14 ม.ค. 2556 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ขณะที่ผู้บริโภคชาวยุโรปใช้เวลาส่วนใหญ่ในปี 2012 ที่ผ่านมา ไปกับความกลัดกลุ้มใจในเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจ จีนสามารถทำยอดขายรถยนต์แซงหน้ายุโรปได้สำเร็จเป็นครั้งแรก และจากการที่อัตราเติบโตของชนชั้นกลางในจีนยังคงเพิ่มมากขึ้น จีนก็น่าจะยังคงนำหน้ายุโรปในเรื่องการผลิตรถยนต์ในปีนี้ด้วยเช่นกัน
ไม่ได้เป็นความลับเลยที่อุตสาหกรรมรถยนต์ของยุโรปไม่รุ่งเรืองนัก ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายในภูมิภาคกำลังต่อสู้ดิ้นรนจากการที่อุปสงค์ลดน้อยลงในระหว่างวิกฤตยูโร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหลายประเทศทางตอนใต้ของทวีป ที่ซึ่งมาตรการรัดเข็มขัดกัดกร่อนความมั่งคั่งเฟื่องฟูไป
ขณะที่ในจีน มีรถยนต์มากมายออกมาจากโรงงานผลิต และในปี 2012 นับเป็นครั้งแรกที่ผู้บริโภคชาวจีนซื้อรถยนต์มากกว่าในยุโรป จากข้อมูลของหนังสือพิมพ์ซุดดอยเช่ไซตุ้ง ที่อ้างตัวเลขที่ไม่ได้เผยแพร่ของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนี (วีดีเอ) รายงานข่าวระบุว่า ขณะที่มีรถยนต์จดทะเบียนในจีน 13.2 ล้านคัน ในปี 2012 ในยุโรปกลับมีเพียงแค่ 12.5 ล้านคันเท่านั้น ลดลงจาก 13.6 ล้านคันเมื่อปีก่อนหน้า
แน่นอนว่า เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นมีมากมาย ในทางหนึ่งชนชั้นกลางของจีนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเศรษฐกิจที่นั่นเมื่อปีที่แล้วจะมีอัตราการเติบโตชะลอตัวลงมากกว่าเมื่อปีก่อนๆ และสำหรับจำนวนผู้ที่มีกำลังซื้อมากขึ้น รถยนต์ให้ได้ทั้งความสะดวกสบายในการเดินทางและยังเป็นสัญลักษณ์ของสถานภาพทางสังคมที่สำคัญอย่างหนึ่ง
ในอีกทางหนึ่ง ยอดขายรถยนต์ในยุโรปเป็นปัจจัยบ่งชี้ทางเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน ด้วยการที่ชาติสมาชิกในกลุ่มประเทศผู้ใช้เงินสกุลยูโร (ยูโรโซน) จำนวนหนึ่งอยู่ในภาวะถดถอย และอีกบางประเทศมีอัตราการเติบโตไม่มากมายนัก ผู้บริโภคดูเหมือนจะรอเวลาที่ดีกว่านี้ก่อนที่จะซื้อรถคันใหม่เพื่อทดแทนรถยนต์เก่าที่ใช้มานานแล้ว ที่จริงแล้ว หากไม่นับขาขึ้นช่วงสั้นๆ ในบางประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อปี 2009 ยอดขายรถยนต์ในยุโรปร่วงลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา
แนวโน้มดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งของตลาดจีน น่าจะยังคงดำเนินต่อไป "คำถามมีเพียงแค่ เมื่อไหร่เท่านั้นที่จีนจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาในเรื่องยอดขายรถยนต์" เฟอร์ดินานด์ ดูเดนโฮฟเฟอร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยานยนต์แห่งมหาวิทยาลัยดุยส์บวร์ก-เอสเซน บอกกับซุดดอยเช่ไซตุ้ง เขาทำนายว่าภายในปี 2030 ตลาดรถยนต์จีนอาจจะใหญ่มากเท่ากับตลาดรถยนต์ของยุโรปและสหรัฐอเมริการวมกัน
อย่างไรก็ตาม การเฟื่องฟูของยอดขายรถยนต์ในจีนไม่เพียงแต่ส่งผลประโยชน์ต่อผู้ผลิตรถยนต์ชาวจีนเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์รถยนต์ของเยอรมนีที่สามารถขายได้มากขึ้นในจีนในปี 2012 นอกจากนี้ รถยนต์จำนวนมากที่ขายได้ในจีนเป็นผลผลิตของการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ของยุโรปและอเมริกากับบริษัทของจีน อ้างอิงจากข้อมูลของซุดดอยเช่ มีเพียงแค่ 1 ใน 3 ของรถยนต์ที่ผลิตในจีนเท่านั้นที่เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทจีนล้วนๆ แบบไม่เจือปน
ถึงอย่างนั้นก็ตาม แบรนด์รถยนต์ของยุโรปกำลังประสบความสูญเสียจากการที่ผู้บริโภคในภูมิภาคต้องเผชิญกับปัญหาในปี 2012 และมีแนวโน้มว่าจะยังเป็นเช่นนั้นต่อไปในปี 2013 หลายๆ บริษัท อย่างเช่น ฟอร์ดยุโรป เรโนลต์ และโอเปิล ต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนัก ปัจจุบันนี้ เปแอสเอ เปอโยต์ ซีตรองต้องปรับลดพนักงานกว่า 10,000 ตำแหน่ง และธุรกิจของพวกเขาคาดว่าจะต้องได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาลฝรั่งเศสมูลค่า 7,000 ล้านยูโร (ราว 282,000 ล้านบาท)
ที่จริงแล้ว จากตัวเลขคาดการณ์ของไฟแนนเชียลไทม์สที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 8 มกราคม คาดว่าจีนจะแซงหน้ายุโรปในด้านการผลิตรถยนต์ในปี 2013 โดยไฟแนนเชียลไทม์สประเมินว่า จีนจะผลิตรถยนต์และรถปิกอัพได้ 19.6 ล้านคัน ขณะที่ยุโรปผลิตได้ 18.3 ล้านคัน ทำให้พวกเขาจะมีส่วนแบ่งตลาดผลิตรถยนต์ของโลกที่ราว 23.8 เปอร์เซ็นต์ โดยเมื่อปี 2000 ส่วนแบ่งของจีนอยู่ที่ 3.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันอย่างคร่าวๆ ยุโรปมีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์โลกที่ 35 เปอร์เซ็นต์ เมื่อปี 2001 และคาดว่าจะลดลงมาเหลือเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นในปี 2013 นี้
2012 ยอดขายรถจีน 13.2 ล้านคัน แซงหน้ายุโรป
ขณะที่ผู้บริโภคชาวยุโรปใช้เวลาส่วนใหญ่ในปี 2012 ที่ผ่านมา ไปกับความกลัดกลุ้มใจในเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจ จีนสามารถทำยอดขายรถยนต์แซงหน้ายุโรปได้สำเร็จเป็นครั้งแรก และจากการที่อัตราเติบโตของชนชั้นกลางในจีนยังคงเพิ่มมากขึ้น จีนก็น่าจะยังคงนำหน้ายุโรปในเรื่องการผลิตรถยนต์ในปีนี้ด้วยเช่นกัน
ไม่ได้เป็นความลับเลยที่อุตสาหกรรมรถยนต์ของยุโรปไม่รุ่งเรืองนัก ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายในภูมิภาคกำลังต่อสู้ดิ้นรนจากการที่อุปสงค์ลดน้อยลงในระหว่างวิกฤตยูโร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหลายประเทศทางตอนใต้ของทวีป ที่ซึ่งมาตรการรัดเข็มขัดกัดกร่อนความมั่งคั่งเฟื่องฟูไป
ขณะที่ในจีน มีรถยนต์มากมายออกมาจากโรงงานผลิต และในปี 2012 นับเป็นครั้งแรกที่ผู้บริโภคชาวจีนซื้อรถยนต์มากกว่าในยุโรป จากข้อมูลของหนังสือพิมพ์ซุดดอยเช่ไซตุ้ง ที่อ้างตัวเลขที่ไม่ได้เผยแพร่ของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนี (วีดีเอ) รายงานข่าวระบุว่า ขณะที่มีรถยนต์จดทะเบียนในจีน 13.2 ล้านคัน ในปี 2012 ในยุโรปกลับมีเพียงแค่ 12.5 ล้านคันเท่านั้น ลดลงจาก 13.6 ล้านคันเมื่อปีก่อนหน้า
แน่นอนว่า เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นมีมากมาย ในทางหนึ่งชนชั้นกลางของจีนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเศรษฐกิจที่นั่นเมื่อปีที่แล้วจะมีอัตราการเติบโตชะลอตัวลงมากกว่าเมื่อปีก่อนๆ และสำหรับจำนวนผู้ที่มีกำลังซื้อมากขึ้น รถยนต์ให้ได้ทั้งความสะดวกสบายในการเดินทางและยังเป็นสัญลักษณ์ของสถานภาพทางสังคมที่สำคัญอย่างหนึ่ง
ในอีกทางหนึ่ง ยอดขายรถยนต์ในยุโรปเป็นปัจจัยบ่งชี้ทางเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน ด้วยการที่ชาติสมาชิกในกลุ่มประเทศผู้ใช้เงินสกุลยูโร (ยูโรโซน) จำนวนหนึ่งอยู่ในภาวะถดถอย และอีกบางประเทศมีอัตราการเติบโตไม่มากมายนัก ผู้บริโภคดูเหมือนจะรอเวลาที่ดีกว่านี้ก่อนที่จะซื้อรถคันใหม่เพื่อทดแทนรถยนต์เก่าที่ใช้มานานแล้ว ที่จริงแล้ว หากไม่นับขาขึ้นช่วงสั้นๆ ในบางประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อปี 2009 ยอดขายรถยนต์ในยุโรปร่วงลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา
แนวโน้มดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งของตลาดจีน น่าจะยังคงดำเนินต่อไป "คำถามมีเพียงแค่ เมื่อไหร่เท่านั้นที่จีนจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาในเรื่องยอดขายรถยนต์" เฟอร์ดินานด์ ดูเดนโฮฟเฟอร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยานยนต์แห่งมหาวิทยาลัยดุยส์บวร์ก-เอสเซน บอกกับซุดดอยเช่ไซตุ้ง เขาทำนายว่าภายในปี 2030 ตลาดรถยนต์จีนอาจจะใหญ่มากเท่ากับตลาดรถยนต์ของยุโรปและสหรัฐอเมริการวมกัน
อย่างไรก็ตาม การเฟื่องฟูของยอดขายรถยนต์ในจีนไม่เพียงแต่ส่งผลประโยชน์ต่อผู้ผลิตรถยนต์ชาวจีนเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์รถยนต์ของเยอรมนีที่สามารถขายได้มากขึ้นในจีนในปี 2012 นอกจากนี้ รถยนต์จำนวนมากที่ขายได้ในจีนเป็นผลผลิตของการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ของยุโรปและอเมริกากับบริษัทของจีน อ้างอิงจากข้อมูลของซุดดอยเช่ มีเพียงแค่ 1 ใน 3 ของรถยนต์ที่ผลิตในจีนเท่านั้นที่เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทจีนล้วนๆ แบบไม่เจือปน
ถึงอย่างนั้นก็ตาม แบรนด์รถยนต์ของยุโรปกำลังประสบความสูญเสียจากการที่ผู้บริโภคในภูมิภาคต้องเผชิญกับปัญหาในปี 2012 และมีแนวโน้มว่าจะยังเป็นเช่นนั้นต่อไปในปี 2013 หลายๆ บริษัท อย่างเช่น ฟอร์ดยุโรป เรโนลต์ และโอเปิล ต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนัก ปัจจุบันนี้ เปแอสเอ เปอโยต์ ซีตรองต้องปรับลดพนักงานกว่า 10,000 ตำแหน่ง และธุรกิจของพวกเขาคาดว่าจะต้องได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาลฝรั่งเศสมูลค่า 7,000 ล้านยูโร (ราว 282,000 ล้านบาท)
ที่จริงแล้ว จากตัวเลขคาดการณ์ของไฟแนนเชียลไทม์สที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 8 มกราคม คาดว่าจีนจะแซงหน้ายุโรปในด้านการผลิตรถยนต์ในปี 2013 โดยไฟแนนเชียลไทม์สประเมินว่า จีนจะผลิตรถยนต์และรถปิกอัพได้ 19.6 ล้านคัน ขณะที่ยุโรปผลิตได้ 18.3 ล้านคัน ทำให้พวกเขาจะมีส่วนแบ่งตลาดผลิตรถยนต์ของโลกที่ราว 23.8 เปอร์เซ็นต์ โดยเมื่อปี 2000 ส่วนแบ่งของจีนอยู่ที่ 3.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันอย่างคร่าวๆ ยุโรปมีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์โลกที่ 35 เปอร์เซ็นต์ เมื่อปี 2001 และคาดว่าจะลดลงมาเหลือเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นในปี 2013 นี้