มักมีคำถามอยู่ตลอดเวลาว่า เป้าหมายในการพัฒนาประเทศคืออะไร จะใช้อะไรเป็นตัววัดเพื่อกำหนดทิศทางหรือแนวทางในการพัฒนาที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่เหมาะสมกับประเทศไทย?
เป้าหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ คือ การทำให้ประชาชนมีมาตรฐานในการดำรงชีวิตที่ดี(Standard of Living) มีความกินดีอยู่ดี (Well-Being) และมีความสุข (Happiness) ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นตัวชี้วัดของทั้ง 3 อย่างนี้ดูจาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อหัวประชากร (GDP per Capita) โดยมีสมมติฐานว่าเมื่อประชาชนมีรายได้ระดับหนึ่ง ก็จะสามารถเข้าถึงปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค (Standard of Living) และเมื่อประชากรมีรายได้ที่สูงขึ้น ก็จะสามารถซื้อสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น(Well-Being) ลดข้อจำกัดทางด้านรายได้ซึ่งทำให้สามารถประกอบกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสุขได้มากขึ้น (Happiness)
สำหรับรัฐบาลเกือบทุกประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย GDP per Capita เป็นตัวชี้วัดผลสำเร็จของการพัฒนา และได้ให้ความสำคัญกับอัตราการเติบโตของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) เป็นตัวชี้วัดเพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาของประเทศ อย่างไรก็ตามผลที่ได้สำหรับประเทศไทยที่ยึด GDP เป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศกลับเป็นดังนี้ มีการปราบปรามจับกุมยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง สังคมครอบครัวเริ่มแตกสลาย ประชาชนออกห่างจากศีลธรรม ทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องยอมรับได้ มีการประท้วงและใช้ความรุนแรงโดยไม่สนใจกฎหมายบ้านเมือง สถาบันการศึกษาผลิตบัณฑิตออกมามากมายแต่กลับมีคุณภาพด้อยลง นโยบายรัฐบาลมุ่งเน้นไปที่คะแนนเสียงโดยไม่สนใจถึงผลกระทบในอนาคต สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าการใช้ GDP เป็นตัววัดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศนั้นอาจไม่เหมาะสมหรือไม่เพียงพอกับประเทศไทย ณ.ปัจจุบัน ฉะนั้นเราอาจจะต้องเปลี่ยนหรือเพิ่มตัวชี้วัดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศ เพื่อไม่ให้ปัญหาแล้วนี้มีความรุนแรงมากขึ้น แต่อันดับแรกเราควรจะต้องรู้ก่อนว่าอะไรที่เป็นจุดอ่อนของการใช้ GDP เป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศ GDP ไม่สามารถสะท้อนภาพความจริงที่ให้ปรากฏได้ทั้งหมด ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1.) GDP ไม่ได้รวมผลของ ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย เช่น การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติบริเวณอ่าวไทย ล้วนเป็นเพิ่มรายได้หรือ GDP โดย แต่ไม่ได้คิดคำนวณการหมดไปของทรัพยากรธรรมชาติที่มีวันหมด และไม่ได้คิดคำนวณถึงค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูธรรมชาติที่พอจะกอบกู้มาได้ เช่น ป่าไม้
2.) กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคม เช่น การผลิตสิ่งเสพย์ติดและสิ่งมึนเมา อาทิเช่น เหล้า, บุหรี่ ซึ่งการบริโภคสิ่งเหล่านี้จะไปรวมเป็นส่วนหนึ่งของ GDP อย่างไรก็ตามภาษีที่รัฐบาลได้ไม่สามารถครอบคลุมกับต้นทุนที่ต้องจ่ายให้กับผลกระทบจากสิ่งเสพย์ติดและสิ่งมึนเมา เช่น รัฐบาลต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับประชาชนที่มีประกันสังคมซึ่งเป็นมะเร็งจากการสูบบุหรี่ ซึ่งแน่นอนว่าต้นทุนไม่ได้ตกไปที่ภาครัฐแต่เพียงผู้เดียว เพราะต้นทุนบางส่วนยังตกไปถึงครอบครัวที่ตกป็นเหยื่อ เช่น คนเมาเหล้าขับรถไปชนเด็กนักเรียนที่เดินอยู่ริมฟุตบาท ซึ่งในกรณีนี้ประเทศไทยอาจสูญเสียทั้งทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน (คนขับ) และอนาคต (นักเรียน)
3.) การใช้ GDP เป็นตัววัด Standard of Living และ Well-Being ของประชาชนนั้นเป็นการวัดที่ไม่น่าจะมีประสิทธิภาพกับประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำของรายได้ที่ค่อนข้างสูง (GiNi ประมาณ 40) อย่างประเทศไทย เพราะ GDP per Capita เป็นค่าเฉลี่ย จึงมีทั้งประชากรที่อยู่เหนือค่าเฉลี่ยและใต้ค่าเฉลี่ย ซึ่งตัวชี้วัดไม่สามารถระบุได้ว่าบุคคลที่อยู่ใต้ค่าเฉลี่ยนั้นมีจำนวนมากน้อยเพียงใดและมีปัญหาความยากจนมากน้อยเพียงใด หากมีการกระจุกตัวของประชากรส่วนน้อยที่มีรายได้สูง แต่ประชากรส่วนใหญ่อยู่ใต้ค่าเฉลี่ย หรือเรียกอีกอย่างว่า รวยกระจุกจนกระจาย การเพิ่มขึ้นของ GDP per Capita ก็จะไม่ได้สะท้อนความอยู่ดีกินดีที่ดีขึ้นของบุคคลที่อยู่ใต้ค่าเฉลี่ย การกระจุกตัวของรายได้มักจะสะท้อนโครงสร้างระบบเศรษฐกิจที่ล้มเหลวในการเข้าถึงของทรัพยากร คนจนมักจะติดอยู่ในวงจรความยากจน ไม่สามารถยกระดับรายได้ด้วยตนเองได้ เป็นสาเหตุของปัญหาอาชญากรรมของประเทศ
4.) การใช้ GDP วัด Happiness ของประชาชนผ่านความร่ำรวย โดยเชื่อว่า ถ้าประเทศมี GDP เพิ่มสูงขึ้น ประชาชนในประเทศนั้นจะร่ำรวยและมีความสุขเพิ่มขึ้น เพราะเชื่อว่ามันจะนำไปสู่การกินดีอยู่ดี การมีงานทำ และการมีเวลาประกอบกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสุข เช่น การมีเวลาพักผ่อน ออกกำลังกาย และมีเวลาอยู่กับครอบครัวจะทำให้คนมีความสุข ซึ่งนั่นก็อาจจะจริงถ้าทั้งหมดนั้นมาพร้อมกัน แต่ในความเป็นจริงนั้นในสังคมไทยมีครอบครัวจำนวนมากที่มีฐานะที่ดีแต่ก็ไม่ได้ใช้เวลาที่เหลือจากการทำงานไปพักผ่อน ออกกำลัง หรือใช้เวลาร่วมกับครอบครัว เนื่องจากต้องการหาเงินให้มากขึ้น และสำหรับครอบครัวที่ฐานะไม่ดีก็เผชิญกับแรงกดดันที่ต้องทำงานมากกว่าที่ควรเพื่อจะหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ดังนั้นเราจึงได้เห็นปัญหาทางครอบครัวทั้งระหว่างพ่อกับแม่หรือพ่อแม่กับลูกได้บ่อยครั้งผ่านทางประสบการณ์จริงและทางสื่อต่างๆ ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่การมีความมั่งคั่งจะนำไปสู่ความสุขเสมอไปเพราะความสุขของคนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมอื่นๆประกอบด้วย เช่น การมีครอบครัวที่อบอุ่นสมบูรณ์ การมีสุขภาพแข็งแรง เป็นต้น
จากข้อบกพร่องที่กล่าวมาของ GDP จึงนำมาสู่คำถามว่า GDP อย่างเดียวนั้น “เหมาะสม” หรือ “เพียงพอ” หรือไม่ที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าประเทศไทยยังคงรักษาเป้าหมายของประเทศซึ่งก็คือ Standard of Living, Well-Being, และ Happiness ไว้ได้ ในความคิดของข้าพเจ้า การใช้ GDP นั้นก็มีข้อดี คือสามารถวัดได้อย่างเป็นรูปธรรม สามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ มีหลักการที่ถูกต้องและชัดเจนในการวัด ขณะที่ดัชนีอื่นๆ ยังมีข้อวิพากวิจารณ์ถึงวิธีการวัดที่ยังไม่เป็นรูปธรรมและชัดเจนเท่า GDP ฉะนั้นจึงสรุปว่าการใช้ GDP นั้นมีความ “เหมาะสม” ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามจากอดีตจนถึงปัจจุบัน การที่ประเทศไทยใช้ GDP เป็นตัวชี้วัดในการพัฒนาประเทศนั้น ถึงแม้มันจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในแง่ทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่มันก็ได้สร้างและสั่งสมปัญหาทางสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจจะนำไปสู่การล่มสลายได้ทุกเมื่อ ฉะนั้นจึงสรุปว่าการใช้ GDP เป็นเครื่องตัวชี้วัดตัวเดียวนั้น “ไม่เพียงพอ” ดังนั้นเราจึงต้องหาตัวชี้วัดอื่นมาใช้ควบคู่กับ GDP ซึ่งตัวชี้วัดใหม่นี้ควรให้ความสำคัญกับเรื่องของปัญหาทางธรรมชาติ และทางสังคมที่เป็นผลมาจากการเติบโตของ GDP
Happy Planet Index (HPI) เป็นตัวชี้วัดเหมาะสมที่จะนำมาใช้ร่วมกับ GDP ซึ่ง HPI สะท้อนความสุขของคนในประเทศ และอยู่บนพื้นฐานของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีคุณค่า หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง HPI เป็นตัวชี้วัดความสมดุลระหว่างความสุขและธรรมชาติ ค่าของ HPI คือผลลัพธ์ของสมการดังต่อไปนี้
HPI = [ความพึงพอใจในชีวิต (Life Satisfaction) x ความยืนยาวของอายุ (Life Expectancy)]/รอยเท้านิเวศ (Ecological Footprint)
รอยเท้านิเวศ ยิ่งมากหมายถึงการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติปริมาณมาก (ยิ่งบริโภคมาก GDP ยิ่งสูง)
จากสมการจะเห็นได้ว่าประเทศที่มี HPI สูง (เนื่องจาก Ecological Footprint ต่ำ) อาจไม่ใช่ประเทศที่ประชากร “มีความสุขที่สุด” แต่เป็นประเทศที่สามารถมอบชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุขให้กับประชากรได้โดยไม่ก่อความตึงเครียดต่อระบบนิเวศหรือใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง (Ecological Footprint ยิ่งต่ำแสดงถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง) ซึ่งจะเห็นว่า HPI ไม่ได้ปฎิเสธตัวชี้วัดด้านรายได้ แต่บอกว่าความสุขที่เกิดมาจากรายได้นั้นมีต้นทุนทางธรรมชาติ
อย่างไรก็ตามการจะใช้ HPI เป็นตัวชี้วัดควบคู่กับ GDP นั้น รัฐบาลไทยจะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของคนในประเทศไม่ให้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการแสวงหาแต่เงิน แต่ควรจะแบ่งเวลาอีกครึ่งให้กับกิจกรรมทางครอบครัวและกิจกรรมของตนเองด้วยเพราะกิจกรรมเหล่านี้ก็เพิ่มความสุขได้เช่นกัน โดยรัฐบาลต้องรณรงค์อย่างจริงจังทั้งผ่านทางสื่อและผ่านทางภาษี เช่นรัฐบาลอาจให้มีการลดหย่อนภาษีกับบริษัทที่ให้ลูกจ้างทุกคนเลิกงานตรงเวลา รณรงค์ให้ทุกวันอาทิตย์เป็นวันครอบครัว โฆษณาผ่านสื่อต่างๆชี้ให้เห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัวและความสำคัญของการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด ถ้าประเทศไทยสามารถทำได้ดังนี้แล้วปัญหาทางสังคมต่างๆก็อาจจะเบาบางลงและประเทศไทยก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายของประเทศนั่นก็คือ Standard of Living, Well-Being, และ Happiness ได้อย่างยั่งยืน
Reference:
[1]
http://www.happyplanetindex.org/about/
GDP เหมาะที่จะเป็นตัววัดที่เหมาะสมสำหรับเป้าหมายของการพัฒนาประเทศ?
เป้าหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ คือ การทำให้ประชาชนมีมาตรฐานในการดำรงชีวิตที่ดี(Standard of Living) มีความกินดีอยู่ดี (Well-Being) และมีความสุข (Happiness) ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นตัวชี้วัดของทั้ง 3 อย่างนี้ดูจาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อหัวประชากร (GDP per Capita) โดยมีสมมติฐานว่าเมื่อประชาชนมีรายได้ระดับหนึ่ง ก็จะสามารถเข้าถึงปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค (Standard of Living) และเมื่อประชากรมีรายได้ที่สูงขึ้น ก็จะสามารถซื้อสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น(Well-Being) ลดข้อจำกัดทางด้านรายได้ซึ่งทำให้สามารถประกอบกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสุขได้มากขึ้น (Happiness)
สำหรับรัฐบาลเกือบทุกประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย GDP per Capita เป็นตัวชี้วัดผลสำเร็จของการพัฒนา และได้ให้ความสำคัญกับอัตราการเติบโตของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) เป็นตัวชี้วัดเพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาของประเทศ อย่างไรก็ตามผลที่ได้สำหรับประเทศไทยที่ยึด GDP เป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศกลับเป็นดังนี้ มีการปราบปรามจับกุมยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง สังคมครอบครัวเริ่มแตกสลาย ประชาชนออกห่างจากศีลธรรม ทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องยอมรับได้ มีการประท้วงและใช้ความรุนแรงโดยไม่สนใจกฎหมายบ้านเมือง สถาบันการศึกษาผลิตบัณฑิตออกมามากมายแต่กลับมีคุณภาพด้อยลง นโยบายรัฐบาลมุ่งเน้นไปที่คะแนนเสียงโดยไม่สนใจถึงผลกระทบในอนาคต สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าการใช้ GDP เป็นตัววัดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศนั้นอาจไม่เหมาะสมหรือไม่เพียงพอกับประเทศไทย ณ.ปัจจุบัน ฉะนั้นเราอาจจะต้องเปลี่ยนหรือเพิ่มตัวชี้วัดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศ เพื่อไม่ให้ปัญหาแล้วนี้มีความรุนแรงมากขึ้น แต่อันดับแรกเราควรจะต้องรู้ก่อนว่าอะไรที่เป็นจุดอ่อนของการใช้ GDP เป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศ GDP ไม่สามารถสะท้อนภาพความจริงที่ให้ปรากฏได้ทั้งหมด ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1.) GDP ไม่ได้รวมผลของ ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย เช่น การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติบริเวณอ่าวไทย ล้วนเป็นเพิ่มรายได้หรือ GDP โดย แต่ไม่ได้คิดคำนวณการหมดไปของทรัพยากรธรรมชาติที่มีวันหมด และไม่ได้คิดคำนวณถึงค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูธรรมชาติที่พอจะกอบกู้มาได้ เช่น ป่าไม้
2.) กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคม เช่น การผลิตสิ่งเสพย์ติดและสิ่งมึนเมา อาทิเช่น เหล้า, บุหรี่ ซึ่งการบริโภคสิ่งเหล่านี้จะไปรวมเป็นส่วนหนึ่งของ GDP อย่างไรก็ตามภาษีที่รัฐบาลได้ไม่สามารถครอบคลุมกับต้นทุนที่ต้องจ่ายให้กับผลกระทบจากสิ่งเสพย์ติดและสิ่งมึนเมา เช่น รัฐบาลต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับประชาชนที่มีประกันสังคมซึ่งเป็นมะเร็งจากการสูบบุหรี่ ซึ่งแน่นอนว่าต้นทุนไม่ได้ตกไปที่ภาครัฐแต่เพียงผู้เดียว เพราะต้นทุนบางส่วนยังตกไปถึงครอบครัวที่ตกป็นเหยื่อ เช่น คนเมาเหล้าขับรถไปชนเด็กนักเรียนที่เดินอยู่ริมฟุตบาท ซึ่งในกรณีนี้ประเทศไทยอาจสูญเสียทั้งทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน (คนขับ) และอนาคต (นักเรียน)
3.) การใช้ GDP เป็นตัววัด Standard of Living และ Well-Being ของประชาชนนั้นเป็นการวัดที่ไม่น่าจะมีประสิทธิภาพกับประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำของรายได้ที่ค่อนข้างสูง (GiNi ประมาณ 40) อย่างประเทศไทย เพราะ GDP per Capita เป็นค่าเฉลี่ย จึงมีทั้งประชากรที่อยู่เหนือค่าเฉลี่ยและใต้ค่าเฉลี่ย ซึ่งตัวชี้วัดไม่สามารถระบุได้ว่าบุคคลที่อยู่ใต้ค่าเฉลี่ยนั้นมีจำนวนมากน้อยเพียงใดและมีปัญหาความยากจนมากน้อยเพียงใด หากมีการกระจุกตัวของประชากรส่วนน้อยที่มีรายได้สูง แต่ประชากรส่วนใหญ่อยู่ใต้ค่าเฉลี่ย หรือเรียกอีกอย่างว่า รวยกระจุกจนกระจาย การเพิ่มขึ้นของ GDP per Capita ก็จะไม่ได้สะท้อนความอยู่ดีกินดีที่ดีขึ้นของบุคคลที่อยู่ใต้ค่าเฉลี่ย การกระจุกตัวของรายได้มักจะสะท้อนโครงสร้างระบบเศรษฐกิจที่ล้มเหลวในการเข้าถึงของทรัพยากร คนจนมักจะติดอยู่ในวงจรความยากจน ไม่สามารถยกระดับรายได้ด้วยตนเองได้ เป็นสาเหตุของปัญหาอาชญากรรมของประเทศ
4.) การใช้ GDP วัด Happiness ของประชาชนผ่านความร่ำรวย โดยเชื่อว่า ถ้าประเทศมี GDP เพิ่มสูงขึ้น ประชาชนในประเทศนั้นจะร่ำรวยและมีความสุขเพิ่มขึ้น เพราะเชื่อว่ามันจะนำไปสู่การกินดีอยู่ดี การมีงานทำ และการมีเวลาประกอบกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสุข เช่น การมีเวลาพักผ่อน ออกกำลังกาย และมีเวลาอยู่กับครอบครัวจะทำให้คนมีความสุข ซึ่งนั่นก็อาจจะจริงถ้าทั้งหมดนั้นมาพร้อมกัน แต่ในความเป็นจริงนั้นในสังคมไทยมีครอบครัวจำนวนมากที่มีฐานะที่ดีแต่ก็ไม่ได้ใช้เวลาที่เหลือจากการทำงานไปพักผ่อน ออกกำลัง หรือใช้เวลาร่วมกับครอบครัว เนื่องจากต้องการหาเงินให้มากขึ้น และสำหรับครอบครัวที่ฐานะไม่ดีก็เผชิญกับแรงกดดันที่ต้องทำงานมากกว่าที่ควรเพื่อจะหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ดังนั้นเราจึงได้เห็นปัญหาทางครอบครัวทั้งระหว่างพ่อกับแม่หรือพ่อแม่กับลูกได้บ่อยครั้งผ่านทางประสบการณ์จริงและทางสื่อต่างๆ ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่การมีความมั่งคั่งจะนำไปสู่ความสุขเสมอไปเพราะความสุขของคนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมอื่นๆประกอบด้วย เช่น การมีครอบครัวที่อบอุ่นสมบูรณ์ การมีสุขภาพแข็งแรง เป็นต้น
จากข้อบกพร่องที่กล่าวมาของ GDP จึงนำมาสู่คำถามว่า GDP อย่างเดียวนั้น “เหมาะสม” หรือ “เพียงพอ” หรือไม่ที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าประเทศไทยยังคงรักษาเป้าหมายของประเทศซึ่งก็คือ Standard of Living, Well-Being, และ Happiness ไว้ได้ ในความคิดของข้าพเจ้า การใช้ GDP นั้นก็มีข้อดี คือสามารถวัดได้อย่างเป็นรูปธรรม สามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ มีหลักการที่ถูกต้องและชัดเจนในการวัด ขณะที่ดัชนีอื่นๆ ยังมีข้อวิพากวิจารณ์ถึงวิธีการวัดที่ยังไม่เป็นรูปธรรมและชัดเจนเท่า GDP ฉะนั้นจึงสรุปว่าการใช้ GDP นั้นมีความ “เหมาะสม” ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามจากอดีตจนถึงปัจจุบัน การที่ประเทศไทยใช้ GDP เป็นตัวชี้วัดในการพัฒนาประเทศนั้น ถึงแม้มันจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในแง่ทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่มันก็ได้สร้างและสั่งสมปัญหาทางสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจจะนำไปสู่การล่มสลายได้ทุกเมื่อ ฉะนั้นจึงสรุปว่าการใช้ GDP เป็นเครื่องตัวชี้วัดตัวเดียวนั้น “ไม่เพียงพอ” ดังนั้นเราจึงต้องหาตัวชี้วัดอื่นมาใช้ควบคู่กับ GDP ซึ่งตัวชี้วัดใหม่นี้ควรให้ความสำคัญกับเรื่องของปัญหาทางธรรมชาติ และทางสังคมที่เป็นผลมาจากการเติบโตของ GDP
Happy Planet Index (HPI) เป็นตัวชี้วัดเหมาะสมที่จะนำมาใช้ร่วมกับ GDP ซึ่ง HPI สะท้อนความสุขของคนในประเทศ และอยู่บนพื้นฐานของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีคุณค่า หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง HPI เป็นตัวชี้วัดความสมดุลระหว่างความสุขและธรรมชาติ ค่าของ HPI คือผลลัพธ์ของสมการดังต่อไปนี้
HPI = [ความพึงพอใจในชีวิต (Life Satisfaction) x ความยืนยาวของอายุ (Life Expectancy)]/รอยเท้านิเวศ (Ecological Footprint)
รอยเท้านิเวศ ยิ่งมากหมายถึงการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติปริมาณมาก (ยิ่งบริโภคมาก GDP ยิ่งสูง)
จากสมการจะเห็นได้ว่าประเทศที่มี HPI สูง (เนื่องจาก Ecological Footprint ต่ำ) อาจไม่ใช่ประเทศที่ประชากร “มีความสุขที่สุด” แต่เป็นประเทศที่สามารถมอบชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุขให้กับประชากรได้โดยไม่ก่อความตึงเครียดต่อระบบนิเวศหรือใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง (Ecological Footprint ยิ่งต่ำแสดงถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง) ซึ่งจะเห็นว่า HPI ไม่ได้ปฎิเสธตัวชี้วัดด้านรายได้ แต่บอกว่าความสุขที่เกิดมาจากรายได้นั้นมีต้นทุนทางธรรมชาติ
อย่างไรก็ตามการจะใช้ HPI เป็นตัวชี้วัดควบคู่กับ GDP นั้น รัฐบาลไทยจะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของคนในประเทศไม่ให้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการแสวงหาแต่เงิน แต่ควรจะแบ่งเวลาอีกครึ่งให้กับกิจกรรมทางครอบครัวและกิจกรรมของตนเองด้วยเพราะกิจกรรมเหล่านี้ก็เพิ่มความสุขได้เช่นกัน โดยรัฐบาลต้องรณรงค์อย่างจริงจังทั้งผ่านทางสื่อและผ่านทางภาษี เช่นรัฐบาลอาจให้มีการลดหย่อนภาษีกับบริษัทที่ให้ลูกจ้างทุกคนเลิกงานตรงเวลา รณรงค์ให้ทุกวันอาทิตย์เป็นวันครอบครัว โฆษณาผ่านสื่อต่างๆชี้ให้เห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัวและความสำคัญของการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด ถ้าประเทศไทยสามารถทำได้ดังนี้แล้วปัญหาทางสังคมต่างๆก็อาจจะเบาบางลงและประเทศไทยก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายของประเทศนั่นก็คือ Standard of Living, Well-Being, และ Happiness ได้อย่างยั่งยืน
Reference:
[1] http://www.happyplanetindex.org/about/