมรองรับการเปิดเออีซี
โครงการทั้งหมดอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบการขนส่งของประเทศ ที่ครอบคลุมการขนส่งทางบก น้ำ อากาศ ที่กระทรวงคมนาคมกินรวบอยู่คนเดียว
ตามแผนการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จะใช้เวลา 7 ปี ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลจะต้องกู้เงินเพื่อก่อสร้างตามพิมพ์เขียวพัฒนาระบบขนส่งของประเทศปีละ 2-3 แสนล้านบาท
กระทรวงการคลังประเมินเบื้องต้นว่า การลงทุนจากเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มอยู่ที่เกือบ 1% ต่อปี ทำให้การขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวให้มีเสถียรภาพ ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังรักษาไว้ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 50% ของจีดีพี ต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดไว้ไม่เกิน 60% ของจีดีพี ถือเป็นด้านบวกของการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ก็มีปัญหากระทบด้านอื่นตามมา สิ่งแรกที่เห็น คือ เพิ่มหนี้ประเทศให้สูงขึ้น แม้ว่าจะเป็นการกู้เพื่อการลงทุน เพราะที่ผ่านมาการใช้เงินของรัฐบาลเกิดการรั่วไหลทุจริตคอร์รัปชันจำนวนมาก ทำให้เม็ดเงินส่วนใหญ่ตกอยู่ในกระเป๋านายทุน นักการเมือง มากกว่าจะไหลเวียนไปอยู่ในระบบทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างที่ควรเป็น
การกู้เงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง เป็นการกู้เงินนอกงบประมาณปกติก็เท่ากับเป็นการซุกขาดดุลงบประมาณของประเทศ แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามทำให้งบประมาณปกติเข้าสู่สมดุลภายใน 2-3 ปีนี้ แต่นอกงบประมาณก็มีการกู้ก้อนโตอีกจำนวนมาก ทำให้หนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยหลักการทางการเงินการคลังแล้ว การทำงบประมาณสมดุลเป็นการไม่ก่อหนี้ ใช้จ่ายเท่าที่มีรายได้ หรือน้อยกว่ารายได้ แต่การทำงบประมาณสมดุลของรัฐบาลที่ทำอยู่กลับสวนทางยังต้องกู้เงินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างภาพมายาทางการเงินการคลังว่ามีเสถียรภาพเข้าสู่สมดุล ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงยังขาดดุลงบประมาณอยู่นั่นเอง
การขาดดุลงบประมาณที่ถูกซุกไว้ จึงเป็นอันตรายกับฐานะการคลังของประเทศในระยะยาว แม้ว่ารัฐบาลจะเป่ามนต์ว่าสัดส่วนหนี้ยังต่ำ เพราะการกู้เงินทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากกว่าหนี้ที่โตขึ้น แต่ที่ผ่านมาก็ไม่สามารถตบตาสถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำได้ ที่ยังไม่ยอมเพิ่มเครดิตให้ไทย เพราะยังติดใจการใช้เงินกู้ของรัฐบาลก้อนโตจะเกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจ โดยที่ไม่สร้างปัญหาการคลังตามมาหรือไม่
เพราะในทางกลับกัน หากว่าเศรษฐกิจไม่ได้ขยายตัวอย่างที่รัฐบาลคาดหวังไว้ หนี้ของประเทศก็จะมีปัญหาระเบิดขึ้นทันที เพราะดูจากการประมาณการเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุด แม้ว่าจะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปี 2555 จะขยายตัวได้ 5.9% ต่อปี แต่ปี 2556 คาดว่าจะขยายตัวได้ลดลงเหลือ 4.8% ต่อปี และปี 2557 เหลือ 4.8% ซึ่งแนวโน้มการขยายตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากความผันผวนทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ประเมินว่า หากเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากวิกฤตนอกและในประเทศ ขยายตัวได้ 3.5% ต่อปี จะทำให้หนี้ของประเทศเพิ่มสูงขึ้นเกิน 60-70%ต่อจีดีพีทันที เพราะรัฐบาลกู้เงินจำนวนมากไปใช้ในโครงการที่ไม่เกิดประโยชน์ ทั้งโครงการรับจำนำข้าวที่รอบแรกใช้เงินกู้ไป 3.5 แสนล้านบาท รอบใหม่คาดว่าจะต้องใช้อีก 1.5 แสนล้านบาท
การกู้เงินจากการออก พ.ร.ก. 3.5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลไม่มีความพร้อม แต่ก็ยังเข็นหาโครงการมายัดใส่เพื่อจะใช้เงินกู้ เป็นระเบิดลูกใหญ่อีกลูกของวิกฤตหนี้ประเทศไทย เพราะเงินที่ถูกเร่งใช้ในโครงการที่ไม่เหมาะสม เป็นความจงใจทำให้เงินกู้รั่วไหลดีๆ นั่นเอง
เมื่อเงินกู้เก่ายังกองสุมก้อนโต และยังมีการกู้เงินก้อนใหม่มากองสมทบเป็นการเติมเชื้อไฟให้วิกฤตหนี้ในอนาคตของไทยรุนแรงมากขึ้น เพราะความผันผวนทางเศรษฐกิจยังมีสูง ขณะที่ปัญหาการเมืองภายในประเทศก็ยังร้อน พร้อมลากเศรษฐกิจไทยมีปัญหาได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น การกู้เงินอีก 2 ล้านล้านบาท ก็เป็นเหมือนตัวเร่งทำให้วิกฤตหนี้ของไทยอยู่บนเส้นด้ายที่ตึงมากขึ้นนั่นเอง
การกู้เงินของรัฐบาลจำนวนมหาศาล ยังเป็นการทำให้ดอกเบี้ยในตลาดของไทยสูงขึ้น เพราะธนาคารพาณิชย์เก็บเงินไว้ปล่อยกู้ให้รัฐบาลที่ไม่มีความเสี่ยงเหมือนปล่อยกู้เอกชน เป็นการซ้ำเติมทั้งเอกชนที่ต้องแบกต้นทุนสูง และซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่จะเกิดการชะงักเพราะการลงทุนของภาคเอกชนชะลอ
ก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอีก่อนหน้านี้ก็เจอมรสุมค่าจ้าง 300 บาทของรัฐบาล ทำให้มีปัญหาล้มทั้งยืน ยังต้องมาเจอปัญหาต้นทุนเงินกู้สูง ทำให้ผู้ประกอบการยืนอยู่ได้ยากขึ้นไปอีก
การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท นโยบายชุดใหญ่ชุดใหม่ของรัฐบาล แค่เปิดตัวก็ส่งผลกระทบสะท้านไปทุกหย่อมหญ้า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์อีกครั้งว่าการกู้เงินครั้งนี้ประเทศได้มากกว่าเสียอย่างที่รัฐบาลท่องมนต์ไว้หรือไม่
Post Today
ที่มา:
http://money.impaqmsn.com/content.aspx?id=34063&ch=222
เงินกู้ 2 ล้านล้าน สะท้านเมือง
รัฐบาลถือจังหวะ ครม.สัญจรที่ จ.อุตรดิตถ์ เห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ ตามที่กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอให้เห็นชอบ เป็นการปูทางของโครงการที่จะใช้เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่คาดว่าจะมีการเสนอให้ ครม.กดปุ่มไฟเขียวในวันที่ 5 ก.พ. 2556
รัฐบาลได้วางกลยุทธ์การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ให้รอบคอบและรัดกุมมากขึ้น หลังจากการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ที่ถูกถล่มว่ารัฐบาลใช้อำนาจออกเช็คเปล่าบริหารประเทศ ทั้งที่ไม่มีความพร้อมด้านโครงการ ทำให้เกิดความไม่โปร่งใส เงินรั่วไหล และโครงการที่ทำไม่เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจ
ดังนั้น รัฐบาลจึงเห็นชอบพิมพ์เขียวการพัฒนาระบบขนส่งโดยรวมก่อนที่จะเห็นชอบเงินกู้ก้อนใหญ่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการกู้เงินก้อนใหม่ไม่ได้เป็นการเซ็นเช็คเปล่าให้รัฐบาลไปบริหารแบบไม่ชอบมาพากลอีกต่อไป แต่มีโครงการที่เป็นภาพรวมของการพัฒนาประเทศ ที่จะใช้เงินกู้อย่างคุ้มค่า
โดยในการเสนอร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง จะเป็นผู้ชงเข้า ครม. แต่ไม่รู้สาเหตุใดที่มีการยับยั้งไว้ในที่สุด
ตามหลักการร่างกฎหมายดังกล่าวจะมีการทำบัญชีการลงทุนแนบท้ายเงินกู้ถึง 2 บัญชีโดยบัญชีแรกเป็นโครงการแรกที่พร้อมลงทุน และบัญชีที่สองเป็นการสำรองโครงการไว้ในกรณีที่โครงการในบัญชีแรกไม่สามารถดำเนินการได้
สำหรับโครงการลงทุนที่จะใช้เงินกู้ ส่วนใหญ่เป็นระบบขนส่งที่มีกระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าของโครงการเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งทางราง 1.6 ล้านล้านบาท ประกอบด้วยรถไฟฟ้า 10 สาย การสร้างรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่
การลงทุนสร้างถนนอีก 3.2 แสนล้านบาท โดยหลักจะเป็นการขยายถนน 4 ช่องทางในสายทางหลัก และการสร้างมอเตอร์เวย์ที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดและภูมิภาคต่างๆ เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)
นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนด้านน้ำอีก 3 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างท่าเรือสงขลา ท่าเรือชุมพร และท่าเรือปากบารา และที่เหลือเป็นการสร้างด่านศุลกากรเพิ่มเติมรองรับการเปิดเออีซี
โครงการทั้งหมดอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบการขนส่งของประเทศ ที่ครอบคลุมการขนส่งทางบก น้ำ อากาศ ที่กระทรวงคมนาคมกินรวบอยู่คนเดียว
ตามแผนการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จะใช้เวลา 7 ปี ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลจะต้องกู้เงินเพื่อก่อสร้างตามพิมพ์เขียวพัฒนาระบบขนส่งของประเทศปีละ 2-3 แสนล้านบาท
กระทรวงการคลังประเมินเบื้องต้นว่า การลงทุนจากเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มอยู่ที่เกือบ 1% ต่อปี ทำให้การขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวให้มีเสถียรภาพ ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังรักษาไว้ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 50% ของจีดีพี ต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดไว้ไม่เกิน 60% ของจีดีพี ถือเป็นด้านบวกของการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ก็มีปัญหากระทบด้านอื่นตามมา สิ่งแรกที่เห็น คือ เพิ่มหนี้ประเทศให้สูงขึ้น แม้ว่าจะเป็นการกู้เพื่อการลงทุน เพราะที่ผ่านมาการใช้เงินของรัฐบาลเกิดการรั่วไหลทุจริตคอร์รัปชันจำนวนมาก ทำให้เม็ดเงินส่วนใหญ่ตกอยู่ในกระเป๋านายทุน นักการเมือง มากกว่าจะไหลเวียนไปอยู่ในระบบทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างที่ควรเป็น
การกู้เงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง เป็นการกู้เงินนอกงบประมาณปกติก็เท่ากับเป็นการซุกขาดดุลงบประมาณของประเทศ แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามทำให้งบประมาณปกติเข้าสู่สมดุลภายใน 2-3 ปีนี้ แต่นอกงบประมาณก็มีการกู้ก้อนโตอีกจำนวนมาก ทำให้หนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยหลักการทางการเงินการคลังแล้ว การทำงบประมาณสมดุลเป็นการไม่ก่อหนี้ ใช้จ่ายเท่าที่มีรายได้ หรือน้อยกว่ารายได้ แต่การทำงบประมาณสมดุลของรัฐบาลที่ทำอยู่กลับสวนทางยังต้องกู้เงินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างภาพมายาทางการเงินการคลังว่ามีเสถียรภาพเข้าสู่สมดุล ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงยังขาดดุลงบประมาณอยู่นั่นเอง
การขาดดุลงบประมาณที่ถูกซุกไว้ จึงเป็นอันตรายกับฐานะการคลังของประเทศในระยะยาว แม้ว่ารัฐบาลจะเป่ามนต์ว่าสัดส่วนหนี้ยังต่ำ เพราะการกู้เงินทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากกว่าหนี้ที่โตขึ้น แต่ที่ผ่านมาก็ไม่สามารถตบตาสถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำได้ ที่ยังไม่ยอมเพิ่มเครดิตให้ไทย เพราะยังติดใจการใช้เงินกู้ของรัฐบาลก้อนโตจะเกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจ โดยที่ไม่สร้างปัญหาการคลังตามมาหรือไม่
เพราะในทางกลับกัน หากว่าเศรษฐกิจไม่ได้ขยายตัวอย่างที่รัฐบาลคาดหวังไว้ หนี้ของประเทศก็จะมีปัญหาระเบิดขึ้นทันที เพราะดูจากการประมาณการเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุด แม้ว่าจะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปี 2555 จะขยายตัวได้ 5.9% ต่อปี แต่ปี 2556 คาดว่าจะขยายตัวได้ลดลงเหลือ 4.8% ต่อปี และปี 2557 เหลือ 4.8% ซึ่งแนวโน้มการขยายตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากความผันผวนทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ประเมินว่า หากเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากวิกฤตนอกและในประเทศ ขยายตัวได้ 3.5% ต่อปี จะทำให้หนี้ของประเทศเพิ่มสูงขึ้นเกิน 60-70%ต่อจีดีพีทันที เพราะรัฐบาลกู้เงินจำนวนมากไปใช้ในโครงการที่ไม่เกิดประโยชน์ ทั้งโครงการรับจำนำข้าวที่รอบแรกใช้เงินกู้ไป 3.5 แสนล้านบาท รอบใหม่คาดว่าจะต้องใช้อีก 1.5 แสนล้านบาท
การกู้เงินจากการออก พ.ร.ก. 3.5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลไม่มีความพร้อม แต่ก็ยังเข็นหาโครงการมายัดใส่เพื่อจะใช้เงินกู้ เป็นระเบิดลูกใหญ่อีกลูกของวิกฤตหนี้ประเทศไทย เพราะเงินที่ถูกเร่งใช้ในโครงการที่ไม่เหมาะสม เป็นความจงใจทำให้เงินกู้รั่วไหลดีๆ นั่นเอง
เมื่อเงินกู้เก่ายังกองสุมก้อนโต และยังมีการกู้เงินก้อนใหม่มากองสมทบเป็นการเติมเชื้อไฟให้วิกฤตหนี้ในอนาคตของไทยรุนแรงมากขึ้น เพราะความผันผวนทางเศรษฐกิจยังมีสูง ขณะที่ปัญหาการเมืองภายในประเทศก็ยังร้อน พร้อมลากเศรษฐกิจไทยมีปัญหาได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น การกู้เงินอีก 2 ล้านล้านบาท ก็เป็นเหมือนตัวเร่งทำให้วิกฤตหนี้ของไทยอยู่บนเส้นด้ายที่ตึงมากขึ้นนั่นเอง
การกู้เงินของรัฐบาลจำนวนมหาศาล ยังเป็นการทำให้ดอกเบี้ยในตลาดของไทยสูงขึ้น เพราะธนาคารพาณิชย์เก็บเงินไว้ปล่อยกู้ให้รัฐบาลที่ไม่มีความเสี่ยงเหมือนปล่อยกู้เอกชน เป็นการซ้ำเติมทั้งเอกชนที่ต้องแบกต้นทุนสูง และซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่จะเกิดการชะงักเพราะการลงทุนของภาคเอกชนชะลอ
ก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอีก่อนหน้านี้ก็เจอมรสุมค่าจ้าง 300 บาทของรัฐบาล ทำให้มีปัญหาล้มทั้งยืน ยังต้องมาเจอปัญหาต้นทุนเงินกู้สูง ทำให้ผู้ประกอบการยืนอยู่ได้ยากขึ้นไปอีก
การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท นโยบายชุดใหญ่ชุดใหม่ของรัฐบาล แค่เปิดตัวก็ส่งผลกระทบสะท้านไปทุกหย่อมหญ้า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์อีกครั้งว่าการกู้เงินครั้งนี้ประเทศได้มากกว่าเสียอย่างที่รัฐบาลท่องมนต์ไว้หรือไม่
Post Today
ที่มา: http://money.impaqmsn.com/content.aspx?id=34063&ch=222