วันที่ 16 ม.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกทีมทนายหารือถึงการร่างคำฟ้องกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีกล่าวนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ในคดีรวมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมือง
โดยภายหลังการหารือ นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคและทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ประชุมสรุปว่า นายอภิสิทธิ์ จะเป็นโจทก์ที่ 1 และนายสุเทพ เป็นโจทก์ที่2 ฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสได กับพวกรวม 4 คน ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนสังกัดดีเอสไอ ในสัปดาห์หน้า ที่ศาลอาญา ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ที่กลั่นแกล้ง ยัดเยียด และตั้งข้อหาว่า บุคคลทั้งสองเป็นผู้ก่อให้เกิดการฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล เพราะในมาตรา 17 ของ พรก.ฉุกเฉิน ได้ค้มครองเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติหน้าที่ และยังคุ้มครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ออกคำสั่ง นอกจากนี้การออกคำสั่งดังกล่าวมีคำพิพากษาของศาลแพ่ง ทั้งที่ฝ่ายเสื้อแดงยื่นฟ้อง และฝ่ายเรายื่นฟ้อง โดยมีเหตผลในคำวินิจฉัยว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และการชุมนุมนั้นส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐถูกยิงตาย เกิดวิกฤตในบ้านเมือง ดังนั้นฝ่ายรัฐบาลซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อยก็มีอำนาจที่จะออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐออกไปรักษาความสงบเรียบร้อยตามที่ได้ประกาศใช้เป็นพื้นที่ต้องใช้ พรก.ฉุกเฉิน
นายถาวร กล่าวว่า พนักงานสอบสวนทั้ง 4 นาย ได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ในฐานะบุคคลธรรมดาที่กรำทำความผิด นั่นเป้นการเลี่ยงที่จะยื่นสำรวจการสอบสวนไปให้ คณะกรรมการป้องกันการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เพราะต้เองการสรุปสำนวเพื่อส่งให้อัยการ ดังนั้นการดำเนินการดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในฐานะพนักงานสอบสวนกล่าวหา แจ้งข้อหากับบุคคลที่ไม่ได้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 และมาตรา 157 และมาตรา 309 ทำให้เสื่อมเสียสิทธิเสรีภาพ ในขณะที่ถูกเชิญตัวไปในฐานะผู้ต้องหาต้องเสียสิทธิเสรีภาพในการไปไหนมาไหน และอยู่ในอำนาจของพนักงานสอบสวนเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง ดังนั้นเราก็จะฟ้องต่างกรรมต่างวาระเป็นคดีเดียว
นายถาวร กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ยังไม่มีการฟ้องร้องถึงฝ่ายการเมือง เพราะข้อเท็จจริงยังไปไม่ถึง แม้ว่าการบรรยายฟ้องของดีเอสไอ จะสอดคล้องกับเจตนาชี้นำของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ก็ตาม ซึ่งในเบื้องต้นเราก็ต้องให้ความเป็นธรรม อย่างไรก็ตามมีความมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ในการดำเนินคดีกับ นายธาริต เพราะเป็นข้อเท็จจริงชัดเจนและแน่นที่สุด ที่จะเอาผิดกับนายาริตและพวกได้ ส่วนคดีที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ตกเป็นผู้ต้องหาเมื่อส่งไปถึงอัยการ กระทรวงการพิจารณาจะเป็นอย่างนั้น สำนวนการสอบสวนนี้กฎหมายบังคับว่าดีเอสไอ จะต้องส่งให้ ปปช. เมื่อไม่ส่งให้ปปช. ก็เป็นสำนวนการสอบสวนที่ไม่ชอบ พนักงานอัยการจะต้องส่งสำนวนคืนให้ดีเอสไอเพื่อให้ปปช.ทำหน้าที่สอบสวนให้ชอบ ถึงจะส่งให้พนักงานอัยการสั่งตามน้ำหนักของพยานหลักฐาน ดังกล่าวเราก็ไม่ต้องกลัวอีก
เมื่อถามว่า ในฐานะนักกฎหมายมองจุดจบของนายธาริตในเรื่องนี้อย่างไร นายถาวร กล่าวว่า ติดคุกหัวโตแน่นอน เพราะสำนวนการสอบสวนที่เป็นลายลักษณ์อักษร กับกระบวนการสั่งสำนวน กระบวนการแจ้งข้อหาที่เป็นลายลักษณ์อักษรดิ้นไม่ได้ เมื่อกับที่กกต. ออกคำสั่งให้จัดการเลือกตั้งใหม่ จากการที่เสียงไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เนื่องจากมีผู้สมัครเพียงพรรคเดียว ซึ่งคนที่รับใช้ระบบทักษิณก็ถูกจำคุกมาแล้ว 2 กลุ่ม แลในอนาคตอยากเตือนไปยังนายธาริต ในฐานะอัยการรุ่นน้องว่าอย่าไปบ่นว่าระบอบทักษิณ ไม่ดูแลเพราะคุณเป็นถึงอธิบดี มีกฎหมายเป็นเครื่องมือ ดังนั้นขอให้ยึดหลักนิติธรรม ซึ่งการดำเนินคดีตรงนี้ จะเตือนว่าการรับใช้การเมือง โดยยึดเอาความผิด เอาความก้าวหน้าบนพื้นฐานของความไม่ชอบธรรมเป็นที่ตั้ง บทเรียนและชะตากรรมจะตามมา
นายถาวร กล่าวต่อว่า นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเพราะยังมีอีกหลายคดีที่จะดำเนินกับดีเอสไอ ซึ่งทุกดดีจะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ทั้งสิ้น และถ้าคดีไหนมีการตั้งคณะกรรมการพิเศษ ของชุดพิเศษขึ้นมาที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ออกคำสั่ง ก็จะสามารถเอาผิดถึงตัวนายกฯได้ ซึ่งตนกำลังใกล้ข้อเท็จจริงที่นายกฯเป็นผู้สั่งให้ดำเนินคดีพิเศษ เพื่อเอาผิดเป็กรณีพิเศษกับบุคคลบางคน ซึ่งคดีต่างๆ ข้อมูลพยานหลักฐานอยู่ในมือตนประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งจะทยอยเปิดออกมา คาดว่าจะมีคดีตามมาอย่างน้อย 2-3 คดี ซึ่งคนที่มัวเมาในอำนาจ หากไม่เห็นโลงศพก็ไม่หลั่งน้ำตา เพราะฉะนั้นเขายังคงสนุกสนานกับการใช้อำนาจ โดยเชื่อว่า หลังจากสภาฯปิดสมัยประชุมเมื่อไหร่ ดีเอสไอจะเดินหน้ายัดข้อกล่าวหาพยายามฆ่ากับนายอภิสิทธิ์และนายสุเพท เพิ่มขึ้นอีก แต่หากศาลได้พิจารณาคำฟ้องคดีนี้แล้ว ได้มีคำสั่งอย่าใดอย่างหนึ่งออกมาเร็วขึ้น ก็อาจทำให้ดีเอสไอชะงักและหยุดคิดได้
เมื่อถามถึงคำสั่งของศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ชี้ว่า นายบุญมี เริ่มสุข อายุ 71 ปี ที่เสียชีวิตบริเวณสี่แยกบ่อนไก่ ในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดง ไม่ได้เสียชีวิตจากกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะมีผลต่อคดีที่นายธาริตฟ้องหรือไม่ นายถาวร กล่าวว่า จะมีผลต่อการบรรยายฟ้องของเราด้วย เมื่อกระสุนปืนที่โดนผู้ตายจะมีขนาด .223 ที่เป็นกระสุนที่อยู่ในความครอบครองของเจ้าหน้าที่ และฝ่ายผู้ชุมนุม หรือกองกำลังติดอาวุธที่ใช้กระสุนชนิดเดียวกันยิงใส่ทหารด้วย จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการตายดังกล่าว เป็นกระสุนที่มาจากฝ่ายใด ฉะนั้นนายธาริตจะยัดเยียด และยืนยันได้อย่างไรว่า นายพัน คำกอง ตายเพราะกระสุนจากเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วมาเอาผิดกับบุคคลทั้งสอง ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่ากลุ่มนปช.มีผู้ติดอาวุธแฝงอยู่ ขณะเดียวกันในคำสั่งศาลคดีนายพันเองศาลก็ระบุชัดว่า เป็นผู้เดินออกมาดูเหตุการณ์ และสิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นประโยชน์ต่อความยุติธรรมที่จะชี้ให้เห็นว่าดีเอสไอ พยายามยัดเยียดว่าฝ่ายทหารเป็นผู้ยิงนั้นไม่เป็นความจริง ซึ่งพรรคเห็นว่า เมื่อความจริงปรากฏต่อสาธารชน จะทำให้ความยุติธรรมกลับคืนมา โดยไม่กระดี้กระด้ากับคำสั่งของศาลอาญาในคดีนายบุญมี แต่ดีใจที่ทหารได้รับความเป็นธรรมจากคำวินิจฉัยนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าที่ผ่านมา ดีเอสไอสรุปตามใบสั่งทางการเมืองเพื่อเบรกเกมเอาผิดกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพให้ได้
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU9ETXlNRFF4TXc9PQ==&subcatid=
“มาร์ค-เทพเทือก” เตรียมยื่นศาลอาญา ฟ้อง “ธาริต” กับพวกรวม 4 คนสัปดาห์หน้า
โดยภายหลังการหารือ นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคและทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ประชุมสรุปว่า นายอภิสิทธิ์ จะเป็นโจทก์ที่ 1 และนายสุเทพ เป็นโจทก์ที่2 ฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสได กับพวกรวม 4 คน ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนสังกัดดีเอสไอ ในสัปดาห์หน้า ที่ศาลอาญา ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ที่กลั่นแกล้ง ยัดเยียด และตั้งข้อหาว่า บุคคลทั้งสองเป็นผู้ก่อให้เกิดการฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล เพราะในมาตรา 17 ของ พรก.ฉุกเฉิน ได้ค้มครองเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติหน้าที่ และยังคุ้มครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ออกคำสั่ง นอกจากนี้การออกคำสั่งดังกล่าวมีคำพิพากษาของศาลแพ่ง ทั้งที่ฝ่ายเสื้อแดงยื่นฟ้อง และฝ่ายเรายื่นฟ้อง โดยมีเหตผลในคำวินิจฉัยว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และการชุมนุมนั้นส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐถูกยิงตาย เกิดวิกฤตในบ้านเมือง ดังนั้นฝ่ายรัฐบาลซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อยก็มีอำนาจที่จะออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐออกไปรักษาความสงบเรียบร้อยตามที่ได้ประกาศใช้เป็นพื้นที่ต้องใช้ พรก.ฉุกเฉิน
นายถาวร กล่าวว่า พนักงานสอบสวนทั้ง 4 นาย ได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ในฐานะบุคคลธรรมดาที่กรำทำความผิด นั่นเป้นการเลี่ยงที่จะยื่นสำรวจการสอบสวนไปให้ คณะกรรมการป้องกันการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เพราะต้เองการสรุปสำนวเพื่อส่งให้อัยการ ดังนั้นการดำเนินการดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในฐานะพนักงานสอบสวนกล่าวหา แจ้งข้อหากับบุคคลที่ไม่ได้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 และมาตรา 157 และมาตรา 309 ทำให้เสื่อมเสียสิทธิเสรีภาพ ในขณะที่ถูกเชิญตัวไปในฐานะผู้ต้องหาต้องเสียสิทธิเสรีภาพในการไปไหนมาไหน และอยู่ในอำนาจของพนักงานสอบสวนเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง ดังนั้นเราก็จะฟ้องต่างกรรมต่างวาระเป็นคดีเดียว
นายถาวร กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ยังไม่มีการฟ้องร้องถึงฝ่ายการเมือง เพราะข้อเท็จจริงยังไปไม่ถึง แม้ว่าการบรรยายฟ้องของดีเอสไอ จะสอดคล้องกับเจตนาชี้นำของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ก็ตาม ซึ่งในเบื้องต้นเราก็ต้องให้ความเป็นธรรม อย่างไรก็ตามมีความมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ในการดำเนินคดีกับ นายธาริต เพราะเป็นข้อเท็จจริงชัดเจนและแน่นที่สุด ที่จะเอาผิดกับนายาริตและพวกได้ ส่วนคดีที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ตกเป็นผู้ต้องหาเมื่อส่งไปถึงอัยการ กระทรวงการพิจารณาจะเป็นอย่างนั้น สำนวนการสอบสวนนี้กฎหมายบังคับว่าดีเอสไอ จะต้องส่งให้ ปปช. เมื่อไม่ส่งให้ปปช. ก็เป็นสำนวนการสอบสวนที่ไม่ชอบ พนักงานอัยการจะต้องส่งสำนวนคืนให้ดีเอสไอเพื่อให้ปปช.ทำหน้าที่สอบสวนให้ชอบ ถึงจะส่งให้พนักงานอัยการสั่งตามน้ำหนักของพยานหลักฐาน ดังกล่าวเราก็ไม่ต้องกลัวอีก
เมื่อถามว่า ในฐานะนักกฎหมายมองจุดจบของนายธาริตในเรื่องนี้อย่างไร นายถาวร กล่าวว่า ติดคุกหัวโตแน่นอน เพราะสำนวนการสอบสวนที่เป็นลายลักษณ์อักษร กับกระบวนการสั่งสำนวน กระบวนการแจ้งข้อหาที่เป็นลายลักษณ์อักษรดิ้นไม่ได้ เมื่อกับที่กกต. ออกคำสั่งให้จัดการเลือกตั้งใหม่ จากการที่เสียงไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เนื่องจากมีผู้สมัครเพียงพรรคเดียว ซึ่งคนที่รับใช้ระบบทักษิณก็ถูกจำคุกมาแล้ว 2 กลุ่ม แลในอนาคตอยากเตือนไปยังนายธาริต ในฐานะอัยการรุ่นน้องว่าอย่าไปบ่นว่าระบอบทักษิณ ไม่ดูแลเพราะคุณเป็นถึงอธิบดี มีกฎหมายเป็นเครื่องมือ ดังนั้นขอให้ยึดหลักนิติธรรม ซึ่งการดำเนินคดีตรงนี้ จะเตือนว่าการรับใช้การเมือง โดยยึดเอาความผิด เอาความก้าวหน้าบนพื้นฐานของความไม่ชอบธรรมเป็นที่ตั้ง บทเรียนและชะตากรรมจะตามมา
นายถาวร กล่าวต่อว่า นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเพราะยังมีอีกหลายคดีที่จะดำเนินกับดีเอสไอ ซึ่งทุกดดีจะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ทั้งสิ้น และถ้าคดีไหนมีการตั้งคณะกรรมการพิเศษ ของชุดพิเศษขึ้นมาที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ออกคำสั่ง ก็จะสามารถเอาผิดถึงตัวนายกฯได้ ซึ่งตนกำลังใกล้ข้อเท็จจริงที่นายกฯเป็นผู้สั่งให้ดำเนินคดีพิเศษ เพื่อเอาผิดเป็กรณีพิเศษกับบุคคลบางคน ซึ่งคดีต่างๆ ข้อมูลพยานหลักฐานอยู่ในมือตนประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งจะทยอยเปิดออกมา คาดว่าจะมีคดีตามมาอย่างน้อย 2-3 คดี ซึ่งคนที่มัวเมาในอำนาจ หากไม่เห็นโลงศพก็ไม่หลั่งน้ำตา เพราะฉะนั้นเขายังคงสนุกสนานกับการใช้อำนาจ โดยเชื่อว่า หลังจากสภาฯปิดสมัยประชุมเมื่อไหร่ ดีเอสไอจะเดินหน้ายัดข้อกล่าวหาพยายามฆ่ากับนายอภิสิทธิ์และนายสุเพท เพิ่มขึ้นอีก แต่หากศาลได้พิจารณาคำฟ้องคดีนี้แล้ว ได้มีคำสั่งอย่าใดอย่างหนึ่งออกมาเร็วขึ้น ก็อาจทำให้ดีเอสไอชะงักและหยุดคิดได้
เมื่อถามถึงคำสั่งของศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ชี้ว่า นายบุญมี เริ่มสุข อายุ 71 ปี ที่เสียชีวิตบริเวณสี่แยกบ่อนไก่ ในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดง ไม่ได้เสียชีวิตจากกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะมีผลต่อคดีที่นายธาริตฟ้องหรือไม่ นายถาวร กล่าวว่า จะมีผลต่อการบรรยายฟ้องของเราด้วย เมื่อกระสุนปืนที่โดนผู้ตายจะมีขนาด .223 ที่เป็นกระสุนที่อยู่ในความครอบครองของเจ้าหน้าที่ และฝ่ายผู้ชุมนุม หรือกองกำลังติดอาวุธที่ใช้กระสุนชนิดเดียวกันยิงใส่ทหารด้วย จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการตายดังกล่าว เป็นกระสุนที่มาจากฝ่ายใด ฉะนั้นนายธาริตจะยัดเยียด และยืนยันได้อย่างไรว่า นายพัน คำกอง ตายเพราะกระสุนจากเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วมาเอาผิดกับบุคคลทั้งสอง ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่ากลุ่มนปช.มีผู้ติดอาวุธแฝงอยู่ ขณะเดียวกันในคำสั่งศาลคดีนายพันเองศาลก็ระบุชัดว่า เป็นผู้เดินออกมาดูเหตุการณ์ และสิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นประโยชน์ต่อความยุติธรรมที่จะชี้ให้เห็นว่าดีเอสไอ พยายามยัดเยียดว่าฝ่ายทหารเป็นผู้ยิงนั้นไม่เป็นความจริง ซึ่งพรรคเห็นว่า เมื่อความจริงปรากฏต่อสาธารชน จะทำให้ความยุติธรรมกลับคืนมา โดยไม่กระดี้กระด้ากับคำสั่งของศาลอาญาในคดีนายบุญมี แต่ดีใจที่ทหารได้รับความเป็นธรรมจากคำวินิจฉัยนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าที่ผ่านมา ดีเอสไอสรุปตามใบสั่งทางการเมืองเพื่อเบรกเกมเอาผิดกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพให้ได้
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU9ETXlNRFF4TXc9PQ==&subcatid=