เปิดเผยเนื้อหาเล็กน้อย
Upside Down กล่าวถึงเรื่องราวความรักของสองหนุ่ม-สาวที่มีชีวิตต่างกันคนละขั้ว อยู่กันบนโลกเหนือ-ใต้คู่ขนานกัน เป็นผลงานของผู้กำกับ
ฮวน ดิเอโก้ โซลานาส ผู้เคยผ่านงานกำกับภาพยนตร์สารคดีและเรื่องสั้นมาก่อนเล็กน้อย โดยผลงานใหม่ในครั้งนี้นอกจากฮวนจะทำหน้าที่กำกับ เขายังควบหน้าที่เขียนบทร่วมอีกตำแหน่ง นำแสดงโดย
จิม สเตอร์เจส และ
เคิร์สเต็น ดันท์ ร่วมด้วยนักแสดงอีกหลายคน
สองนักเขียนบทของเรื่องอย่าง
ฮวน ดิเอโก้ โซลานาส และ
ซานดิเอโก้ อมิโกเรน่า ได้สร้างโลกคู่ขนานล้ำจินตนาการ เป็นดวงดาวคู่หนึ่งในจักรวาล ที่จะมีด้านหนึ่งของดาวหันเข้าหากันในแบบที่ใกล้ชิดมากๆ ดวงดาวทั้งสองดวงนี้ต่างก็มีแรงดึงดูดของใครของมัน ความหมายก็คือ วัตถุที่มาจากดาวดวงไหน ก็จะถูกแรงดึงดูดของดาวดวงนั้นให้ติดอยู่กับพื้นของมัน โดยที่ดาวอีกดวงไม่สามารถส่งแรงไปดึงวัตถุนั้นให้มาติดในฝั่งของตัวเองได้ นั่นทำให้ตัวละครหลักของเรื่องอย่าง อดัม (
จิม สเตอร์เจส) และอีเด็น (
เคิร์สเต็น ดันท์) ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้จริงๆ เสมือนมีเส้นกั้นบางๆ แบ่งแยกระหว่างกันอยู่เสมอ
ประเด็นหลักที่
Upside Down กล่าวถึง คือการตีแผ่สังคมในปัจจุบัน ที่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะระหว่างคนรวยและคนจน เห็นได้ชัดเจนจากโลกคู่ขนานที่กล่าวไปข้างต้น โดยหนังกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า โลกเบื้องบนเป็นโลกของคนรวย ส่วนโลกเบื้องล่างเป็นโลกของคนจน ทั้งๆที่ถ้าพิจารณาจริงๆ ดวงดาวทั้งสองดวงอยู่คู่ขนานกัน ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้อย่างแน่นอนถ้ามองว่าทั้งดาวทั้งสองลอยอยู่ในจักรวาล หนังชี้ให้เห็นโลกของเราในปัจจุบัน ที่สังคมมองว่าคนรวยอยู่สูงกว่าคนจนเสมอ และมันคงจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ประเด็นหลักที่กล่าวไปข้างต้น ถึงแม้ว่าหนังวางโครงเรื่องเอาไว้ดี แต่หนังก็กลับไปเล่าเรื่องราวความรักระหว่างสองหนุ่ม-สาวที่อยู่กันละโลกแทน ซึ่งก็ทำให้ประเด็นแบ่งชนชั้นที่วางเอาไว้คร่าวๆ ดูล้มลงอย่างน่าเสียดาย เห็นได้จากตอนจบของเรื่อง คนดูหวังที่เห็นความเสมอภาคของโลกทั้งสองใบ แต่ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเพียงความฝันลมๆแล้ง โลกคู่ขนานก็ขนานกันอยู่วันยังค่ำ ในขณะที่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง การลงเอยด้วยเหตุการณ์ในเรื่อง อาจจะเป็นการจงใจให้เป็นอย่างนั้น เพราะโลกปัจจุบันของเรา ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีความเสมอภาคอยู่จริงๆ
ในเมื่อตีประเด็นแบ่งแยกชนชั้นไม่แตก ประเด็นที่หนังมอบให้และดูเข้าท่า ก็คือเรื่องราวความรักระหว่างพระเอกและนางเอก โดยอดัม พระเอกของเรื่องอาศัยอยู่ในโลกเบื้องล่าง ซึ่งใช้ชีวิตที่ค่อนข้างกระ

กระสน ต่างจากโลกเบื้องบนที่ อีเด็น นางเอกของเรื่องอาศัยอยู่ เพราะดูแล้วค่อนข้างจะสะดวกสบาย ทั้งสองเคยพบกันตั้งแต่เด็กๆ แต่เกิดอุบัติเหตุให้ต้องแยกจากกัน ซึ่งมาจากกฏเหล็ก ที่ห้ามคนในสองโลกสนิทสนมใกล้ชิดกันจนเกิดเหตุ แต่การพลัดพรากในครั้งอดีต ก็มิได้ปิดกั้นจิตใจที่ทั้งสองมีให้ต่อกัน ถึงแม้ว่าโตขึ้นแล้ว อีเด็นจะจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ แต่ในที่สุดความทรงจำอันหอมหวานนั้น ก็ได้หวนกลับคืนมา และทำให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกัน แม้จะอยู่คนละโลก
ถึงแม้ว่าหนังจะจบลงอย่างค้างๆคาๆ ซึ่งก็คือการไม่จัดการประเด็นความเสมอภาคให้แล้วเสร็จ แต่เมื่อตัวละครหลักอย่างอีเด็นท้องลูกในตอนท้ายๆ และทำให้เธอสามารถเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบ โดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยใดๆ ก็ได้สร้างความหวังให้กับคนดูว่า อีกไม่นานโลกคู่ขนานทั้งสองนี้ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ
สิ่งที่น่าประทับใจสำหรับหนังเรื่องนี้ก็คือ หนังสร้างโลกจินตนาการแห่งนี้ออกมาได้สวยงาม ยอดเขาสูงเสียดฟ้า แต่ถัดจากฟ้าไปแล้วก็เป็นยอดเขากลับหัวที่สูงเสียดฟ้าเหมือนกัน หรืออาคารหลายแห่งที่จะมีอยู่ชั้นหนึ่งที่เพดานไม่ได้เป็นเพดาน แต่เป็นโลกอีกใบที่อยู่ไกลเพียงแค่เงยหน้ามอง คล้ายกับการบอกสิ่งหนึ่งให้คนดูได้คิด
โลกทั้งสองโลกเป็นเสมือนเงาในกระจก เรามองขึ้นไปก็จะเห็นในสิ่งที่เราอยากเป็นหรือไม่อยากเป็น เราจะอยากเป็นในสิ่งที่ได้เห็น หรืออยากจะเป็นในสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเรา…
คะแนนจากผม C
Movie Review -- Upside Down -- ความรักท่ามกลางการแบ่งแยก (เปิดเผยเนื้อหาเล็กน้อย)
Upside Down กล่าวถึงเรื่องราวความรักของสองหนุ่ม-สาวที่มีชีวิตต่างกันคนละขั้ว อยู่กันบนโลกเหนือ-ใต้คู่ขนานกัน เป็นผลงานของผู้กำกับฮวน ดิเอโก้ โซลานาส ผู้เคยผ่านงานกำกับภาพยนตร์สารคดีและเรื่องสั้นมาก่อนเล็กน้อย โดยผลงานใหม่ในครั้งนี้นอกจากฮวนจะทำหน้าที่กำกับ เขายังควบหน้าที่เขียนบทร่วมอีกตำแหน่ง นำแสดงโดยจิม สเตอร์เจส และเคิร์สเต็น ดันท์ ร่วมด้วยนักแสดงอีกหลายคน
สองนักเขียนบทของเรื่องอย่าง ฮวน ดิเอโก้ โซลานาส และซานดิเอโก้ อมิโกเรน่า ได้สร้างโลกคู่ขนานล้ำจินตนาการ เป็นดวงดาวคู่หนึ่งในจักรวาล ที่จะมีด้านหนึ่งของดาวหันเข้าหากันในแบบที่ใกล้ชิดมากๆ ดวงดาวทั้งสองดวงนี้ต่างก็มีแรงดึงดูดของใครของมัน ความหมายก็คือ วัตถุที่มาจากดาวดวงไหน ก็จะถูกแรงดึงดูดของดาวดวงนั้นให้ติดอยู่กับพื้นของมัน โดยที่ดาวอีกดวงไม่สามารถส่งแรงไปดึงวัตถุนั้นให้มาติดในฝั่งของตัวเองได้ นั่นทำให้ตัวละครหลักของเรื่องอย่าง อดัม (จิม สเตอร์เจส) และอีเด็น (เคิร์สเต็น ดันท์) ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้จริงๆ เสมือนมีเส้นกั้นบางๆ แบ่งแยกระหว่างกันอยู่เสมอ
ประเด็นหลักที่ Upside Down กล่าวถึง คือการตีแผ่สังคมในปัจจุบัน ที่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะระหว่างคนรวยและคนจน เห็นได้ชัดเจนจากโลกคู่ขนานที่กล่าวไปข้างต้น โดยหนังกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า โลกเบื้องบนเป็นโลกของคนรวย ส่วนโลกเบื้องล่างเป็นโลกของคนจน ทั้งๆที่ถ้าพิจารณาจริงๆ ดวงดาวทั้งสองดวงอยู่คู่ขนานกัน ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้อย่างแน่นอนถ้ามองว่าทั้งดาวทั้งสองลอยอยู่ในจักรวาล หนังชี้ให้เห็นโลกของเราในปัจจุบัน ที่สังคมมองว่าคนรวยอยู่สูงกว่าคนจนเสมอ และมันคงจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ประเด็นหลักที่กล่าวไปข้างต้น ถึงแม้ว่าหนังวางโครงเรื่องเอาไว้ดี แต่หนังก็กลับไปเล่าเรื่องราวความรักระหว่างสองหนุ่ม-สาวที่อยู่กันละโลกแทน ซึ่งก็ทำให้ประเด็นแบ่งชนชั้นที่วางเอาไว้คร่าวๆ ดูล้มลงอย่างน่าเสียดาย เห็นได้จากตอนจบของเรื่อง คนดูหวังที่เห็นความเสมอภาคของโลกทั้งสองใบ แต่ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเพียงความฝันลมๆแล้ง โลกคู่ขนานก็ขนานกันอยู่วันยังค่ำ ในขณะที่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง การลงเอยด้วยเหตุการณ์ในเรื่อง อาจจะเป็นการจงใจให้เป็นอย่างนั้น เพราะโลกปัจจุบันของเรา ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีความเสมอภาคอยู่จริงๆ
ในเมื่อตีประเด็นแบ่งแยกชนชั้นไม่แตก ประเด็นที่หนังมอบให้และดูเข้าท่า ก็คือเรื่องราวความรักระหว่างพระเอกและนางเอก โดยอดัม พระเอกของเรื่องอาศัยอยู่ในโลกเบื้องล่าง ซึ่งใช้ชีวิตที่ค่อนข้างกระ
ถึงแม้ว่าหนังจะจบลงอย่างค้างๆคาๆ ซึ่งก็คือการไม่จัดการประเด็นความเสมอภาคให้แล้วเสร็จ แต่เมื่อตัวละครหลักอย่างอีเด็นท้องลูกในตอนท้ายๆ และทำให้เธอสามารถเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบ โดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยใดๆ ก็ได้สร้างความหวังให้กับคนดูว่า อีกไม่นานโลกคู่ขนานทั้งสองนี้ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ
สิ่งที่น่าประทับใจสำหรับหนังเรื่องนี้ก็คือ หนังสร้างโลกจินตนาการแห่งนี้ออกมาได้สวยงาม ยอดเขาสูงเสียดฟ้า แต่ถัดจากฟ้าไปแล้วก็เป็นยอดเขากลับหัวที่สูงเสียดฟ้าเหมือนกัน หรืออาคารหลายแห่งที่จะมีอยู่ชั้นหนึ่งที่เพดานไม่ได้เป็นเพดาน แต่เป็นโลกอีกใบที่อยู่ไกลเพียงแค่เงยหน้ามอง คล้ายกับการบอกสิ่งหนึ่งให้คนดูได้คิด โลกทั้งสองโลกเป็นเสมือนเงาในกระจก เรามองขึ้นไปก็จะเห็นในสิ่งที่เราอยากเป็นหรือไม่อยากเป็น เราจะอยากเป็นในสิ่งที่ได้เห็น หรืออยากจะเป็นในสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเรา…