ไปอ่านคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร....ศาลโลกตัดสินว่าไทยไม่เคยคัดค้านแผนที่ 1 : 200000 ของฝลั่งเศษเลย จึงตัดสินให้ พระวิหาร ตกเป็นของเขมร ตามแผนที่นั้น (อันนี้ถ้าให้ศาลตีความใหม่ ศาลก็ต้องยึดคำวินิจฉัยเดิม มาขยายความ มีแต่เสมอตัวกับแพ้ สองอย่าง)
ไทยได้ประท้วง คัดค้านไว้แล้ว ว่า ตามความเห็นของรัฐบาล คำพิพากษาขัดต่อข้อกำหนดอันชัดแจ้งของบทที่เกี่ยวเนื่องของสนธิสัญญา ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) และ ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) และขัดต่อหลักกฎหมาย และความยุติธรรม
ส่วนเรื่องMOU43 เราส่งแผนที่ของเราแนบไปกับของเค้าด้วย ในเมื่อเค้าก็ยอมรับ เราก็ยอมรับ ไม่น่ามีปัญหา
เรื่องมณฑลบูรพา
หากจะมีผู้กล่าวว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทย โดยนายควง อภัยวงศ์ และหม่อมเจ้า วรรณไวทยากรณ์ ได้ไปลงนามในข้อตกลงระหว่างประเทศกับฝ่ายสัมพันธมิตร (สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส) เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.1946 (พ.ศ. 12489) ข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างประเทศ มิใช่สนธิสัญญา อีกทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้มิได้รับการให้สัตยาบันจากรัฐสภาไทย และรัฐสภาแห่งคู่ภาคีสนธิสัญญาในข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้ ข้อตกลงนี้จึงมีผลเป็นเพียงข้อตกลงของฝ่ายบริหารของประเทศไทยกับฝ่ายบริหารของประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร (ให้ไปดูคำอธิบายว่า “สนธิสัญญา” ต่างกับ “ข้อตกลงระหว่างประเทศของฝ่ายบริหาร” ในเว็บไซต์ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. State Department) ฉะนั้นข้อตกลงระหว่างประเทศระหว่าง ไทยกับฝ่ายประเทศสัมพันธมิตรจึงมีสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศเป็นเพียง ข้อตกลงระหว่างประเทศเท่านั้น ที่มีศักดิ์และสิทธิ์ต่ำกว่าสนธิสัญญา จึงไม่มีผลไปยกเลิกสนธิสัญญา สนธิสัญญาระหว่าง ไทย-ฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1941 (สนธิสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941) ได้ อีกทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้มิได้รับ การอัตวินิจฉัยโดยประชาชนทั้งหมดของประเทศไทย (The Self – Determination ) หรือประชากรผู้มีถิ่นพำนักอาศัยในมณฑลบูรพา อันเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศร่วมสมัย ข้อ 1 ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น จึงไม่อาจนำไปยกเลิก เพิกถอน สนธิสัญญาระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1941 ได้ดังอธิบายมาแล้ว.
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2505
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280819775&catid=02..............................................................................................
ผมว่ารัฐบาลควรระดมความคิดจากทุกภาคส่วนรวมทั้งฝ่ายพันธมิตรด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญควรแยกออกจากการเมืองภายในประเทศครับพันธมิตรและฝ่ายค้านนักวิชาการด้วยครับ ยกเรื่องการเมืองภายในทิ้งไว้ก่อน
....................................
แต่ตอนนี้ ใครก็ได้ช่วยผมที ผมกำลังคล้อยตามพันธมิตรแล้ว ว่าเราควรปฏิเสธคำตัดสิน ไม่ยอมรับแผนที่ของเขมร และดึงการเจรจามาสู่ทวิภาคี
ขอความช่วยเหลือล้างสมองผมด่วนครับ..
ผมเริ่มคล้อยตาม พันธมิตรแล้วครับเรื่อง พระวิหาร (ใครก็ได้ช่วยที)
ไทยได้ประท้วง คัดค้านไว้แล้ว ว่า ตามความเห็นของรัฐบาล คำพิพากษาขัดต่อข้อกำหนดอันชัดแจ้งของบทที่เกี่ยวเนื่องของสนธิสัญญา ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) และ ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) และขัดต่อหลักกฎหมาย และความยุติธรรม
ส่วนเรื่องMOU43 เราส่งแผนที่ของเราแนบไปกับของเค้าด้วย ในเมื่อเค้าก็ยอมรับ เราก็ยอมรับ ไม่น่ามีปัญหา
เรื่องมณฑลบูรพา
หากจะมีผู้กล่าวว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทย โดยนายควง อภัยวงศ์ และหม่อมเจ้า วรรณไวทยากรณ์ ได้ไปลงนามในข้อตกลงระหว่างประเทศกับฝ่ายสัมพันธมิตร (สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส) เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.1946 (พ.ศ. 12489) ข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างประเทศ มิใช่สนธิสัญญา อีกทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้มิได้รับการให้สัตยาบันจากรัฐสภาไทย และรัฐสภาแห่งคู่ภาคีสนธิสัญญาในข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้ ข้อตกลงนี้จึงมีผลเป็นเพียงข้อตกลงของฝ่ายบริหารของประเทศไทยกับฝ่ายบริหารของประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร (ให้ไปดูคำอธิบายว่า “สนธิสัญญา” ต่างกับ “ข้อตกลงระหว่างประเทศของฝ่ายบริหาร” ในเว็บไซต์ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. State Department) ฉะนั้นข้อตกลงระหว่างประเทศระหว่าง ไทยกับฝ่ายประเทศสัมพันธมิตรจึงมีสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศเป็นเพียง ข้อตกลงระหว่างประเทศเท่านั้น ที่มีศักดิ์และสิทธิ์ต่ำกว่าสนธิสัญญา จึงไม่มีผลไปยกเลิกสนธิสัญญา สนธิสัญญาระหว่าง ไทย-ฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1941 (สนธิสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941) ได้ อีกทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้มิได้รับ การอัตวินิจฉัยโดยประชาชนทั้งหมดของประเทศไทย (The Self – Determination ) หรือประชากรผู้มีถิ่นพำนักอาศัยในมณฑลบูรพา อันเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศร่วมสมัย ข้อ 1 ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น จึงไม่อาจนำไปยกเลิก เพิกถอน สนธิสัญญาระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1941 ได้ดังอธิบายมาแล้ว.
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2505
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280819775&catid=02..............................................................................................
ผมว่ารัฐบาลควรระดมความคิดจากทุกภาคส่วนรวมทั้งฝ่ายพันธมิตรด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญควรแยกออกจากการเมืองภายในประเทศครับพันธมิตรและฝ่ายค้านนักวิชาการด้วยครับ ยกเรื่องการเมืองภายในทิ้งไว้ก่อน
....................................
แต่ตอนนี้ ใครก็ได้ช่วยผมที ผมกำลังคล้อยตามพันธมิตรแล้ว ว่าเราควรปฏิเสธคำตัดสิน ไม่ยอมรับแผนที่ของเขมร และดึงการเจรจามาสู่ทวิภาคี
ขอความช่วยเหลือล้างสมองผมด่วนครับ..