ไดอารี่การเก็บเงินและลงทุนของผม ตอนที่ 5 : โรงหนังบนยอดเขา

สำหรับคนยังไม่ได้อ่านตอนแรกๆครับ.
ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/30024509
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/30027751
ตอนที่ 3 http://pantip.com/topic/30030578
ตอนที่ 4 http://pantip.com/topic/30034136

**** เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นช่วงตั้งแต่ปลายปี 2007-2009 ครับ.

จะมาให้ดูบทสรุปกับ หุ้น M ของผมครับ

หลังจากที่ได้เก็บมาในครอบครองที่ราคา 15.90  เหมือนตอนที่  2 นั้น แต่พอเรามาคำนวณเพื่อหาความทุกข์ เอ๊ย เพื่อหามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท กลับได้ 6 บาท ความรู้สึกทำไมมันต่างกับวันแรกที่เราซื้อ หุ้นตัวเดียวกันที่ราคาเท่ากันด้วยซ้ำ! ความรู้สึกที่ดีกับหุ้นตัวนี้ กลับรู้สึกหดหู่อย่างหาที่กลับมาไม่ถูก เอาวะ ไหนๆก็ครอบครองแล้ว ถือต่อ เพราะมันเป็นเมกาเทรนดดด์เม่าบัลเล่ต์

และแล้วเราก็ไม่ได้ใส่ใจกับหุ้นตัวนี้อีก และเก็บตังค์ไปเรื่อยๆ เริ่มไปสนใจหุ้นตัวอื่น (จริงๆยังกลับไปดูเป็นครั้งคราว) ไม่กี่เดือนถัดมา หุ้นที่เราคิดว่า “แพง” แล้วมันยัง “แพง” ขึ้นไปอีก (ราคา 19.xx!!! ใครมันจะซื้อลงฟร่ะ!!!! ) แต่เอ๊ะ! เราพลาดอะไรหรือเปล่า หรือว่าเราคิดเผื่อมากเกินไป อย่างที่เคยบอกไปละมันเป็นเมกาเทรนดดดดด์ มาแน่ๆๆๆ (ณ ขณะนั้นประมาณต้นปี 2008 ก่อนวิกฤตการเงินที่อเมริกาไม่กี่เดือนครับ กำลังมีความสุขมากกก ณ ตอนนั้น) เอาล่ะ รวยเป็นรวย “ซื้อ”5555!!!

และแล้วในใจผมก็มาอีกแล้ว
ฝ่ายที่หนึ่ง “ นี่มัน overvalue แล้วนะ ที่คำนวณ ก่อนหน้านี้ มันแค่ 6 บาทไม่ใช่เหรอ?”
ฝ่ายที่สอง “เหอะๆ สองคราวที่แล้ว อั๊วถูกมาสองครั้งแล้วนะ ไม่ซื้อตอนนี้จะไปซื้อตอนที่มันแพงกว่าเรอะ ตกรถ* ไม่รู้นา”
ฝ่ายที่หนึ่ง “เสียดายดีกว่าเสียใจนะเฟร้ย”
............... and so on and so on....  (นี่สามตอนแล้วนะพวกลื้อ!!!)

เมื่อความโลภเข้าครอบงำ ก็ค่อยๆทยอย ซื้อทีละพันหุ้นที่ 19.xx (สุดยอดดอยเลยนะตัวเธอวว์!) จนมีอยู่ประมาณ 4 พันหุ้น โดยที่มีต้นทุนเฉลี่ย 17.xx เราก็มั่นใจว่าหุ้นนี้ มันไปที่  25 แน่นอน (เป็นความฝันอันไร้ซึ่งหลักการ หรือ เหตุผล โปรดพิจารณาและอย่าทำตามนะครับ!!)  อย่างนี้เราก็กำไร หุ้นละ 8 บาท กี่หุ้นหล่ะ สี่พันหุ้น  โฮะๆๆๆ อย่างนี้กำไรสามหมื่น ภายใน 3 เดือน  จากทุนเกือบๆ แปดหมื่นนี่มัน return 30% ภายใน 3 เดือน   ตรูจะเป็นเมพพพพ เอ๊ย เทพพพ!  ตอนไปนั่งฟังประชุมผู้ถือหุ้นกับที่บริษัทของเรานี้มีแผนเพียบ อนาคตนี่สดใส  นี่ตรูคิดถูกแล้วที่ เอาเงินเก็บประมาณ 1 ใน 4 ของทั้งหมดมาลงที่บริษัทฯ นี้ 55555(ไว้เขียนเกี่ยวกับการไปประชุมผู้ถือหุ้นตอนอื่นๆนะครับ)

และแล้วทุกคนครับคงเคยได้ยินคำนี้ “สรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง”  มีเกิดก็มีดับไป มีขึ้นก็มีลง...... บริษัทฯ ที่ผมถืออยู่แทนที่ราคาจะไปที่ 25 ราคาเริ่มร่วงไปเรื่อยๆ จน 17.xx กว่าๆ เราก็คิดว่า นี่มันเท่ากับราคาถัวเราแล้วนี่หว่า ต้องซื้อเพิ่ม อ่า ทำไงดีตอนนี้ก็ติดหุ้นหลายตัวซะด้วยสิ(เริ่มลงทั้งหมด) เอาวะ เดือนนี้กินมาม่าของที่บ้านไปก่อน เพื่ออนาคตจะได้กินหรู จัดมาอีก 1 พันหุ้น อีกไม่นาน 25 แน่นอน มันแค่ลดลงมาเพื่อให้เรากลัว อย่างนี้ต้องไม่กลัวเฟ้ย  เราต้องกล้าในขณะที่คนอื่นกลัว!!! (เอ๊ะ เรากล้าผิดเวลาป่าวเนี่ย....)


2 เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก เราก็ไปดูตัวอื่นดีก่ามีหุ้นตั้ง 400 หุ้นในตลท. (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) โรงหนังมันดีอยู่ละ ถือไว้ๆ พอกลับมาดูราคาหุ้นอีกทีให้ตายเถอะราคาไม่ใช่ว่าไม่ไปไหน แถมชรูดลงมาที่ 15.xx เฮ้ยยยยย  ตรูก็ไปอุดหนุนบ่อยอยู่นะเฟ้ย ทำไมราคามันเป็นงี้อ่า หรือว่าอุดหนุนน้อยไป หรือแปลว่า นี่มันเวลาซื้ออีกแล้วสินะ 55555!  กลับมาที่เก่า  เมื่อผ่านไปหลายเดือน ดูโดยรวมๆแล้วเราก็ยังไม่เห็น “สัญญาณเลวร้าย” นี่หว่า (หรือ ปิดตาทำเป็นมองไม่เห็นอ่า) อย่างนี้ต้องซื้ออีก! คราวนี้ ถอนเงินฝากประจำออกมาอีกจำนวนหนึ่งจัดไปสองพันหุ้นเลยทีเดียว!!! โหะๆ โอกาส ที่จะได้เห็นราคานี้อีกครั้ง อาจจะนานพอดู (หุหุมันช่างนานจริงๆนะ!) เรายืนยันคำพูดเดิม ต้องกล้าขณะที่คนอื่นกลัว 555555

ณ ​เวลานั้น ปี 2008 ถือหุ้น  M  7,000  หุ้น ยังเป็น 25% ของทรัพย์สินทั้งหมดของเรา

และแล้ว พอผ่านไปอีก 3 เดือน เริ่มมี วิกฤตเศรษฐกิจในเดือนกันยา ปี 2008 ที่อเมริกาซึ่งส่งผลกับตลาดหุ้นทั่วโลก และตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หุ้นร่วงระเนระนาด อุอุ แน่นอนว่าหุ้นที่ผมถืออยู่ก็ร่วงกระจุยกระจายไปเรียบร้อย ซึ่งทั้ง port นำมาด้วย หุ้น M ของ ผมเนี่ยหล่ะ จาก 15.xx ร่วงไปถึง 5.xx! เม่าจอแดง
ติดลบไป 60% กว่าๆ ..... ตอนนั้นจะซื้อเพิ่มเพื่อถัวเฉลี่ยเยอะๆก็ไม่ได้ เงินไปจมอยู่ในหุ้นติดลบทุกตัวเท่าที่มีในพอร์ต นับไปนับมาเออ เงินฝากประจำที่เหลือมาซื้อด้วยละกันฟะ  ซื้อได้แค่ 400 หุ้น ......... (กระซิกๆๆ นี่มันราคาที่เราคำนวณตามสูตรเป๊ะ!!!)

ระหว่างที่เราเห็นหุ้นไปนอนกองที่ ต่ำกว่า 500  งั้นระหว่างนี้ต้องหาความรู้อ่านหนังสือเพิ่มดีกว่า ไหนๆ ก็ต้องทำใจให้สงบ หลังจากนั้นก็เริ่มอ่านหนังสือแบบเป็นบ้าเป็นหลัง อ่านหนังสือเกี่ยวกับลงทุนใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ interpretation of financial statement, intelligent investor(ซื้อมานานแล้วแต่ยังไม่ได้แตะ), security analysis (ถึงตอนนี้อ่านแล้วยังงงๆ 55), one upon wall street,......  อะไรก็แล้วแต่เกี่ยวกะ ลงทุนเอาหมด (ตอนนั้นยังไม่ได้อ่าน ตีแตก ของ อ.นิเวศน์ครับ​ ผมมันช่างล้าหลังคนอื่นๆจริงๆเลย ถ้าอ่านตอนโน้น รวยกว่านี้แล้วเนี่ย!!!!!) เวลาผ่านไป 1  ปี ผมอ่านไปเรื่อยๆ เริ่มระแคะระคาย ไอ้หุ้น M นี่มันดีจริงเหรอ เราก็เริ่มค้นหาว่าบริษัท M ไม่ดีอย่างไร ในบางครั้งที่เรามองไปไกลเห็นแสงสว่างแล้วอาจจะตกลงหลุมอันใกล้ๆก็ได้นะ! ค้นไปๆ .เอ.. ทำไมมันเยอะจังวะ หนังที่เมกาทำน้อยลง เนื่องจากพิษเศรษฐกิจ แถมคนดูหนังน้อยลงอีก เพราะ​ program หนังก็ไม่ค่อยดี หนังที่ว่าเจ๋งๆจะเข้าก็เจอโรคเลื่อนทั้งนั้น มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดหม่นของบริษัท อ้าวเวรตรูละ!!!!

และในขณะนั้น เราเริ่มเจอหุ้นดวงใหม่ทอแสงรำไร (เอาอีกแล้ววววว) และ ณ เวลานั้นหุ้น M ก็กระเตื้องขึ้นมานิดนึง(ประมาณ 7.xx) เราขอตัวไปก่อนนะหุ้น M แต่ว่าเรายังไปอุดหนุนดูหนังอย่างสม่ำเสมอนะ!!!!  และแล้วเราก็ขายไป ห้าหมื่นกว่าบาท จากที่เราซื้อเกร็งขาดทุนไปแสนกว่าบาท ฮือๆๆๆๆ ตอนกำไร กำไรหลักพัน ตอนขาดทุน ทีเดียวไปตั้งหลายหมื่น แต่เมื่อขายแล้วหลับสบาย ก็ดีกว่าถือแล้วปวดตับ! และแล้วเราก็ไปผจญภัยกับ บริษัทอื่นกันต่อไป หวังว่าตรูจะไม่เจอเหตุการณ์อย่างนี้อีกแล้วนะเฟ้ยยยยยยย!!!!!




เสียงคนในตลาดหลักทรัพย์ก็ลอยมา "หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวจนล่วงมาถึง ณ วันนี้ หุ้น M ราคาอยู่ที่ 19.50 สูงกว่าเดิมอีกนะจ๊ะ..... "
บัดซบบบบบบบบบบ!!!! ตรูขายไปทำไมฟะเนี่ยถืออยู่ก็คืนทุนแล้ววว!!!!!

เม่าในกองไฟ


Grossary
*ตกรถ หมายถึงหุ้นราคากำลังขึ้น ซื้อไว้ขายได้กำไรแหงๆ แต่อนิจจากรูกลับซื้อไม่ทัน
credit :  www.maoinvestor.com

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่