มันช่างเป็นยามบ่ายที่น่าเบื่อหน่าย อากาศร้อนอบอ้าวติดต่อกันมาหลายวันแล้ว หนังสือที่กองสุมกันอยู่ภายในร้านพากันส่งกลิ่นพิเศษเฉพาะตัวออกมา กลิ่นที่เกิดจากกระดาษเก่าๆ จำนวนมากมาอยู่รวมกัน กลิ่นของความทรงจำที่ถูกสุมซ้อนทับถม กลิ่นที่ทำให้แม้แต่การไหลของกาลเวลายังต้องบิดเบี้ยว
ฟูล รู้จักดีเพราะมันเป็นกลิ่นของร้านหนังสือแห่งนี้
ร้านหนังสือที่ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป หรืออย่างน้อยเขาก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นที่ไหน เมื่อไร และจะสิ้นสุดลงอย่างไร ถึงแม้เขารู้สึกมั่นใจว่ามันน่าจะมีจุดเริ่มต้น และจุดจบ เหมือนกับสิ่งอื่นๆ ทั้งหลาย แต่เขากลับไม่อาจจินตนาการไปถึงได้
'เหมือนกับจักรวาลข้างนอกนั่น ที่ทุกคนต่างคิดว่าต้องมีจุดเริ่มต้นและจุดจบเช่นกัน แต่คนพวกนั้นก็ยังไม่อาจมั่นใจได้อย่างแท้จริง ว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่' นั่นยังไม่รวมถึงก่อนหน้าที่จะมีจักรวาลแห่งนี้เกิดขึ้น และยังหลังจากนั้นอีก 'ก็คงไม่แตกต่างจากร้านหนังสือแห่งนี้นั่นเอง'
ส่วนเรื่องที่ว่าตัวเขาเองนั้นเป็นใคร มาจากไหน และกลายมาเป็น คนเฝ้าหนังสือ เป็นเจ้าของร้านหนังสือแห่งนี้ได้อย่างไรนั้น เขาเลิกใส่ใจคิดถึงไปนานแล้ว
'เด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างนะ นี่ก็หลายวันแล้ว'
เขาจะรู้สึกสบายใจมากกว่านี้หากว่าหนังสือนิทานเล่มนั้นเลือกเป้าหมายที่ไม่ใช่เด็ก จริงอยู่ที่เด็กมีพลังแห่งจินตนาการสูงกว่าพวกผู้ใหญ่ เพราะกระบวนการเรียนรู้ วิถีชีวิต และสังคมที่มนุษย์สร้างสมขึ้นมานั้น จะค่อยๆ ลดทอนมันลงไปเรื่อยๆ เป้าหมายในชีวิตที่สามารถจับต้องได้จะถูกกำหนดเพื่อให้ทุกคนมุ่งมั่นก้าวไปให้ถึง มันเป็นขั้นตอนในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์
เขาขยับย้ายที่หนังสือบนชั้นสองสามเล่มอย่างเลื่อนลอย ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่มีทางจะเละเทะ หรือเป็นระเบียบมากกว่าที่เคยเป็นมา เป็นอยู่ในตอนนี้ หรือจะเป็นต่อไป แต่เขาก็ยังคงทำมันอยู่ เพื่อผ่านวันเวลาต่อไป
'อีกแล้ว'
เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจ้องมองจากหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่บนชั้นวาง มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ใน สถานที่หนึ่ง จะมี หนังสือแท้ เพียงเล่มเดียวที่จะได้พบเป้าหมายของมัน ส่วนหนังสือแท้ที่เหลือก็จะค่อยๆ หายไปจากร้าน 'ส่วนพวกมันจะหายไปอยู่ที่ไหน นั่นก็เป็นความลับอีกอย่างหนึ่ง' เพื่อรอคอยให้ถึงช่วงเวลาของพวกมันอีกครั้ง
เขาลากเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งมาก่อนขึ้นไปยืน ที่ชั้นบนสุด หนังสือเล่มหนึ่งค่อยๆ ถูกหยิบออกมาอย่างระวัง เขามองดูปกของมัน หัวคิ้วทั้งสองค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน
'นิยายรักเศร้า'
'มันคงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ' ทั้งๆ ที่เขารู้ดีว่าไม่มีความบังเอิญอยู่ภายในร้านหนังสือแห่งนี้ มันต้องมีเหตุผลเสมอ เพียงแต่ว่าเราจะเข้าใจมันได้หรือไม่เท่านั้น
เขาก้าวลงมายืนอยู่บนพื้น ในตอนที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น เขาจะรู้สึกยินดีเสมอเมื่อมีลูกค้าก้าวเข้ามาภายในร้าน มันเป็นช่วงเวลาที่เขาจะได้พูดคุยกับผู้คนจริงๆ ที่ไม่ใช่จินตนาการ หรือความทรงจำของใครที่ถูกเก็บกักเอาไว้ภายในหนังสือ หรือไม่ใช่จินตนาการจากหนังสือแท้พวกนี้
แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกไม่ค่อยยินดีนัก
“สวัสดีครับ...โอ ที่นี่มีหนังสือเยอะอย่างที่ว่าจริงๆ ”
รอยยิ้มแบบเจ้าของร้านปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขาทันที เขาลดหนังสือในมือลงถือแบบสบายๆ แต่กลับรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของมันที่มากกว่าปกติ 'มันกำลังดิ้นรนบางอย่าง'
“สวัสดีครับ ต้องการให้ผมช่วยหาหนังสืออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ” เขาถามไปตามความเคยชิน ลูกค้าส่วนใหญ่มักชอบค้นหาด้วยตัวเองมากกว่า แต่ก็มีบางครั้งที่พวกเขาต้องการหนังสือบางเล่ม บางประเภทอยู่แล้วในใจ ซึ่งเขาสามารถช่วยลดทอนเวลาลงได้บ้าง
“คุณพอจะมีหนังสือที่เกี่ยวกับพวกการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ หรือทำสวนครัวบ้างไหม”
เขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนชี้มือไปที่มุมห้อง
“น่าจะมีอยู่แถวนั้นหลายเล่ม แต่คงต้องหาดูหน่อยนะครับ”
“ขอบคุณ” ลูกค้าคนนั้นเดินไปตามที่เขาบอก
เขาพยายามจะวางหนังสือที่ถืออยู่ในมือกลับขึ้นไปบนชั้น แต่มันไม่มีที่ว่างเลยสักแห่ง และเมื่อเขาคิดจะวางมันลงรวมกับกองหนังสือที่อยู่บนพื้น มันก็พยายามต่อต้าน จนเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้
“ฉันชื่อเอก บ้านอยู่ซอยเจ็ดนี่เอง” ลูกค้าคนเดิมชวนคุย ในขณะที่กำลังค้นกองหนังสือตรงตำแหน่งที่เขาชี้บอก
“ผมชื่อฟูล ยินดีที่ได้รู้จักครับ” จำนวนตัวเลขนั้นสะกิดใจเขา 'เจ็ด' ดูเหมือนจะเป็นซอยเดียวกันกับเด็กที่ชื่อ พอ คนนั้น และคุณยายของเขา หนังสือเล่มที่อยู่ในมือถูกขยับซ่อนไว้ด้านหลังอย่างไม่ตั้งใจ
“เล่มนี้ราคาเท่าไร” ลูกค้ายกหนังสือในมือที่พิจารณามาครู่หนึ่ง หันหน้าปกให้เขาดู มันมีภาพของดอกไม้หลากสีสวยงามอย่างที่หนังสือประเภทนี้ควรจะเป็น
มีคำพูดกล่าวไว้ว่า 'อย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปก' แต่ถึงอย่างนั้น หน้าปก หรือ หน้าตา ย่อมสามารถบ่งบอกถึงบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน เพียงแต่เราจำเป็นต้องสำรวจมองอย่างตั้งใจ อีกทั้งยังจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์เพื่อช่วยในการตัดสิน แต่ถึงอย่างนั้นก็จงอย่าลืมว่า คำพูดที่สามารถมีชีวิตข้ามผ่านกาลเวลามาได้นั้นย่อมต้องมีเหตุผลอันควร
“จะมีราคาเขียนไว้ด้านในปกของหนังสือทุกเล่มครับ” ก็ 'เกือบทุกเล่มนะ' ยกเว้นแต่หนังสือแท้เท่านั้น เพราะพวกมันไม่อาจตีราคาได้
“อ้อ” เสียงของลูกค้าเงียบไป แล้วถูกแทนที่ด้วยเสียงพลิกหน้ากระดาษ “เอ่อ...ราคานี้ยังต่อรองได้อีกไหม”
“ได้สิครับ” เขาตอบยิ้มๆ แบบพ่อค้าเช่นเดิม ตั้งแต่เริ่มต้นมีการแลกเปลี่ยน สิ่งที่เรียกว่าการต่อรองก็เกิดขึ้นพร้อมกัน ถึงแม้ว่ารายได้จากการขายหนังสือจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่การได้ต่อรองกับลูกค้านั้นนับเป็นความสนุกสนานอย่างหนึ่ง
ทั้งคู่มีการพูดคุยโต้ตอบกันตามมารยาทอีกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะนั่งลงที่โต๊ะทำงาน แล้วหลังจากนั้นไม่นานลูกค้าคนแรก และคนเดียวของบ่ายวันนี้ก็เดินมาพร้อมกับหนังสือสามเล่มในมือ
“ทั้งหมดนี้สองร้อยบาทได้ไหม” ลูกค้าหยั่งเชิง
“คงจะไม่ได้หรอกครับ” เขาตอบออกไปก่อนที่จะเปิดดูปกด้านในเพื่อตรวจดูราคาเสียอีก 'สองร้อยสี่สิบ' เขาบวกเลขอย่างรวดเร็ว “สองร้อยยี่สิบดีไหมครับ” เขาเริ่มที่ครึ่งทาง
“ตกลง” ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นลูกค้าประเภทที่ไม่จริงจังกับการต่อรองราคาสักเท่าไร นั่นทำให้ความสนุกลดน้อยลงไปมาก
“เดี๋ยวผมหาถุงมาใส่ให้นะครับ” เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งควานลงไปข้างใต้โต๊ะ หลังจากที่ลูกค้าคนนี้กลับออกไปแล้ว วันนี้คงกลับกลายเป็นวันอันน่าเบื่อหน่ายอีกครั้ง
“นี่หนังสืออะไร” ลูกค้าถามด้วยความสงสัย ก่อนเอื้อมมือมาหาหนังสือนิยายรักเศร้า ซึ่งเขาพยายามใช้มืออีกข้างหนึ่งวางทับปิดหน้าปกของมันเอาไว้ ราวกับไม่ต้องการให้มันมองเห็นอะไร หรือหลบหนีไปไหน
“อย่า” เขาเผลอร้องลั่นอย่างไม่ตั้งใจ มือของลูกค้าหยุดชะงักก่อนมองหน้าเขา
ความรู้สึกว่างเปล่าแล่นผ่านจากมือขึ้นมาตามแขน เตือนให้เขารู้ว่า 'ฉันไม่มีสิทธิทำแบบนี้' ในฐานะของคนเฝ้าหนังสือ ถึงแม้จะไม่เคยมีหนังสือแท้ออกไปจากร้านพร้อมกันสองเล่ม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ไม่เคยมีข้อห้ามอย่างนั้น
เขายิ้มตามแบบที่ถนัด ก่อนยกมือขึ้นจากหนังสือปลดปล่อยมันให้เป็นอิสระ “เชิญดูได้ตามสบายเลยครับ”
ลูกค้าหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นดูอย่างไม่มั่นใจ ในขณะที่เขานำหนังสือทั้งสามเล่มใส่ลงในถุง พร้อมกับเตรียมเงินทอนเอาไว้ให้เรียบร้อย และแอบสำรวจดูอาการของลูกค้าไปด้วย
บนหน้าปกมีเพียงตัวอักษรที่บอกถึงชื่อเรื่อง ไม่มีชื่อผู้แต่ง ไม่มีข้อความอื่นใด แต่นอกจากนั้นแล้ว มันก็ไม่ได้แตกต่างจากหนังสือทั่วไปเลยแม้แต่น้อย ซึ่งความจริงแล้วหนังสือเล่มใดๆ ภายในร้านแห่งนี้ ก็อาจกลายเป็น หนังสือแท้ ขึ้นมาได้ทุกเมื่อหากพวกมันต้องการ หน้ากระดาษถูกพลิกเปิดออก และบังเอิญที่หน้านั้นเป็นหน้าเดียวกับที่คุณยายเคยเปิดดูพอดี
ข้อความ 'ฉันรักเธอ' นั้นโดดเด่นออกมาทันที
“นิยายรัก...” ลูกค้าพลิกดูอีกสองสามหน้า เขารู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม “...ฉันไม่ค่อยชอบอ่านเรื่องพวกนี้สักเท่าไร” หนังสือถูกปิดแล้วส่งคืนกลับมา เขาเอื้อมมือออกไปรับด้วยความยินดี
เมื่อมือของชายต่างวัยทั้งสองจับลงบนหนังสือเล่มเดียวกัน ความทรงจำถึงเหตุการณ์บางอย่างก็วิ่งผ่านทั้งคู่ไปด้วยความเร็วแสง เร็วจนพวกเขาไม่อาจมองเห็นรายละเอียดของมัน แต่กลับหลงเหลือความรู้สึกที่ห่วงหาทิ้งไว้อย่างเนิ่นนาน
“...ขอบคุณที่มาอุดหนุนครับ” เขากล่าวออกมาในที่สุด พร้อมกับวางนิยายรักเศร้าเล่มนั้นลงบนโต๊ะ ยื่นถุงหนังสือ พร้อมกับเงินทอนส่งให้ ซึ่งลูกค้าก็รับไปด้วยอาการแปลกๆ 'เขาเองก็คงรู้สึกเหมือนกับฉัน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่' เขาไม่รู้ และไม่เคยพบเจอกับเรื่องแบบนี้มาก่อน คนทั่วไปอาจคิดว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกแปลกๆ เพี้ยนๆ แล้วปล่อยให้มันผ่านเลยไป แต่เขารู้ดีว่ามันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น
“ว่าแต่หนังสือที่นี่เยอะจริงๆ เหมือนกับที่คุณแดงเล่าให้ฟังเลย” แล้วลูกค้าก็นึกขึ้นได้ “ฉันหมายถึงคุณยายชื่อแดงที่อยู่บ้านข้างๆ กัน เธอเคยมาที่นี่ก่อนแล้ว คุณพอจะจำเธอได้ไหม”
“ครับ ผมจำได้” เขาพยักหน้า “เธอยังมีหลานชายอยู่คนหนึ่งด้วยใช่ไหมครับ”
“ใช่นั่นแหละ” ลูกค้ายังพูดต่อ “ฉันรู้สึกถูกคอกับเธอมากทีเดียว คงเป็นเพราะวัยที่ใกล้กัน คุณว่าอย่างนั้นไหม” ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อพูดถึงเธอคนนั้น เขายิ้มตอบ พร้อมกับอดเหลือบมองหนังสือบนโต๊ะเล่มนั้นไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่ามันคงไม่ได้คิดจะทำอะไรแปลกๆ อีกแล้ว
“แต่คงจะได้เจอเธออีกไม่นานแล้ว เห็นเธอบ่นว่าอยากกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดเต็มที”
ลูกค้ารายเดียวของวันนี้จากไปแล้ว ทุกสิ่งภายในร้านกลับคืนสู่ความเงียบอันไร้ระเบียบที่เขาคุ้นเคย เขากลับมานั่งลงที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง
'ถ้าร้านหนังสือแห่งนี้ไม่มีที่มาที่ไป แล้วตัวฉันเองเล่า เป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่'
ความคิดนี้หวนกลับมาหาเขาอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปนาน เขารู้ว่าตัวเองเป็น คนเฝ้าหนังสือ แต่ก่อนหน้า หรือหลังจากนั้นเล่า เขาเคยเป็นใคร เขาจะกลายเป็นอะไร หรือเขาจะต้องติดอยู่ภายในร้านหนังสือแห่งนี้ไปตลอดกาล 'เวลา' มักทำให้เขารู้สึกสับสนอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อมันไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงแบบร้านหนังสือแห่งนี้
เขานั่งจ้องเขม็งไปที่ชื่อของหนังสือซึ่งวางอยู่ตรงหน้า
'มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญในร้านหนังสือแห่งนี้'
#####
คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 13
ฟูล รู้จักดีเพราะมันเป็นกลิ่นของร้านหนังสือแห่งนี้
ร้านหนังสือที่ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป หรืออย่างน้อยเขาก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นที่ไหน เมื่อไร และจะสิ้นสุดลงอย่างไร ถึงแม้เขารู้สึกมั่นใจว่ามันน่าจะมีจุดเริ่มต้น และจุดจบ เหมือนกับสิ่งอื่นๆ ทั้งหลาย แต่เขากลับไม่อาจจินตนาการไปถึงได้
'เหมือนกับจักรวาลข้างนอกนั่น ที่ทุกคนต่างคิดว่าต้องมีจุดเริ่มต้นและจุดจบเช่นกัน แต่คนพวกนั้นก็ยังไม่อาจมั่นใจได้อย่างแท้จริง ว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่' นั่นยังไม่รวมถึงก่อนหน้าที่จะมีจักรวาลแห่งนี้เกิดขึ้น และยังหลังจากนั้นอีก 'ก็คงไม่แตกต่างจากร้านหนังสือแห่งนี้นั่นเอง'
ส่วนเรื่องที่ว่าตัวเขาเองนั้นเป็นใคร มาจากไหน และกลายมาเป็น คนเฝ้าหนังสือ เป็นเจ้าของร้านหนังสือแห่งนี้ได้อย่างไรนั้น เขาเลิกใส่ใจคิดถึงไปนานแล้ว
'เด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างนะ นี่ก็หลายวันแล้ว'
เขาจะรู้สึกสบายใจมากกว่านี้หากว่าหนังสือนิทานเล่มนั้นเลือกเป้าหมายที่ไม่ใช่เด็ก จริงอยู่ที่เด็กมีพลังแห่งจินตนาการสูงกว่าพวกผู้ใหญ่ เพราะกระบวนการเรียนรู้ วิถีชีวิต และสังคมที่มนุษย์สร้างสมขึ้นมานั้น จะค่อยๆ ลดทอนมันลงไปเรื่อยๆ เป้าหมายในชีวิตที่สามารถจับต้องได้จะถูกกำหนดเพื่อให้ทุกคนมุ่งมั่นก้าวไปให้ถึง มันเป็นขั้นตอนในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์
เขาขยับย้ายที่หนังสือบนชั้นสองสามเล่มอย่างเลื่อนลอย ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่มีทางจะเละเทะ หรือเป็นระเบียบมากกว่าที่เคยเป็นมา เป็นอยู่ในตอนนี้ หรือจะเป็นต่อไป แต่เขาก็ยังคงทำมันอยู่ เพื่อผ่านวันเวลาต่อไป
'อีกแล้ว'
เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจ้องมองจากหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่บนชั้นวาง มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ใน สถานที่หนึ่ง จะมี หนังสือแท้ เพียงเล่มเดียวที่จะได้พบเป้าหมายของมัน ส่วนหนังสือแท้ที่เหลือก็จะค่อยๆ หายไปจากร้าน 'ส่วนพวกมันจะหายไปอยู่ที่ไหน นั่นก็เป็นความลับอีกอย่างหนึ่ง' เพื่อรอคอยให้ถึงช่วงเวลาของพวกมันอีกครั้ง
เขาลากเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งมาก่อนขึ้นไปยืน ที่ชั้นบนสุด หนังสือเล่มหนึ่งค่อยๆ ถูกหยิบออกมาอย่างระวัง เขามองดูปกของมัน หัวคิ้วทั้งสองค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน
'นิยายรักเศร้า'
'มันคงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ' ทั้งๆ ที่เขารู้ดีว่าไม่มีความบังเอิญอยู่ภายในร้านหนังสือแห่งนี้ มันต้องมีเหตุผลเสมอ เพียงแต่ว่าเราจะเข้าใจมันได้หรือไม่เท่านั้น
เขาก้าวลงมายืนอยู่บนพื้น ในตอนที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น เขาจะรู้สึกยินดีเสมอเมื่อมีลูกค้าก้าวเข้ามาภายในร้าน มันเป็นช่วงเวลาที่เขาจะได้พูดคุยกับผู้คนจริงๆ ที่ไม่ใช่จินตนาการ หรือความทรงจำของใครที่ถูกเก็บกักเอาไว้ภายในหนังสือ หรือไม่ใช่จินตนาการจากหนังสือแท้พวกนี้
แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกไม่ค่อยยินดีนัก
“สวัสดีครับ...โอ ที่นี่มีหนังสือเยอะอย่างที่ว่าจริงๆ ”
รอยยิ้มแบบเจ้าของร้านปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขาทันที เขาลดหนังสือในมือลงถือแบบสบายๆ แต่กลับรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของมันที่มากกว่าปกติ 'มันกำลังดิ้นรนบางอย่าง'
“สวัสดีครับ ต้องการให้ผมช่วยหาหนังสืออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ” เขาถามไปตามความเคยชิน ลูกค้าส่วนใหญ่มักชอบค้นหาด้วยตัวเองมากกว่า แต่ก็มีบางครั้งที่พวกเขาต้องการหนังสือบางเล่ม บางประเภทอยู่แล้วในใจ ซึ่งเขาสามารถช่วยลดทอนเวลาลงได้บ้าง
“คุณพอจะมีหนังสือที่เกี่ยวกับพวกการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ หรือทำสวนครัวบ้างไหม”
เขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนชี้มือไปที่มุมห้อง
“น่าจะมีอยู่แถวนั้นหลายเล่ม แต่คงต้องหาดูหน่อยนะครับ”
“ขอบคุณ” ลูกค้าคนนั้นเดินไปตามที่เขาบอก
เขาพยายามจะวางหนังสือที่ถืออยู่ในมือกลับขึ้นไปบนชั้น แต่มันไม่มีที่ว่างเลยสักแห่ง และเมื่อเขาคิดจะวางมันลงรวมกับกองหนังสือที่อยู่บนพื้น มันก็พยายามต่อต้าน จนเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้
“ฉันชื่อเอก บ้านอยู่ซอยเจ็ดนี่เอง” ลูกค้าคนเดิมชวนคุย ในขณะที่กำลังค้นกองหนังสือตรงตำแหน่งที่เขาชี้บอก
“ผมชื่อฟูล ยินดีที่ได้รู้จักครับ” จำนวนตัวเลขนั้นสะกิดใจเขา 'เจ็ด' ดูเหมือนจะเป็นซอยเดียวกันกับเด็กที่ชื่อ พอ คนนั้น และคุณยายของเขา หนังสือเล่มที่อยู่ในมือถูกขยับซ่อนไว้ด้านหลังอย่างไม่ตั้งใจ
“เล่มนี้ราคาเท่าไร” ลูกค้ายกหนังสือในมือที่พิจารณามาครู่หนึ่ง หันหน้าปกให้เขาดู มันมีภาพของดอกไม้หลากสีสวยงามอย่างที่หนังสือประเภทนี้ควรจะเป็น
มีคำพูดกล่าวไว้ว่า 'อย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปก' แต่ถึงอย่างนั้น หน้าปก หรือ หน้าตา ย่อมสามารถบ่งบอกถึงบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน เพียงแต่เราจำเป็นต้องสำรวจมองอย่างตั้งใจ อีกทั้งยังจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์เพื่อช่วยในการตัดสิน แต่ถึงอย่างนั้นก็จงอย่าลืมว่า คำพูดที่สามารถมีชีวิตข้ามผ่านกาลเวลามาได้นั้นย่อมต้องมีเหตุผลอันควร
“จะมีราคาเขียนไว้ด้านในปกของหนังสือทุกเล่มครับ” ก็ 'เกือบทุกเล่มนะ' ยกเว้นแต่หนังสือแท้เท่านั้น เพราะพวกมันไม่อาจตีราคาได้
“อ้อ” เสียงของลูกค้าเงียบไป แล้วถูกแทนที่ด้วยเสียงพลิกหน้ากระดาษ “เอ่อ...ราคานี้ยังต่อรองได้อีกไหม”
“ได้สิครับ” เขาตอบยิ้มๆ แบบพ่อค้าเช่นเดิม ตั้งแต่เริ่มต้นมีการแลกเปลี่ยน สิ่งที่เรียกว่าการต่อรองก็เกิดขึ้นพร้อมกัน ถึงแม้ว่ารายได้จากการขายหนังสือจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่การได้ต่อรองกับลูกค้านั้นนับเป็นความสนุกสนานอย่างหนึ่ง
ทั้งคู่มีการพูดคุยโต้ตอบกันตามมารยาทอีกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะนั่งลงที่โต๊ะทำงาน แล้วหลังจากนั้นไม่นานลูกค้าคนแรก และคนเดียวของบ่ายวันนี้ก็เดินมาพร้อมกับหนังสือสามเล่มในมือ
“ทั้งหมดนี้สองร้อยบาทได้ไหม” ลูกค้าหยั่งเชิง
“คงจะไม่ได้หรอกครับ” เขาตอบออกไปก่อนที่จะเปิดดูปกด้านในเพื่อตรวจดูราคาเสียอีก 'สองร้อยสี่สิบ' เขาบวกเลขอย่างรวดเร็ว “สองร้อยยี่สิบดีไหมครับ” เขาเริ่มที่ครึ่งทาง
“ตกลง” ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นลูกค้าประเภทที่ไม่จริงจังกับการต่อรองราคาสักเท่าไร นั่นทำให้ความสนุกลดน้อยลงไปมาก
“เดี๋ยวผมหาถุงมาใส่ให้นะครับ” เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งควานลงไปข้างใต้โต๊ะ หลังจากที่ลูกค้าคนนี้กลับออกไปแล้ว วันนี้คงกลับกลายเป็นวันอันน่าเบื่อหน่ายอีกครั้ง
“นี่หนังสืออะไร” ลูกค้าถามด้วยความสงสัย ก่อนเอื้อมมือมาหาหนังสือนิยายรักเศร้า ซึ่งเขาพยายามใช้มืออีกข้างหนึ่งวางทับปิดหน้าปกของมันเอาไว้ ราวกับไม่ต้องการให้มันมองเห็นอะไร หรือหลบหนีไปไหน
“อย่า” เขาเผลอร้องลั่นอย่างไม่ตั้งใจ มือของลูกค้าหยุดชะงักก่อนมองหน้าเขา
ความรู้สึกว่างเปล่าแล่นผ่านจากมือขึ้นมาตามแขน เตือนให้เขารู้ว่า 'ฉันไม่มีสิทธิทำแบบนี้' ในฐานะของคนเฝ้าหนังสือ ถึงแม้จะไม่เคยมีหนังสือแท้ออกไปจากร้านพร้อมกันสองเล่ม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ไม่เคยมีข้อห้ามอย่างนั้น
เขายิ้มตามแบบที่ถนัด ก่อนยกมือขึ้นจากหนังสือปลดปล่อยมันให้เป็นอิสระ “เชิญดูได้ตามสบายเลยครับ”
ลูกค้าหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นดูอย่างไม่มั่นใจ ในขณะที่เขานำหนังสือทั้งสามเล่มใส่ลงในถุง พร้อมกับเตรียมเงินทอนเอาไว้ให้เรียบร้อย และแอบสำรวจดูอาการของลูกค้าไปด้วย
บนหน้าปกมีเพียงตัวอักษรที่บอกถึงชื่อเรื่อง ไม่มีชื่อผู้แต่ง ไม่มีข้อความอื่นใด แต่นอกจากนั้นแล้ว มันก็ไม่ได้แตกต่างจากหนังสือทั่วไปเลยแม้แต่น้อย ซึ่งความจริงแล้วหนังสือเล่มใดๆ ภายในร้านแห่งนี้ ก็อาจกลายเป็น หนังสือแท้ ขึ้นมาได้ทุกเมื่อหากพวกมันต้องการ หน้ากระดาษถูกพลิกเปิดออก และบังเอิญที่หน้านั้นเป็นหน้าเดียวกับที่คุณยายเคยเปิดดูพอดี
ข้อความ 'ฉันรักเธอ' นั้นโดดเด่นออกมาทันที
“นิยายรัก...” ลูกค้าพลิกดูอีกสองสามหน้า เขารู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม “...ฉันไม่ค่อยชอบอ่านเรื่องพวกนี้สักเท่าไร” หนังสือถูกปิดแล้วส่งคืนกลับมา เขาเอื้อมมือออกไปรับด้วยความยินดี
เมื่อมือของชายต่างวัยทั้งสองจับลงบนหนังสือเล่มเดียวกัน ความทรงจำถึงเหตุการณ์บางอย่างก็วิ่งผ่านทั้งคู่ไปด้วยความเร็วแสง เร็วจนพวกเขาไม่อาจมองเห็นรายละเอียดของมัน แต่กลับหลงเหลือความรู้สึกที่ห่วงหาทิ้งไว้อย่างเนิ่นนาน
“...ขอบคุณที่มาอุดหนุนครับ” เขากล่าวออกมาในที่สุด พร้อมกับวางนิยายรักเศร้าเล่มนั้นลงบนโต๊ะ ยื่นถุงหนังสือ พร้อมกับเงินทอนส่งให้ ซึ่งลูกค้าก็รับไปด้วยอาการแปลกๆ 'เขาเองก็คงรู้สึกเหมือนกับฉัน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่' เขาไม่รู้ และไม่เคยพบเจอกับเรื่องแบบนี้มาก่อน คนทั่วไปอาจคิดว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกแปลกๆ เพี้ยนๆ แล้วปล่อยให้มันผ่านเลยไป แต่เขารู้ดีว่ามันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น
“ว่าแต่หนังสือที่นี่เยอะจริงๆ เหมือนกับที่คุณแดงเล่าให้ฟังเลย” แล้วลูกค้าก็นึกขึ้นได้ “ฉันหมายถึงคุณยายชื่อแดงที่อยู่บ้านข้างๆ กัน เธอเคยมาที่นี่ก่อนแล้ว คุณพอจะจำเธอได้ไหม”
“ครับ ผมจำได้” เขาพยักหน้า “เธอยังมีหลานชายอยู่คนหนึ่งด้วยใช่ไหมครับ”
“ใช่นั่นแหละ” ลูกค้ายังพูดต่อ “ฉันรู้สึกถูกคอกับเธอมากทีเดียว คงเป็นเพราะวัยที่ใกล้กัน คุณว่าอย่างนั้นไหม” ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อพูดถึงเธอคนนั้น เขายิ้มตอบ พร้อมกับอดเหลือบมองหนังสือบนโต๊ะเล่มนั้นไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่ามันคงไม่ได้คิดจะทำอะไรแปลกๆ อีกแล้ว
“แต่คงจะได้เจอเธออีกไม่นานแล้ว เห็นเธอบ่นว่าอยากกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดเต็มที”
ลูกค้ารายเดียวของวันนี้จากไปแล้ว ทุกสิ่งภายในร้านกลับคืนสู่ความเงียบอันไร้ระเบียบที่เขาคุ้นเคย เขากลับมานั่งลงที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง
'ถ้าร้านหนังสือแห่งนี้ไม่มีที่มาที่ไป แล้วตัวฉันเองเล่า เป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่'
ความคิดนี้หวนกลับมาหาเขาอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปนาน เขารู้ว่าตัวเองเป็น คนเฝ้าหนังสือ แต่ก่อนหน้า หรือหลังจากนั้นเล่า เขาเคยเป็นใคร เขาจะกลายเป็นอะไร หรือเขาจะต้องติดอยู่ภายในร้านหนังสือแห่งนี้ไปตลอดกาล 'เวลา' มักทำให้เขารู้สึกสับสนอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อมันไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงแบบร้านหนังสือแห่งนี้
เขานั่งจ้องเขม็งไปที่ชื่อของหนังสือซึ่งวางอยู่ตรงหน้า
'มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญในร้านหนังสือแห่งนี้'
#####