สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ตามที่ท่าน Zadkiel กล่าวนะครับ ศาสนาคริสต์ไม่มีเรื่องกรรม กฏแห่งกรรม หรือการเวียนว่ายตายเกิด อดีตชาติ หรืออะทำนองนี้
ดังนั้นอย่าโยงเอาความเชื่อของพุทธมาโยนให้คริสต์นะครับ
ส่วนเรื่องที่ จขกท ถาม
มุมมองของผม ผมมองว่าคือพระพรครับ
พระพรแห่งความทุกข์ยากนั้น เราอาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะเอาเสียเลย
แต่สำหรับผม ผมมองว่าที่พระเจ้าทรงให้คนบางคนต้องทุกข์ยาก ลำบาก พิกลพิการ นั้น
ไม่ได้เป็นเพราะพระองค์ใจร้ายแต่อย่างไร บางครั้งที่คนทั่วไปมองว่าเขาน่าสงสาร
แต่สำหรับเขาเหล่านั้น เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าลงแต่อย่างใด บางคนพยายามที่จะต่ือสู้
และหยัดยืนขึ้น เพื่อให้เป็นกำลังใจในการต่อสู้แก่คนอื่นๆ
เช่นเดียวกัน สำหรับพระเจ้าแล้ว พระองค์ให้บุคคลเหล่านี้ เป็นเครื่องหนุนใจแก่คนทั้งหลาย
และให้คนเหล่านี้เป็นแหล่งแห่งกิจการของความรัก เพราะหากขาดผู้ทุกข์ยากแล้วกิจการของความรักก็ยากจะเกิดได้อย่างชัดแจ้ง
และเมื่อบุคคลเหล่านี้มีอยู่ในสังคม ก็ย่อมเป็นช่องทางให้คนทั้งหลายได้แสดงความปรารถนาดีต่อกันช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกัน รักกัน
และมีเมตตาต่อกันมากขึ้น พระเจ้าทรงกระทำให้คนทั้งหลายแตกต่างเพื่อเกิดการเปิดใจเข้าหากัน เพื่อเข้าใจกัน อยู่ร่วมกันอย่างเมตตาผาสุก
และช่วยเหลือกัน รวมทั้งแสดงกิจการของความรักต่อกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจเรียกได้ คนเหล่านี้ที่เรารู้สึกว่าเขาน่าสงสารกลับเป็นผู้ยิ่งใหญ่
ที่ทำให้เราทั้งหลายได้แสดงความดีงามของเรา ได้แสดงกิจการที่ดีของเรา เอาง่ายๆว่า เราได้กระทำดี เพราะมีพวกเขาอยู่ร่วมกับเราในสังคม
ในทางตรงกันข้าม หากเรารู้ว่ามีบุคคลเหล่านี้ แต่เรากลับไม่ใยดี ดูถูก และไม่ช่วยเหลือ ขับเขาออกจากสังคม ไร้ซึ่งเมตตาธรรมแล้ว
กิจการเหล่านั้น ก็เป็นพยานให้เราเป็นอย่างดีในการตัดสินเรา เมื่อเรา อยู่เฉพาะพระพักตร์ขององค์พระผู้ทรงยุติธรรม ในวันแห่งการพิพากษา
ดังนั้น ความทุกข์ยากที่เราคิดว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรมกับเขา แท้จริงแล้วเขาได้รับความยุติธรรมจากพระองค์โดยแท้จริง
ความยุติธรรมแห่งการมีชีวิต และความยุติธรรมที่มีศักดิ์และสิทธิ์เท่าเทียมกับคนอื่นๆ
พระเจ้าทรงให้ผู้ต่ำต้อยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในพระอาณาจักรของพระองค์เสมอ
ดังนั้นอย่าโยงเอาความเชื่อของพุทธมาโยนให้คริสต์นะครับ
ส่วนเรื่องที่ จขกท ถาม
มุมมองของผม ผมมองว่าคือพระพรครับ
พระพรแห่งความทุกข์ยากนั้น เราอาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะเอาเสียเลย
แต่สำหรับผม ผมมองว่าที่พระเจ้าทรงให้คนบางคนต้องทุกข์ยาก ลำบาก พิกลพิการ นั้น
ไม่ได้เป็นเพราะพระองค์ใจร้ายแต่อย่างไร บางครั้งที่คนทั่วไปมองว่าเขาน่าสงสาร
แต่สำหรับเขาเหล่านั้น เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าลงแต่อย่างใด บางคนพยายามที่จะต่ือสู้
และหยัดยืนขึ้น เพื่อให้เป็นกำลังใจในการต่อสู้แก่คนอื่นๆ
เช่นเดียวกัน สำหรับพระเจ้าแล้ว พระองค์ให้บุคคลเหล่านี้ เป็นเครื่องหนุนใจแก่คนทั้งหลาย
และให้คนเหล่านี้เป็นแหล่งแห่งกิจการของความรัก เพราะหากขาดผู้ทุกข์ยากแล้วกิจการของความรักก็ยากจะเกิดได้อย่างชัดแจ้ง
และเมื่อบุคคลเหล่านี้มีอยู่ในสังคม ก็ย่อมเป็นช่องทางให้คนทั้งหลายได้แสดงความปรารถนาดีต่อกันช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกัน รักกัน
และมีเมตตาต่อกันมากขึ้น พระเจ้าทรงกระทำให้คนทั้งหลายแตกต่างเพื่อเกิดการเปิดใจเข้าหากัน เพื่อเข้าใจกัน อยู่ร่วมกันอย่างเมตตาผาสุก
และช่วยเหลือกัน รวมทั้งแสดงกิจการของความรักต่อกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจเรียกได้ คนเหล่านี้ที่เรารู้สึกว่าเขาน่าสงสารกลับเป็นผู้ยิ่งใหญ่
ที่ทำให้เราทั้งหลายได้แสดงความดีงามของเรา ได้แสดงกิจการที่ดีของเรา เอาง่ายๆว่า เราได้กระทำดี เพราะมีพวกเขาอยู่ร่วมกับเราในสังคม
ในทางตรงกันข้าม หากเรารู้ว่ามีบุคคลเหล่านี้ แต่เรากลับไม่ใยดี ดูถูก และไม่ช่วยเหลือ ขับเขาออกจากสังคม ไร้ซึ่งเมตตาธรรมแล้ว
กิจการเหล่านั้น ก็เป็นพยานให้เราเป็นอย่างดีในการตัดสินเรา เมื่อเรา อยู่เฉพาะพระพักตร์ขององค์พระผู้ทรงยุติธรรม ในวันแห่งการพิพากษา
ดังนั้น ความทุกข์ยากที่เราคิดว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรมกับเขา แท้จริงแล้วเขาได้รับความยุติธรรมจากพระองค์โดยแท้จริง
ความยุติธรรมแห่งการมีชีวิต และความยุติธรรมที่มีศักดิ์และสิทธิ์เท่าเทียมกับคนอื่นๆ
พระเจ้าทรงให้ผู้ต่ำต้อยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในพระอาณาจักรของพระองค์เสมอ
แสดงความคิดเห็น
ศาสนาคริสต์มีคำอธิบายเกี่ยวกับเด็กที่มีความผิดปกติแต่กำเนิดอย่างไรคะ