ผจญภัย ''เมืองลิกอร์''นครศรีธรรมราช เที่ยวถ้ำ ชมน้ำตก โอบขุนเขา



''เมืองลิกอร์'' เราชอบชื่อนี้ของนครศรีธรรมราชตั้งแต่แรกได้ยิน เพราะแสดงถึงรากฐานความเป็นมาผ่านการค้าขายกับชาวต่างชาติเนิ่นนานตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 20 แน่นอนว่าความยาวนานนั้นย่อมปูราก ฐานให้คนรุ่นหลังไม่มากก็น้อย และด้วยภูมิประเทศมีทั้งภูเขาและทะเลจึงเป็นทรัพยากรสำคัญ

ที่แน่ ๆ ไปนครฯ กี่รอบไม่มีเบื่อกับการเข้าชม วัดพระมหาธาตุวรมหา วิหาร เพราะมาทีไรฟ้าใสลอยตัวเป็นฉากหลังของยอดพระธาตุเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ว่าเราจะเดินทางไปไกลแค่ไหน แต่หาภาพความรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้ ขณะที่เกร็ดความรู้ภายในวัดก็มีมากมายไม่แพ้กัน ไกด์ท้องถิ่นผู้มีความรู้แนะนำให้ชมความงามวิหารพระทรงม้า ซึ่งเป็นวิหารที่ขึ้นไปทำพิธีทางศาสนาบริเวณองค์พระธาตุ เมื่อหันหน้าเข้าหาบันไดลองเดินไปด้านซ้ายจะเห็นรูปปูนปั้นพุทธประวัติ ตอนเสด็จออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะ ทั้งสองด้านบันไดเป็นรูปปั้นเหมือนกัน แต่ด้านซ้ายจะสร้างก่อนจึงมีความวิจิตรตระการตามากกว่า

หลังสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เราเดินทางต่อไปยัง อ.พรหมคีรี เพื่อชม น้ำตกพรหมโลกในอุทยานแห่งชาติเขาหลวง เป็นน้ำตกขนาดใหญ่มีลานหินกว้าง ต้นน้ำมาจากเทือกเขานครศรีธรรมราช มี 4 ชั้นคือ หนานบ่อน้ำวน, หนานวังไม้ปัก, หนานวังหัวบัว, หนานวังอ้ายแล โดยเมื่อปี พ.ศ. 2502 ในหลวงและพระราชินีได้เสด็จพระราชดำเนินมายังน้ำตกแห่งนี้ และได้จารึกพระปรมาภิไธยย่อไว้ยังแผ่นหินชั้นที่หนึ่ง

ไม่ไกลจากนั้นเราแวะไปชิมผลไม้กันที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านท่าข้าม อ.พรหมคีรี มีทั้งทุเรียน เงาะ ให้ชิม ชาวบ้านเล่าว่า “เดี๋ยวนี้อากาศวิปริต” ทำให้ฤดูที่ผลไม้จะออกผลแต่กลับไม่ออก ชาวบ้านจึงได้รับผลกระทบ แน่นอนว่าต้องเป็นผลย้อนกลับมายังเราด้วยเช่นกัน ด้วยโลกเราหมุนเป็นวงกลมทุกอย่างที่เราทำต่อสิ่งแวดล้อมไว้มันจะหมุนมาทำร้ายเราตามแผนที่แห่งชีวิต

วันนี้เราพักกันที่ “กรุงชิง” นอนท่ามกลางเสียงกรีดปีกของแมลงเพื่อตื่นเช้ารับวันใหม่กับ จุดชมวิวทะเลหมอก ครั้นพอรุ่งเช้าเราต้องตื่นก่อนแสงแรก เช่นเดียวกับชาวบ้านละแวกนี้ที่ออกมากรีดยางกันขันแข็ง รถปล่อยลงที่ตีนเขาเหล็ก ต้องเดินต่อไปอีก 2 กิโลเมตร ไต่ความสูงไปเรื่อย ๆ จนถึงยอด ด้วยจุดชมวิวนี้ได้รับความนิยมเนื่องจากมองเห็นพระอาทิตย์ฝั่งตะวันออกตัดเส้นขอบฟ้าได้ชัดเจน อีกทั้งทิวเขาลูกเล็กใหญ่สลับซ้อนกันเป็นมิติ แต่วันนี้น่าเสียดายที่หมอกไม่ลงหนาอย่างที่คิด คงต้องใช้โอกาสหน้ามาแก้ตัวใหม่กันอีกหน

อย่างว่าล่ะ...การเดินทางมักเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ แค่ก้าวออกจากบ้านความไม่แน่นอนก็เกิดขึ้น แต่ความมากน้อยไม่สำคัญเท่าการได้ไปในที่ใหม่ ๆ อย่าง ถ้ำหงส์ อุทยานแห่งชาติเขานัน ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่นักท่องเที่ยวต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ เนื่องจากเป็นถ้ำน้ำ หากเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าน้ำอาจท่วมถ้ำได้

เกือบลืม! ก่อนเข้าไปในถ้ำเราควรกลับที่พักไปหาอะไรรองท้องกันก่อน เพราะการเข้าไปในถ้ำกินเวลากว่า 2 ชั่วโมง ที่สำคัญต้องเปลี่ยนชุดพร้อมเปียก ถุงกันน้ำ รองเท้าทะมัดทะแมง ไฟฉาย เตรียมพร้อมสรรพ แล้วก็ลุย! พอถึงปากถ้ำก็เล่นเอาเรากล้า ๆ กลัว ๆ เพราะทางเข้าเหมือนก้อนหินซ้อนทับกัน แล้วมีซอกเล็ก ๆ ให้เบียดตัวหย่อนไปด้านใน แน่นอนว่าคนอ้วนต้องแขม่วท้องกลั้นหายใจไว้จนที่กินมาเมื่อเช้าจะออกมาทางปาก แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี

ต้องบอกว่าภายในถ้ำยังดิบมาก มีเพียงแสงไฟฉายที่เราติดมือมาเท่านั้นที่ส่องสว่างนำทาง แต่ชื่นใจดีไม่น้อยเพราะเพดานถ้ำที่ไม่สูงมากมีหินงอกหินย้อยยามเราส่องไฟเห็นเป็นประกาย สำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องเตือนตัวเองเสมอคืออย่าจับหินงอกหินย้อยเหล่านั้น เพราะเหงื่อที่มือเราจะทำให้หินหยุดการงอก อย่างที่บอกตั้งแต่แรกว่าถ้ำน้ำ ทำให้ตั้งแต่เราเดินเข้ามาพื้นถ้ำก็เจิ่งนองด้วยน้ำ ยิ่งเดินลึกเข้าไปน้ำก็ยิ่งเพิ่มขึ้นในบางช่วง

อย่าเป็นห่วงเพราะมาแล้วยังไงก็เปียก! ด้วยพื้นที่ถ้ำบางช่วงแคบจนเราต้องคลานต่ำผ่านช่องหินเล็ก ๆ เหล่านั้นไป โดยจุดเด่นของถ้ำนี้คือ หินประกายเพชร ช่องลอดหินปูน หินเป็ดย่าง ผาหิมะ และห้องค้างคาว ที่ต้องบอกเลยว่าถ้าใครกลัวต้องทำใจ เพราะบรรดาค้างคาวเหล่านั้นนอนห้อยหัวบนเพดานที่แม้คลานต่ำชูมือขึ้นไปก็ถึงเพดาน ครั้นพอเราคลานเข้าไปแสงไฟฉายที่ส่องปลุกบรรดาค้างคาวกระพือปีกบินหนีจนเรารู้ได้ถึงลมปีกเย็นวาบผ่านตัว

แต่ไฮไลต์จริง ๆ ต้องยกให้น้ำตกทั้งสองชั้นภายในถ้ำ ซึ่งมีน้ำไหลซู่ให้เราได้ถ่ายภาพและนั่งพักผ่อน มาถึงตอนนี้ใครที่กลัวเปียกก็ได้เปียกกันถ้วนหน้า พอขากลับเดินย้อนกลับทางที่เรามา ออกจากปากถ้ำสูดกลิ่นป่าให้เต็มปอด แล้วแวะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะไปกันต่อ

เราหลับบนรถไปหลายตื่นจึงถึง อ.สิชล แวะทานข้าวเที่ยงแถว เขาพลายดำ ซึ่งมีความพิเศษตรงที่เม็ดทรายบนหาดเมื่อเกยฝั่งจะมีสีดำ เมื่อหันหลังให้ทะเลจะเห็นเขาสามลูกตระหง่าน เลยลองขึ้นไปชมที่สถานีอนุรักษ์สัตว์ป่าด้านบนก็น่าสนใจดีไม่น้อย สำหรับเด็ก ๆ ที่ชอบในวิถีธรรมชาติ เพราะมีสัตว์ป่าที่สูญพันธุ์ไปแล้วสตัฟฟ์เก็บไว้ให้ชมกัน

ไหน ๆ มา อ.สิชล แวะเข้าเมืองไปแถวปากแม่น้ำ ที่แต่ก่อนรุ่งเรืองอย่างมากทั้งการค้าและการขนส่งทางเรือ แต่ด้วยถนนที่ตัดเข้ามาสะดวกสบายทำให้เมืองแห่งนี้ค่อย ๆ ลดบทบาทลง แต่วิถีคนจีนและคนไทยที่นี่กลมกลืนกันได้อย่างดี โดยเฉพาะเมื่อเดินเข้าไปในตลาดมีของกินประเภทขนมให้ลองชิม และมีบ้านไม้แบบเก่าให้เราได้ชื่นชมก่อนสิ่งเหล่านี้จะหายไป  

อีกแห่งหนึ่งที่อย่าลืมแวะมา นั่นคือ พิพิธภัณฑ์ลูกปัดโบราณ “ผู้ใหญ่เยิ้ม” ที่ท่าศาลา ชมของโบราณที่ผู้ใหญ่เก็บสะสมไว้มีทั้งสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ แต่ที่สำคัญอย่าลืมเข้าไปดูส่วนแสดงลูกปัด ซึ่งมีสีสันหลายแบบให้ได้ชมและศึกษา เมื่อถามว่าคนนครฯ มีความผูกพันกับลูกปัดอย่างไร ผู้ใหญ่ตอบเสียงดังฟังชัดว่า “คนนครผูกพันกับลูกปัดตั้งแต่เกิด ลืมตาขึ้นมาดูโลกก็เห็นลูกปัดบนยอดพระธาตุแล้ว”

และสุดท้ายแวะเข้าเมืองหาซื้อของฝากจำพวกเครื่องเงินที่ราคาย่อมเยาบนถนนท่าช้าง ซึ่งสาว ๆ ที่ชอบเดินกันเพลินจนลืมเวลา

มานครฯ รอบนี้ดูจะต้องใช้เวลานั่งรถไปแต่ละที่พอสมควร แต่ถ้าลองมากับคนรู้ใจการเดินทางก็กลายเป็นเรื่องสนุกไปพร้อมกับสถานที่และวัฒนธรรมที่เราไม่เคยรู้มาก่อน.

ทีมวาไรตี้
http://www.dailynews.co.th/article/224/177514
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่