เราทำงานหน่วยงานราชการที่เดียวกับสามี สามีรับราชการ แต่เราเป็นลูกจ้าง เรามาจากจังหวัดอื่น ทำงานและแต่งงานกับสามีซึ่งอยู่จังหวัดนี้ แม่เราเสียตั้งแต่แปดขวบ เราอยู่สองคนกับพ่อ ถ้าเราไม่ฝึกงานและได้งานทำที่นี่เลย เราก็คงไม่ต้องปล่อยให้พ่ออยู่คนเดียวที่บ้านทางโน้น
ตั้งแต่เราเริ่มทำงานมา มีปัญหาในใจสะสมขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งภาระงานที่เพิ่มขึ้นทุกวันโดยเป็นงานของคนอื่นทั้งนั้น และที่ทำให้ทนไม่ได้ที่สุดคือ ผู้บริหารเห็นแก่ตัว วันนี้ทำงานจะครบแปดปีแล้วสิ่งที่สะสมในใจทำให้ทุกอย่างเหลือศูนย์ และคิดว่าถึงเวลาต้องออก
เมื่อเราคิดจะลาออก สามีเราซึ่งเขายังมีน้องชายอีกหนึ่งคนที่พร้อมจะดูแลพ่อแม่ของเขา ในขณะที่เราเป็นลูกคนเดียว และพ่อเราก็อยู่คนเดียว เขาจึงทำเรื่องขอย้ายไปอยู่ส่วนราชการใกล้บ้านเรา โดยให้เหตุผลในการย้ายว่าจะไปดูแลครอบครัวที่จะกลับไปภูมิลำเนา
ตอนนี้เรื่องย้ายถูกส่งไปที่จังหวัดแล้ว แต่มีเงื่อนไขสำคัญในการย้ายครั้งนี้คือ ต้องตัดโอนตำแหน่งทางนี้ไป ที่ทำให้เรากังวลใจมาก ว่าสามีจะไม่ได้ย้าย ซึ่งก็มีความเห็นมาจากสารพัดทางว่าโอกาสได้ย้ายเป็นไปได้ยาก บางคนก็บอกว่าเหตุผลในการขอย้ายไม่เพียงพอบ้าง บางคนก็แนะนำให้เรากลับไปดูแลพ่อคนเดียวก่อน ส่วนสามีพองานหยุดก็ค่อยตามไปหา (หึ หึ พูดง่ายนะคะ งานสามีไม่ได้เหมือนชาวบ้าน ต้องอยู่เวร ซึ่งเหมือนเป็นกรรม เดี๋ยวเวรเช้า เดี๋ยวเวรบ่าย ไม่ใช่หยุดเสาร์ อาทิตย์ ที่จะได้ข้ามจังหวัดไปหากันได้ทุกอาทิตย์ ) แนะนำแบบนี้ บอกมาตามตรงเลยดีกว่าว่าต่างคนต่างไปเถอะ
การที่เราอยากกลับไปทำงานที่จังหวัดตัวเอง ไปอยู่ดูแลพ่อที่ต้องอยู่คนเดียว เราคิดมาตลอด แต่ติดตรงที่ก่อนหน้าที่สามีเป็นลูกจ้างเหมือนกัน เพิ่งได้รับการบรรจุเป็นราชการช่วงหลัง พอสามีได้เป็นราชการ เราก็พอมีความหวังเรื่องการขอย้าย เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนถ้าจะไปอยู่ทางบ้านเรา คือ ต้องลาออกทั้งคู่ ซึ่งพอเป็นตอนนี้ก็คือ เราลาออกเพียงคนเดียว ซึ่งถ้าสามีเราขอย้ายแล้วไม่ได้ย้าย ความหมายก็คงเหมือนกัน คือ เลือกจะกลับไปดูแลพ่อ ก็ต้องแยกกันอยู่กับสามี หรือถ้าเลือกอยู่กับสามี แล้วรอสามีเกษียณก่อน ค่อยกลับไป พ่อเราก็คงไม่มีชีวิตอยู่แล้วในวันนั้น
แล้วการที่มีคนคิดว่าเหตุผลในการขอย้ายของสามีเราไม่เพียงพอ แล้วจะให้หาเหตุผลไหนมาอีกล่ะคะ หรือคนเราจะย้ายได้ก็ต่อเมื่อกลับไปดูแลพ่อแม่ตัวเองเท่านั้น ลูก กับเมีย ไม่สำคัญเหมือนกันเหรอ แล้วมีเหตุผลพอหรือเปล่าที่พ่อเราต้องใช้ชีวิตอยู่ทางโน้นคนเดียวในยามชรา ซึ่งจะขอให้เขามาอยู่กับเราทางนี้คงไม่ใช่ เพราะถิ่นฐานบ้านเกิดของเขาคือที่นั่น เราเองก็เสียใจที่สามีจะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดพ่อแม่ของเขา แต่พ่อแม่ของเขาก็ยังมีน้องชายอยู่อีกหนึ่งคน ในขณะที่ทั้งเรา และพ่อเราไม่มีใครเลย แล้วเราอยากให้เป็นแบบนี้มั้ย คนเรากำหนดได้มั้ยว่าฉันจะต้องมีสามีหรือภรรยาจังหวัดเดียวกันนะ จะได้ไม่เหินห่างพ่อแม่ มันกำหนดกันไม่ได้ ในเมื่อสามีเรามีสิทธิ์ขอย้ายได้ก็เลยขอใช้สิทธิ์ และหวังว่าผู้ใหญ่จะมีมนุษยธรรมเห็นเหตุผลความจำเป็นในการขอย้าย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามีหวังแค่ไหน
ถึงสามีเราจะย้ายไปทำงานที่ส่วนราชการอื่น แต่หน้าที่ที่เคยปฏิบัติก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนไปหรือลดน้อยถอยลง จะอยู่ที่ไหนก็เป็นข้าของหลวงเหมือนกัน ซึ่งสามีเราตั้งใจทำงานเสมอ ส่วนเราเองก็จะลาออกจากที่เก่าก็ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ทุกลมหายใจเข้าออกคือ อยากจะลาออกใจจะขาด อยากรู้ว่าคนเห็นแก่ตัว มันจะเอาผลงานจากใคร จะข่มหัวใช้ใครได้อีก ไอ้จะไปทำงานที่ใหม่ทางบ้านเราก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าสามีจะได้ย้ายไปหรือเปล่า ลูกก็ต้องหารร.เพื่อขึ้นชั้นอ.1 ก็ยังลังเลว่าจะให้เรียนที่นี่ต่อหรือย้ายไปทางจังหวัดเรา คือ ยังไม่รู้จะจัดการยังไงกับชีวิตดี กลัวตัดสินใจอะไรลงไปแล้วสิ่งที่เราหวังมันไม่เป็นไปตามนั้น แล้วครอบครัวจะไม่เป็นครอบครัวเหมือนเก่า ไม่อยากเลือกระหว่างพ่อ กับสามี เพราะอยากให้ได้อยู่ร่วมกันทั้งหมด
เวลาอยู่กับคนหมู่มาก เราก็ร่าเริงเป็นปกติ แต่เมื่อต้องอยู่คนเดียว มันคิดมาก และเครียดสุด ๆ เลยค่ะ หลายเดือนมานี้ เวลาขับรถไปรับลูกที่รร. ยังเผลอร้องไห้ออกมาไม่รู้กี่ครั้ง เห็นหน้าลูกก็คิดไปต่าง ๆ นานา กลัวจะทำให้ลูกลำบาก กลัวจะทำให้เขากับพ่อต้องแยกกัน
มันเครียด เครียด จริง ๆ นะคะ
เครียด จิตตก นอนไม่หลับ หาทางออกไม่ได้ จะตายก็ไม่ดี โอ๊ย
ตั้งแต่เราเริ่มทำงานมา มีปัญหาในใจสะสมขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งภาระงานที่เพิ่มขึ้นทุกวันโดยเป็นงานของคนอื่นทั้งนั้น และที่ทำให้ทนไม่ได้ที่สุดคือ ผู้บริหารเห็นแก่ตัว วันนี้ทำงานจะครบแปดปีแล้วสิ่งที่สะสมในใจทำให้ทุกอย่างเหลือศูนย์ และคิดว่าถึงเวลาต้องออก
เมื่อเราคิดจะลาออก สามีเราซึ่งเขายังมีน้องชายอีกหนึ่งคนที่พร้อมจะดูแลพ่อแม่ของเขา ในขณะที่เราเป็นลูกคนเดียว และพ่อเราก็อยู่คนเดียว เขาจึงทำเรื่องขอย้ายไปอยู่ส่วนราชการใกล้บ้านเรา โดยให้เหตุผลในการย้ายว่าจะไปดูแลครอบครัวที่จะกลับไปภูมิลำเนา
ตอนนี้เรื่องย้ายถูกส่งไปที่จังหวัดแล้ว แต่มีเงื่อนไขสำคัญในการย้ายครั้งนี้คือ ต้องตัดโอนตำแหน่งทางนี้ไป ที่ทำให้เรากังวลใจมาก ว่าสามีจะไม่ได้ย้าย ซึ่งก็มีความเห็นมาจากสารพัดทางว่าโอกาสได้ย้ายเป็นไปได้ยาก บางคนก็บอกว่าเหตุผลในการขอย้ายไม่เพียงพอบ้าง บางคนก็แนะนำให้เรากลับไปดูแลพ่อคนเดียวก่อน ส่วนสามีพองานหยุดก็ค่อยตามไปหา (หึ หึ พูดง่ายนะคะ งานสามีไม่ได้เหมือนชาวบ้าน ต้องอยู่เวร ซึ่งเหมือนเป็นกรรม เดี๋ยวเวรเช้า เดี๋ยวเวรบ่าย ไม่ใช่หยุดเสาร์ อาทิตย์ ที่จะได้ข้ามจังหวัดไปหากันได้ทุกอาทิตย์ ) แนะนำแบบนี้ บอกมาตามตรงเลยดีกว่าว่าต่างคนต่างไปเถอะ
การที่เราอยากกลับไปทำงานที่จังหวัดตัวเอง ไปอยู่ดูแลพ่อที่ต้องอยู่คนเดียว เราคิดมาตลอด แต่ติดตรงที่ก่อนหน้าที่สามีเป็นลูกจ้างเหมือนกัน เพิ่งได้รับการบรรจุเป็นราชการช่วงหลัง พอสามีได้เป็นราชการ เราก็พอมีความหวังเรื่องการขอย้าย เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนถ้าจะไปอยู่ทางบ้านเรา คือ ต้องลาออกทั้งคู่ ซึ่งพอเป็นตอนนี้ก็คือ เราลาออกเพียงคนเดียว ซึ่งถ้าสามีเราขอย้ายแล้วไม่ได้ย้าย ความหมายก็คงเหมือนกัน คือ เลือกจะกลับไปดูแลพ่อ ก็ต้องแยกกันอยู่กับสามี หรือถ้าเลือกอยู่กับสามี แล้วรอสามีเกษียณก่อน ค่อยกลับไป พ่อเราก็คงไม่มีชีวิตอยู่แล้วในวันนั้น
แล้วการที่มีคนคิดว่าเหตุผลในการขอย้ายของสามีเราไม่เพียงพอ แล้วจะให้หาเหตุผลไหนมาอีกล่ะคะ หรือคนเราจะย้ายได้ก็ต่อเมื่อกลับไปดูแลพ่อแม่ตัวเองเท่านั้น ลูก กับเมีย ไม่สำคัญเหมือนกันเหรอ แล้วมีเหตุผลพอหรือเปล่าที่พ่อเราต้องใช้ชีวิตอยู่ทางโน้นคนเดียวในยามชรา ซึ่งจะขอให้เขามาอยู่กับเราทางนี้คงไม่ใช่ เพราะถิ่นฐานบ้านเกิดของเขาคือที่นั่น เราเองก็เสียใจที่สามีจะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดพ่อแม่ของเขา แต่พ่อแม่ของเขาก็ยังมีน้องชายอยู่อีกหนึ่งคน ในขณะที่ทั้งเรา และพ่อเราไม่มีใครเลย แล้วเราอยากให้เป็นแบบนี้มั้ย คนเรากำหนดได้มั้ยว่าฉันจะต้องมีสามีหรือภรรยาจังหวัดเดียวกันนะ จะได้ไม่เหินห่างพ่อแม่ มันกำหนดกันไม่ได้ ในเมื่อสามีเรามีสิทธิ์ขอย้ายได้ก็เลยขอใช้สิทธิ์ และหวังว่าผู้ใหญ่จะมีมนุษยธรรมเห็นเหตุผลความจำเป็นในการขอย้าย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามีหวังแค่ไหน
ถึงสามีเราจะย้ายไปทำงานที่ส่วนราชการอื่น แต่หน้าที่ที่เคยปฏิบัติก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนไปหรือลดน้อยถอยลง จะอยู่ที่ไหนก็เป็นข้าของหลวงเหมือนกัน ซึ่งสามีเราตั้งใจทำงานเสมอ ส่วนเราเองก็จะลาออกจากที่เก่าก็ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ทุกลมหายใจเข้าออกคือ อยากจะลาออกใจจะขาด อยากรู้ว่าคนเห็นแก่ตัว มันจะเอาผลงานจากใคร จะข่มหัวใช้ใครได้อีก ไอ้จะไปทำงานที่ใหม่ทางบ้านเราก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าสามีจะได้ย้ายไปหรือเปล่า ลูกก็ต้องหารร.เพื่อขึ้นชั้นอ.1 ก็ยังลังเลว่าจะให้เรียนที่นี่ต่อหรือย้ายไปทางจังหวัดเรา คือ ยังไม่รู้จะจัดการยังไงกับชีวิตดี กลัวตัดสินใจอะไรลงไปแล้วสิ่งที่เราหวังมันไม่เป็นไปตามนั้น แล้วครอบครัวจะไม่เป็นครอบครัวเหมือนเก่า ไม่อยากเลือกระหว่างพ่อ กับสามี เพราะอยากให้ได้อยู่ร่วมกันทั้งหมด
เวลาอยู่กับคนหมู่มาก เราก็ร่าเริงเป็นปกติ แต่เมื่อต้องอยู่คนเดียว มันคิดมาก และเครียดสุด ๆ เลยค่ะ หลายเดือนมานี้ เวลาขับรถไปรับลูกที่รร. ยังเผลอร้องไห้ออกมาไม่รู้กี่ครั้ง เห็นหน้าลูกก็คิดไปต่าง ๆ นานา กลัวจะทำให้ลูกลำบาก กลัวจะทำให้เขากับพ่อต้องแยกกัน
มันเครียด เครียด จริง ๆ นะคะ