เอแบคโพลล์ เผยดัชนีภาวะผู้นำ "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" พุ่ง โดยเฉพาะความสุภาพอ่อนโยน ขยับมากถึง 85% รวมถึงวิสัยทัศน์ การยอมรับทั้งในและนอกประเทศ ส่วนความเป็นตัวของตัวเองลดลง 61% จาก 63.7% ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะนโยบายจับต้องได้...
เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2556 ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง "แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในดัชนีภาวะความเป็นผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี" พบว่า ดัชนีภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี ระหว่างเดือน ต.ค.ปี 2555 กับเดือน ม.ค.ปี 2556 พบว่า เพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นมากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ หรือกล่าวได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ “น่าพอใจ” ได้แก่ ความสุภาพอ่อนโยน จากร้อยละ 51.9 ในเดือน ต.ค.ปี 2555 มาอยู่ที่ ร้อยละ 85.0 ในเดือน ม.ค.ปี 2556 โดยมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกถึงร้อยละ 33.1 รองลงมา ความอดทนอดกลั้น รู้จักควบคุมอารมณ์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 47.8 ในเดือน ต.ค.ปี 2555 มาอยู่ที่ร้อยละ 78.1 ในเดือน ม.ค.ปี 2556 และความโอบอ้อมอารี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 54.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 74.8 คือมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกถึงร้อยละ 30.3 และร้อยละ 20.8 ตามลำดับ
ส่วนตัวชี้วัดอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ มีความรู้ความสามารถ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 44.6 คือ “สอบตก” ในเดือนต.ค.ปี 2555 มาอยู่ที่ร้อยละ 65.0 คือ “สอบได้” ในเดือน ม.ค.ปี 2556 ซึ่งถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติถึงร้อยละ 20.4 โดยตัวชี้วัดด้านการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 53.5 มาอยู่ที่ร้อยละ 70.9 มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกถึงร้อยละ 17.4 และความเป็นคนรุ่นใหม่ มีกรอบแนวคิดการมองอะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 73.0 ซึ่งตัวชี้วัดความเป็นผู้นำพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ หรือกล่าวว่าอยู่ในระดับที่ “ค่อนข้างน่าพอใจ” ได้แก่ ความมีวิสัยทัศน์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 53.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 63.4 และด้านการได้รับการยอมรับทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 58.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 67.0
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงในความเป็นผู้นำตามทรรศนะของประชาชนที่ต้อง “เฝ้าระวังรักษาไว้” ให้มีมากยิ่งขึ้น คือ ด้านจริยธรรมทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 50.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 55.8 ด้านความเสียสละ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 55.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 58.5 ด้านความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 57.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 60.1 ด้านความเป็นตัวของตัวเอง ลดลงจากร้อยละ 63.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 61.0 คือเปลี่ยนแปลงในทางลบอยู่ร้อยละ 2.7 แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และด้านความกล้าคิดกล้าตัดสินใจ ที่พบร้อยละ 52.5 ในเดือนต.ค.ปี 2555 มาอยู่ที่ร้อยละ 52.8 ในเดือน ม.ค.ปี 2556
นอกจากนี้ ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือ กลุ่มดัชนีความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี ที่กำลังตกอยู่ใน “ภาวะวิกฤติที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ” เพราะมีอยู่ไม่ถึงร้อยละ 50 ได้แก่ การแก้ปัญหา (บริหาร) ความขัดแย้ง จากร้อยละ 49.2 ในเดือน ต.ค.2555 ลดลงมาอีกอยู่ที่ร้อยละ 47.7 ในเดือน ม.ค. 2556 ด้านความรวดเร็วฉับไวในการแก้ปัญหา ลดลงจากร้อยละ 49.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 48.5 และด้านความยุติธรรม ที่ค้นพบร้อยละ 49.6 ในเดือน ต.ค.ปี 2555 และร้อยละ 49.9 ในเดือน ม.ค.ปี 2556 และด้านความซื่อสัตย์สุจริตพบร้อยละ 51.3 ในเดือน ต.ค. และร้อยละ 51.0 ในเดือน ม.ค.ปี 2556 เมื่อสอบถามถึงความตั้งใจจะเลือกพรรคการเมือง ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า จำนวนมากที่สุดหรือร้อยละ 42.8 ยังคงเลือกพรรคเพื่อไทยอีก ในขณะที่ร้อยละ 26.5 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 30.7 เลือกพรรคอื่นๆ
ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า โมเดลความเป็นผู้นำตามกรอบแนวคิดของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ดัชนีความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี กำลังเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในหลายตัวชี้วัดและที่กำลังเด่นชัดที่สุด คือ ความสุภาพอ่อนโยน ตามด้วย ความอดทน อดกลั้น รู้จักควบคุมอารมณ์ มีความโอบอ้อมอารี แต่ดัชนีภาวะความเป็นผู้นำเหล่านี้ จำเป็นต้องมีภาวะความเป็นผู้นำด้านอื่นๆ ประกอบเสริมจึงจะทำให้เกิดเสถียรภาพความมั่นคงในความเป็นผู้นำของความเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างยั่งยืน นั่นคือ ชาวบ้านต้องจับต้องได้ ลดความเดือดร้อนปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพได้ ทำให้เกิดความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และต้องช่วยลดความขัดแย้งแตกแยกของผู้คนในสังคมลงได้
ดังนั้น นายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องเร่งทำให้สาธารณชนเห็นว่า ประเทศไทยกำลังมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนและการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมาจากความร่วมมือของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จึงจะช่วยลดภาพของ “อคติแห่งมหานคร” ที่เคยมีมาในอดีตที่นโยบายสาธารณะมักจะออกมาจากชนชั้นนำในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่เพียงกลุ่มเล็กๆ และผลประโยชน์ตกอยู่ในมือของคนเฉพาะกลุ่มที่เป็นกลุ่มนายทุน ข้าราชการและนักการเมือง แต่ต่อไปนี้รัฐบาลน่าจะทำให้เห็นว่าเป็น “ผลประโยชน์ของมหาชน”
ส่วนการที่ชาวบ้านจำนวนมากที่สุด ยังจะเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะสัดส่วนของผู้มีสิทธิ์ มีเสียงเลือกตั้งเกินครึ่งของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของทั้งประเทศอยู่ในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ และแต่ละคนมีสิทธิ์ 1 เสียงเท่ากัน ไม่ใช่ว่าคนกรุงเทพมหานครจะมีสิทธิ์มากกว่าคนในภาคอื่น และการที่พรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนนิยมสูงสุด เพราะพรรคเพื่อไทยมีทั้งทรัพยากรและนโยบายส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่จับต้องได้ และทำให้กลุ่มคนรายได้น้อยที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนำผลผลิตของนโยบายรัฐบาลไปใช้สอยได้ทันที เช่น นโยบายค่าแรง 300 บาท เงินเดือน 15,000 บาท โครงการจำนำข้าว แต่รัฐบาลไม่ทิ้งกลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไปจึงมีนโยบายบ้านหลังแรก รถยนต์คันแรกให้กับประชาชน
ในขณะที่ประชาชนที่ถูกศึกษากลุ่มหนึ่งระบุว่า ชาวบ้านทั่วไปยังไม่เห็นความชัดเจนในนโยบายสาธารณะของพรรคประชาธิปัตย์ที่ตอบโจทย์แก้ปัญหาชาวบ้านได้ แต่กลับมีภาพของความขัดแย้ง การวิพากษ์วิจารณ์โจมตี “จุดอ่อน” ต่างๆ ในนโยบายรัฐบาลเหมือนเดิมที่เคยทำผ่านมาในอดีต.
http://www.thairath.co.th/content/pol/321383
เอามาอวด เพื่อให้แมงสาป สลิ่ม หนอนแหล หงายเงิบเล่นซื่อๆ
เอแบคโพลล์ เผยดัชนีภาวะผู้นำ "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" พุ่ง 85% ขณะที่ ปชช.ส่วนใหญ่เลือกพรรคเพื่อไทย นโยบายจับต้องได้
เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2556 ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง "แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในดัชนีภาวะความเป็นผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี" พบว่า ดัชนีภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี ระหว่างเดือน ต.ค.ปี 2555 กับเดือน ม.ค.ปี 2556 พบว่า เพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นมากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ หรือกล่าวได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ “น่าพอใจ” ได้แก่ ความสุภาพอ่อนโยน จากร้อยละ 51.9 ในเดือน ต.ค.ปี 2555 มาอยู่ที่ ร้อยละ 85.0 ในเดือน ม.ค.ปี 2556 โดยมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกถึงร้อยละ 33.1 รองลงมา ความอดทนอดกลั้น รู้จักควบคุมอารมณ์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 47.8 ในเดือน ต.ค.ปี 2555 มาอยู่ที่ร้อยละ 78.1 ในเดือน ม.ค.ปี 2556 และความโอบอ้อมอารี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 54.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 74.8 คือมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกถึงร้อยละ 30.3 และร้อยละ 20.8 ตามลำดับ
ส่วนตัวชี้วัดอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ มีความรู้ความสามารถ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 44.6 คือ “สอบตก” ในเดือนต.ค.ปี 2555 มาอยู่ที่ร้อยละ 65.0 คือ “สอบได้” ในเดือน ม.ค.ปี 2556 ซึ่งถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติถึงร้อยละ 20.4 โดยตัวชี้วัดด้านการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 53.5 มาอยู่ที่ร้อยละ 70.9 มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกถึงร้อยละ 17.4 และความเป็นคนรุ่นใหม่ มีกรอบแนวคิดการมองอะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 73.0 ซึ่งตัวชี้วัดความเป็นผู้นำพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวกแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ หรือกล่าวว่าอยู่ในระดับที่ “ค่อนข้างน่าพอใจ” ได้แก่ ความมีวิสัยทัศน์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 53.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 63.4 และด้านการได้รับการยอมรับทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 58.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 67.0
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงในความเป็นผู้นำตามทรรศนะของประชาชนที่ต้อง “เฝ้าระวังรักษาไว้” ให้มีมากยิ่งขึ้น คือ ด้านจริยธรรมทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 50.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 55.8 ด้านความเสียสละ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 55.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 58.5 ด้านความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 57.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 60.1 ด้านความเป็นตัวของตัวเอง ลดลงจากร้อยละ 63.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 61.0 คือเปลี่ยนแปลงในทางลบอยู่ร้อยละ 2.7 แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และด้านความกล้าคิดกล้าตัดสินใจ ที่พบร้อยละ 52.5 ในเดือนต.ค.ปี 2555 มาอยู่ที่ร้อยละ 52.8 ในเดือน ม.ค.ปี 2556
นอกจากนี้ ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือ กลุ่มดัชนีความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี ที่กำลังตกอยู่ใน “ภาวะวิกฤติที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ” เพราะมีอยู่ไม่ถึงร้อยละ 50 ได้แก่ การแก้ปัญหา (บริหาร) ความขัดแย้ง จากร้อยละ 49.2 ในเดือน ต.ค.2555 ลดลงมาอีกอยู่ที่ร้อยละ 47.7 ในเดือน ม.ค. 2556 ด้านความรวดเร็วฉับไวในการแก้ปัญหา ลดลงจากร้อยละ 49.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 48.5 และด้านความยุติธรรม ที่ค้นพบร้อยละ 49.6 ในเดือน ต.ค.ปี 2555 และร้อยละ 49.9 ในเดือน ม.ค.ปี 2556 และด้านความซื่อสัตย์สุจริตพบร้อยละ 51.3 ในเดือน ต.ค. และร้อยละ 51.0 ในเดือน ม.ค.ปี 2556 เมื่อสอบถามถึงความตั้งใจจะเลือกพรรคการเมือง ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า จำนวนมากที่สุดหรือร้อยละ 42.8 ยังคงเลือกพรรคเพื่อไทยอีก ในขณะที่ร้อยละ 26.5 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 30.7 เลือกพรรคอื่นๆ
ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า โมเดลความเป็นผู้นำตามกรอบแนวคิดของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ดัชนีความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี กำลังเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในหลายตัวชี้วัดและที่กำลังเด่นชัดที่สุด คือ ความสุภาพอ่อนโยน ตามด้วย ความอดทน อดกลั้น รู้จักควบคุมอารมณ์ มีความโอบอ้อมอารี แต่ดัชนีภาวะความเป็นผู้นำเหล่านี้ จำเป็นต้องมีภาวะความเป็นผู้นำด้านอื่นๆ ประกอบเสริมจึงจะทำให้เกิดเสถียรภาพความมั่นคงในความเป็นผู้นำของความเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างยั่งยืน นั่นคือ ชาวบ้านต้องจับต้องได้ ลดความเดือดร้อนปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพได้ ทำให้เกิดความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และต้องช่วยลดความขัดแย้งแตกแยกของผู้คนในสังคมลงได้
ดังนั้น นายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องเร่งทำให้สาธารณชนเห็นว่า ประเทศไทยกำลังมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนและการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมาจากความร่วมมือของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จึงจะช่วยลดภาพของ “อคติแห่งมหานคร” ที่เคยมีมาในอดีตที่นโยบายสาธารณะมักจะออกมาจากชนชั้นนำในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่เพียงกลุ่มเล็กๆ และผลประโยชน์ตกอยู่ในมือของคนเฉพาะกลุ่มที่เป็นกลุ่มนายทุน ข้าราชการและนักการเมือง แต่ต่อไปนี้รัฐบาลน่าจะทำให้เห็นว่าเป็น “ผลประโยชน์ของมหาชน”
ส่วนการที่ชาวบ้านจำนวนมากที่สุด ยังจะเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะสัดส่วนของผู้มีสิทธิ์ มีเสียงเลือกตั้งเกินครึ่งของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของทั้งประเทศอยู่ในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ และแต่ละคนมีสิทธิ์ 1 เสียงเท่ากัน ไม่ใช่ว่าคนกรุงเทพมหานครจะมีสิทธิ์มากกว่าคนในภาคอื่น และการที่พรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนนิยมสูงสุด เพราะพรรคเพื่อไทยมีทั้งทรัพยากรและนโยบายส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่จับต้องได้ และทำให้กลุ่มคนรายได้น้อยที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนำผลผลิตของนโยบายรัฐบาลไปใช้สอยได้ทันที เช่น นโยบายค่าแรง 300 บาท เงินเดือน 15,000 บาท โครงการจำนำข้าว แต่รัฐบาลไม่ทิ้งกลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไปจึงมีนโยบายบ้านหลังแรก รถยนต์คันแรกให้กับประชาชน
ในขณะที่ประชาชนที่ถูกศึกษากลุ่มหนึ่งระบุว่า ชาวบ้านทั่วไปยังไม่เห็นความชัดเจนในนโยบายสาธารณะของพรรคประชาธิปัตย์ที่ตอบโจทย์แก้ปัญหาชาวบ้านได้ แต่กลับมีภาพของความขัดแย้ง การวิพากษ์วิจารณ์โจมตี “จุดอ่อน” ต่างๆ ในนโยบายรัฐบาลเหมือนเดิมที่เคยทำผ่านมาในอดีต.
http://www.thairath.co.th/content/pol/321383
เอามาอวด เพื่อให้แมงสาป สลิ่ม หนอนแหล หงายเงิบเล่นซื่อๆ