คนที่มี(หรือเคยมี)แฟนเป็นชาวต่างชาติ ใครจีบใครก่อนครับ

*** คำเตือน : พันทิปมีวิธีการโหวตกระทู้แนะนำใหม่นะครับ กระทู้จะติดแนะนำยาวนานขนาดไหนอยู่ที่คะแนน + เป็นหลักเลยครับ ใคร่ขอความกรุณาช่วยกันกดคนละจึ้กด้วยนะครับ สมาชิกหนึ่งท่านจะกดได้แค่ครั้งเดียว ฉะนั้นทุกท่านที่ผ่านเข้ามาช่วยกันกดด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นกระทู้ตกแน่ๆครับ ***

คนที่มี(หรือเคยมี)แฟนเป็นชาวต่างชาติ ใครจีบใครก่อนครับ

มาแบ่งปันประสบการณ์ความรักระหว่างชาวไทยกับชาวต่างชาติของคุณที่กระทู้นี้กันไหมครับ ไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวังก็ยินดีอ่านทั้งหมดเลยครับ อยากรู้ว่าใครจีบใครก่อน, เขาเป็นคนชาติไหน, เชื้อสายอะไร, อะไรที่ทำให้คุณชอบเขาหรือเขาชอบคุณ ประทับใจกันที่ตรงไหน, และเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไรครับ

กระทู้นี้เอาตามความสมัครใจนะครับ ผู้ชาย


กระทู้นี้เป็นกระทู้ภาคต่อ เปิดภาค 3 ต้อนรับพินทิปในระบบโฉมใหม่ หลังจากที่ภาคหนึ่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งและภาคสองประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำทุกครั้ง มีสมาชิกบางท่านเสนอแนะมาที่จขกทว่าอยากให้กระทู้ดีๆแบบนี้มีอยู่ต่อไปจึงได้ตัดสินใจปล่อยภาคสามออกมาซึ่งก็ไม่รู้ว่าในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จเหมือนสองครั้งแรกหรือเปล่านะครับ ถ้าไม่เปรี้ยงก็จะปล่อยให้กระทู้ตกไปแล้วจะทิ้งช่วงของเรื่องนี้ไปเลยจนกว่าจะมีสมาชิกท่านอื่นมาตั้งกระทู้ทำนองนี้แทนหรือว่าตัวจขกทเองอาจจะอยากนึกสนุกอยากอ่านเรื่องราวที่ดีๆเหล่านี้อีกในอนาคตก็อาจจะมาตั้งเองอีกในอนาคตน่ะครับ เพราะกระทู้เหล่านี้ คือรวมถึงกระทู้ในทำนองเดียวกันจากสมาชิกท่านอื่นๆที่จขกทได้เคยอ่านๆมาด้วย มันเป็นอะไรที่อ่านแล้วมีความสุขและสนุกมากครับ

สำหรับใครที่อยากอ่านเรื่องราวดีๆอันมีมากมายมหาศาลและสนุกมากๆนั้น ให้คลิกเข้ากระทู้ด้านล่างนี้ได้เลยครับ เพราะเป็นความเดิมจากรอบที่แล้วและรอบก่อนหน้านั้นครับ มีสมาชิกหลายท่านมาร่วมแบ่งปันกันเยอะมากๆก็สามารถเข้าไปฟินกันได้ครับ เพราะทุกข้อความทุกรูปภาพยังอยู่อย่างดีเลยครับ

http://2g.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12571889/H12571889.html

สมาชิกท่านใดเคยเล่าเรื่องไปแล้วแต่อยากจะเล่าเพิ่มเติมหรืออยากจะเล่าใหม่ก็สามารถทำได้เช่นกันนะครับ เพราะที่ผ่านมามีสมาชิกบางท่านเล่าทั้งสองกระทู้(สองภาค)เลย หยั่งกับได้ดูหนังภาคต่อว่าเวลาที่ผ่านไปตัวละครแต่ละตัวมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรกันบ้าง ไม่แน่กระทู้นี้อาจจะมีสมาชิกบางท่านที่เคยเล่าเรื่องราวไว้ตั้งแต่ครั้งกระนู้นกลับมาอัพเดทเรื่องราวให้เราฟังกันก็ได้ครับ : D
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 69
*** คำเตือน : พันทิปมีวิธีการโหวตกระทู้แนะนำใหม่นะครับ กระทู้จะติดแนะนำยาวนานขนาดไหนอยู่ที่คะแนน + เป็นหลักเลยครับ ใคร่ขอความกรุณาช่วยกันกดคนละจึ้กด้วยนะครับ สมาชิกหนึ่งท่านจะกดได้แค่ครั้งเดียว ฉะนั้นทุกท่านที่ผ่านเข้ามาช่วยกันกดด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นกระทู้ตกแน่ๆครับ ***
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
เจอแฟนครั้งแรก ในเดือน กรกฎาคม 2010 (จำวันที่ไม่ได้) ที่สถานีรถไฟฟ้า ชิดลม เรากำลังไปอิเซตัน (เซ็นทรัลเวิร์ลปิดเพราะโดนไฟไหม้) ส่วนแฟน กำลังไปอิเซตันเช่นเดียวกันแต่ไม่รู้ไปทางไหน เลยมาถามเราว่าพูดภาษาอังกฤษได้ไหม และ ถามว่าจะไปอิเซตันไปทางไหน

เราเลยบอกว่า ตามเรามาเลย เรากำลังไปพอดี ระหว่างทางที่เดินไปอิเซตัน มันไกลมาก เลยเดินคุยไปเรื่อยๆ จึงได้รู้ว่า เค้ามาอยู่ไทยเมื่อกุมภาปี2010 แล้วก็ไม่ได้ไปไหนเลย ไปทำงานและกลับคอนโด (เพราะ ช่วงนั้นเกิดการชุมนุม) นี่เป็นครั้งแรกที่เดินทาง BTS โดยไม่มีขับรถให้ (แฟนเป็นคนญี่ปุ่น) หลังจากที่ไปถึง อิเซตัน เค้าก็ขอเบอร์เราไว้ เพราะ จะอยากเรียนภาษาไทยและ เรียนรู้เมืองไทย เราก็ให้ตามมารยาทแล้วก็แยกย้ายไป

หลังจากนั้น เค้าก็ส่งข้อความ มาถามทางมั้ง ทักทายธรรมดา แต่ไม่ได้เจอกัน จนเดือนสิงหา โทรมาบอกว่า วันนี้เค้าเลิกงานเร็ว สามารถมากินข้าวด้วยกันไหม ในตอนนั้นเราคิดว่า เราไม่อยากยุ่งกับเค้าเลย เพราะ เค้าเป็นต่างชาติ มาหลอกอะไรเราหรือเปล่า ตัวเราเองก็ไม่ได้สวย อ้วนอีก แต่เค้าก็พยายามบอกว่า ไปใกล้ๆ ที่พักเราก็ได้นะ เราเลยนัดที่ เซ็นทรัลบางนา เค้าก็มา แล้วบอกว่า อยากเลี้ยงข้าวขอบคุณเราในวันนั้น พอกินข้าวเสร็จก็ต่างคนต่างกลับ
เค้าก็โทรมาขอนัดกินข้าวกับเราอีก เราเริ่มรำคาญ เราเลยบอกว่า เจอครั้งนี้ขอเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ เพราะเราจะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดไกลมาก
พอมาเจอเค้าเลยขอเราเป็นเพื่อน ไม่ได้คิดอะไรแบบแฟน เพราะ เห็นว่าเราเป็นคนตลก บ้าบอ คุยเก่ง อยากให้พาเที่ยวบ้าง เพราะ เค้าไม่ได้มีเวลาเยอะ มีเวลาว่างบางครั้ง ก็อยากไปเที่ยวดูวัด หรือ ไปจังหวัดใกล้ๆ กทม.

เรากับเค้าเลยเริ่มเจอกันอาทิตย์ละครั้ง ไปวัด ไปห้าง ไปดูหนัง ไปกินอาหารอร่อยตามข้างทาง

จนเดือนมีนาคม 2011 มีเหตุการณ์ สีนามิที่ญี่ปุ่น เค้าเลยถูกส่งกลับ สิ้นเดือนมีนาคม พอเค้าถึงที่ประเทศญี่ปุ่น เค้าโทรมาหาเรา แล้วร้องไห้ เราใจไม่ดีเลย คิดว่าที่บ้านเค้าต้องมีเรื่องไม่ดีแน่เลย เค้าบอกว่า อยากแต่งงานกับเรา สามารถแต่งงานกับเค้าได้ไหม

ในตอนนั้น เรารู้สึกตลกมาก เป็นอะไรมากไหมเนี่ย สงสัยเค้าจะช็อค เค้าบอกว่า เค้าพูดจริง เราเลยบอกว่าเราไม่คิดจะแต่งงานหรอก อายุก็เยอะแล้ว อยู่คนเดียวได้ มีแมว4 ตัวเป็นเพื่อนแล้ว เค้าบอกว่า เวลาตายเราต้องตายคนเดียวนะ ไม่กลัวหรอ T____T มุขไหนเนี่ย
เราเลยบอกว่า เราเป็นคนไทย ประเพณีไทยบอกว่าจะแต่งงานแล้วแต่งเลยไม่ได้นะ มันยุ่งยาก เค้าเลยบอกว่า เค้าจะพยายาม

หลังจากนั้น เค้าก็กลับมาเยี่ยมเราเกือบทุกเดือน คุยกันทุกวัน ผ่านทาง skype Facetime Line โทรศัพท์  และ เรา 2 คนก็หมั้นกัน ในเดือน พฤษภาคม 2512 และ แต่งงานในเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา เราอายุ 35 ปี พอดี

กำลังจะย้ายตามสามีไปอยู่ประเทศญี่ปุ่น ในเดือน กุมภาพันธ์ คะ เค้าบอกว่า ดีใจที่ได้อยู่ด้วยกันเสียที ดีใจที่ตื่นมาเจอเรานอนอยู่ข้างๆ T___T
ความคิดเห็นที่ 8
ไปประชุมที่ภูเก็ต โชคดีได้พักโรงแรมหรู ช่วงทานข้าวเที่ยง เจออาหารแบบบุฟเฟ่ต์ จึงได้ยืนต่อแถวกับฝรั่งหนุ่มคนนึง หน้าตาดี ยิ้มแย้ม ก็แค่ยิ้มให้ตามมารยาททั่วไป

ตกเย็นไม่อยากทานอาหารโรงแรม แต่อยากทานส้มตำง่าย ๆ ตามตลาดในเมือง ก็เสี่ยงดวงออกไปคนเดียว เจอพี่ฝรั่งคนเดิมที่ร้านขายเสื้อผ้า ก็แค่เดินผ่านไป

เข้าไปหาซาลาเปาใน 7 -11 เจอขนมจีบอีกเพียบ เลยซื้อแบบแทบยกเหมา เพราะกะเก็บเอาไว้กินวันอื่น ๆ ด้วย รู้สึกมีคนมองมา เลยมองตอบก็เจอพี่คนเดิม ก็แค่ยิ้มให้

เดินออกจากร้าน มีคนเดินตาม ถามว่าจะกลับโรงแรมหรือไปไหน มาคนเดียว อยากได้เพื่อนทานข้าวด้วย โอเคป่ะ

มองพี่แบบงง ๆ ถามไป รู้ได้ไงว่าเราพักไหน เขาบอกรู้สิ ก็เจอกันตอนเที่ยง บอกไป มาประชุม แต่ไม่ได้พัก เขาบอกทันที พักที่เดียวกัน ผมรู้ด้วยว่าคุณพักห้องไหน อ่าววววววววว เหรอ

เลยเสนอไปว่าซื้อของตุนไว้เพียบ อร่อย ๆ ทั้งนั้น เคยกินป่ะ ไม่พูดปล่าว แต่ยื่นให้เขาด้วย แรก ๆ ทำท่าทางกลัว ๆ เราบอกว่า ถ้าท้องเสีย เดี๋ยวพาไปหาหมอเอง พี่ท่านจึงยอมชิม สรุปที่ซื้อไว้ตุนก็ช่วยกันกินจนเรียบหน้าเซเว่นนั่นล่ะ

ทานหมด เราบอกว่าหิวส้มตำ ออกมาเพราะส้มตำ ขอตัว พี่บอกว่าไปไหนขอตามไปด้วยสิ เอ่ออ งั้นก็ตามมาสิ

ไปทานส้มตำปลาร้า กับขนมจีน อร่อยอยู่คนเดียว อีกคนนั่งเล่นไอพอทไอแพทคอย แล้วจ่ายค่าส้มตำให้ บอกว่าแชร์จากค่าซาลาเปาขนมจีบ ก็ได้ค่ะ

ทานอิ่ม หาน้ำปั่นดื่มต่อ พี่ฝรั่งกลัว ไม่ยอมดื่ม แต่ขอชิมจากเรา ติดใจ แต่เดินออกจากร้านมาแล้ว จึงต้องยกน้ำปั่นให้พี่ท่านไปด้วยใจจำยอม แต่ดูหน้าพี่ท่านแล้ว เหมือนเด็กได้ของเล่นเลย น่ารักดี

จากนั้นหนึ่งอาทิตย์ที่ต้องประชุม ก็มีเพื่อนใหม่มาขอทานข้าวเย็นด้วยทุกวัน จึงค่อย ๆ ได้ข้อมูลส่วนตัวมาวันละนิด น่าสนใจมาก แต่อิฉันไม่อยากได้ฝรั่งเป็นสามีอ่ะ ชอบตี๋ ๆ น่ะ ส่วนเพื่อน ๆ ตาร้อนเป็นแถว เพราะพี่ท่านหล่ออ่ะ

ขากลับก็กลับเครื่องลำเดียวกัน ถึงจะคนละที่ แต่พี่ก็ทำยังกะมากับเรา เพื่อน ๆ ก็เชียร์ เริ่มใจเอน ๆ

ถึงกทม. ต้องไปต่อ พี่หรั่งก็จะกลับบ้านเมือง จึงได้แลกเมล์ และให้เบอร์ไว้ เผื่อแชท เผื่อคุย แบบไม่คิดอะไร คิดว่าผ่านมาแล้วคงผ่านไป

สองวันต่อมามีโทรศัพท์จากเมืองนอกมา และแทบจะทุกวัน คุยกันจนเริ่มหลงรักและปักหลัก พี่ท่านก็มาเยี่ยมทุก ๆ สามเดือนให้เราพาเที่ยว มานั่งดูเราทำงาน มานั่งดูเราซุ่มซ่ามไปทั่ว

สามี (ตอนนี้แต่งงานกันแล้วค่ะ ลูกกำลังจะสอง) บอกว่า พรหมลิขิตคือสิ่งที่เขาไม่เคยเชื่อ จนวันที่ได้เจอกับเรา เจอครั้งแรกก็ประทับใจ เจออีกก็ทึ่งในน้ำใจและนิสัยที่เราแฟร์ ๆ และภูมิใจแบบประหลาด ๆ (เพราะปกติฝรั่วไม่ถือ)ที่ได้รู้ว่า เขาคือผู้ชายคนแรกของเรา (ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ใช่แฟนคนแรก) ในวันที่พวกเราตกลงปลงใจแต่งงานกัน

มารู้ความลับเยอะแยะตอนพบครอบครัวเขา ทุกคนอยากรู้จักเรามาก สงสัยกันต่าง ๆ นา ๆ ว่าผู้หญิงไทยคนนี้เป็นคนยังไง ทำไมถึงทำให้ผู้ชายคนนึงคลั่งมากมายที่จะกลับไปเมืองไทยบ่อย ๆ แบบไม่ได้อะไรกลับมา (ไม่ได้มีเซ็กซ์) แต่ก็ยังยินดีที่ไปบ่อย ๆ จนเงินเก็บแทบหมด ทำให้ครอบครัวเขายอมรับและรู้สึกหลงรักเราไปด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเจอตัวจริง
ความคิดเห็นที่ 55
เข้ามาเจอ เลยอยากเล่าบ้าง ถึงไม่มีอะไรเลยก็ตามที แหะๆ เขียนไปเขียนมา ยาวแฮะ  เหมือนจะดูเด็กๆ ไร้สาระกว่าเรื่องอื่นๆ เยอะเลย

คือก็เจอกันครั้งแรกเมื่อซัมเมอร์ปี 2009 ที่อังกฤษค่ะ (อันที่จริงทางครอบครัวเราพอรู้จักกันมาก่อน แต่เราสองคนไม่ได้สนิทกัน ไม่เคยเจอหน้าเพราะปกติอยู่คนละประเทศ คุณพ่อคุณแม่เดินทางบ่อยด้วยเรื่องงาน แต่เราจะอยู่กับคุณปู่คุณย่า โดยเฉพาะช่วงปิดเรียน เขาเองก็กลับบ้านเวลาปิดเทอม คือเรากลับมา เขาก็กลับไปว่างั้นเถอะค่ะ คลาดกันตลอด)

เราเพิ่งเรียนจบ(ไฮสคูล) ส่วนเขากำลังอยู่ในช่วงพักเรียน  defer มหาวิทยาลัยไว้ เพื่อท่องเที่ยวและทำงานหาประสบการณ์ ตอนนั้นเขาเป็นเพื่อนสนิทของแฟนของเพื่อนอีกที แต่พวกเขาทั้งหมดอายุมากกว่าเราสามปี เขาเกิดที่แคนาดา แต่ก็มีเชื้อสายอังกฤษและไปโตที่ออสเตรเลีย แต่พอขึ้น Year 7 ก็ถูกส่งมาเรียนที่อังกฤษ แต่พอเข้า Year 11 ก็กลับออสฯ  ฮ่าาา jet setter มากๆ ครอบครัวเขาบอกว่าส่งไปปรับนิสัย

เขาตาฟ้า ผมสีบลอนด์เข้มๆ (สังเกตว่าฤดูร้อนจะบลอนด์ พอฤดูหนาวจะเอนไปทางน้ำตาล อันที่จริงก็ไม่แปลกเท่าไหร่ เพื่อนหลายๆ คนเป็นแบบนั้น บางคนเปลี่ยนสีตาเลยก็มี ฮ่าๆ) สูง 189  cm นักกีฬา นอกจากความสูงที่เข้าตา(ข้าพเจ้า)แล้วนั้น เพื่อนๆ พากันบอกว่าไม่มีใครอยู่นอก type เรามากขนาดนี้เท่านายคนนี้เลย หลายๆ คนบอกว่า หน้าตาคล้าย James Dean อยู่  แต่เราไม่มีทางชม nope เพราะเดี๋ยวเหลิง ฮ่าๆ เขาก็เหมือนผู้ชายหลายคนค่ะ ที่รู้ว่าตัวเองหน้าตาดี และสาวๆ ชอบ น่าหมั่นไส้นะนั่น

ตอนเจอกันนั้น ไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าครอบครัวเรารู้จักกัน จนกระทั่งรู้จักกันได้สักพักถึงกระจ่าง แถมเขาเพิ่งเลิกกับ high school sweetheart ของเขามาไม่ถึงปีเลย กับแฟนเก่าเขา เราเคยล้อว่า เหมือนตุ๊กตา Barbie กับ Ken เลย เพราะผมบลอนด์ ตาฟ้าด้วยกันทั้งคู่  ตอนนั้นยังแอบคิดว่า ท่าทาง หน้าตาแบบนี้ ไม่น่าจะเคยคบใครจริงๆ จังเลย คิดว่าจะเจ้าชู้ แต่พอรู้จักจริงๆ ก็จะรู้เลยว่า มองสาวตามประสา เจ้าเล่ห์มากๆ แต่ความเจ้าชู้ ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่นะ หรือเรามองโลกในแง่ดีเกินไป ฮ่าๆ

แต่ที่สำคัญที่สุดเลยที่ทำให้ไม่ได้คิดอะไรกับเขาไปมากกว่าเพื่อนก็คือตอนนั้นเรากำลังเดทคนอื่นอยู่ค่ะ (ประเด็นหลัก ฮ่าๆ) ไม่ถึงขั้นเป็นแฟน ไม่ได้ซีเรียสก็จริง แต่ส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องการลองเดทใครพร้อมๆ กันหลายคน ถือเป็นการให้เกียรติทุกๆ ฝ่ายด้วย ก็เลยไม่ได้คิดอะไร อีกอย่าง เพิ่งเรียนจบ เรียนหนักมานาน เลยกำลังรักอิสระที่ได้มา

เจอกันปุ๊บ เราสองคนเข้ากันได้ดีค่ะ ไปกันได้ทั้งนิสัยและความสนใจ คุยกันได้ทุกเรื่อง in tune มากๆ แต่ก็แหย่กัน ล้อกันได้ทุกเรื่องอีกเหมือนกัน

แถมยิ่งครอบครัวรู้เรื่องว่าเรารู้จักกัน เวลาที่ได้เจอกันก็เยอะยิ่งขึ้น เขามักถูกเชิญมาทานมื้อค่ำที่บ้าน อันที่จริงตอนหลังๆ เขาไม่ต้องอยู่แฟลตเลย แต่ไปอยู่ทาวน์เฮาส์ที่ลอนดอนของครอบครัวเราแทน ฮ่าๆ ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปโดยปริยายค่ะ จากเพื่อนเขามาเป็นเพื่อนเรา ฮ่าๆ  มาคิดๆ ดูก็คงเริ่มรู้สึกอะไรพิเศษตอนนั้นมั้งคะ บังเอิญไปไหมถ้าจะบอกว่า เราเผอิญสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับเขาอีก (เยี่ยมเลย ฮ่าๆ) ไกลบ้านก็จริง แต่คือเรื่องนั้นคิดมานานแล้ว เขาก็ยิ่งชอบใจใหญ่ บอกเราว่าคิดว่าเขาจะต้อง transfer เสียละ ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาพูดเล่นหรือจริงจัง หรือทำไมต้องคิดจะย้ายมหาวิทยาลัยด้วย (ยิ่งคิดยิ่งเชื่อเลยว่าตัวเองฉลาดมาก ฮ่าๆ)

พอย้อนคิดดูนั้น ชอบเขาตอนไหนไม่รู้ตัวเลยค่ะ รู้ตัวอีกทีก็…สายไปเสียละ ฮ่าๆ เน่าจังเลยเนอะ ความเป็นเพื่อนแปรเปลี่ยนเป็นความรักมั้งคะ ชอบตรงที่ว่าเวลาอยู่กับเขาแล้วทั้งสนุกทั้งสบายใจ วางใจเขาได้ในทุกเรื่อง เป็นเพื่อนคิดเพื่อนคุยเป็นที่ปรึกษาที่ดีมาก เราคบกันเหมือนเพื่อนที่เป็นคนรัก อธิบายยากจัง ฮ่าๆ เป็นคนมีเหตุผลด้วยกันทั้งคู่ (แอบชมตัวเองนะนี่ ฮ่าๆ) ถึง(เขา)จะใจร้อนก็เถอะ เราเลยไม่ค่อยจะทะเลาะกันค่ะ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ชอบการทะเลาเบาะแว้ง ถ้าข้องใจมักจะคุยกันเลย ให้เรื่องมันจบตรงนั้นหรือไม่ก็แยกย้ายไปสงบสติอารมณ์ ไม่มีการยกเรื่องเก่าๆ มาทำให้เป็นปัญหาอีก แต่เรื่องงอนกันนี่มีเยอะพอสมควรค่ะ เหมือนอยากให้มีอะไรตื่นเต้น ฮ่าๆ แถมการเป็นเพื่อนกันมาก่อนทำให้ชินมั้งคะ เวลาที่จะไม่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ความไว้วางใจก็มีให้กันเยอะ

แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งเดือนกรกฎาคม ปี 2010 (เอ่อ แต่ปัจจุบันเขายังเถียงว่าเหตุการณ์ก่อนหน้าวันเกิดเหตุนั้นมีเยอะ แต่เราน่ะไม่รู้เรื่องเอง ยกตัวอย่างเช่นวันวาเลนไทน์ปี 2010 อุตส่าห์ชวนไปดินเนอร์ เรายังคิดว่าเขาแค่หวังดี เห็นเรา ‘new in town’ เลยชวนเพื่อนๆ ที่โสดและว่างวันนั้นมาอีกเต็ม ฮาาา พอเขาซื้อดอกกุหลาบให้ เรายังเฉยๆ แถมยัดเหยียดให้เขาซื้อไปให้คนอื่นอีก เขาบอกว่าอยากจะรุกฆาต ว่าไงนะ “kiss you senseless” เพราะเริ่มหมดความอดทน แต่ความเป็นสุภาพบุรุษค้ำคอด้วย เอาจริงๆ หรือ “ไอกลัวโดนยูตบ” ฮ่าๆ)

เรากลับอังกฤษหลังสอบเสร็จ ทั้งๆ ที่ฤดูร้อนปีนั้นครอบครัวไม่ได้อยู่อังกฤษเลย ฮ่าๆ อ๋อ กะจะลากคนข้างๆ มาทำมิดีมิร้ายก็เท่านั้น (เอ่อ ไม่ใช่ละค่ะ ^o^) จริงๆ นั้นกลับมาเพื่อจะไปเทศกาลดนตรี T in the Park ที่ Scotland โดยเฉพาะ (พ่อแม่ปลาบปลื้ม 555 เปล่าเลย ชินละ ลูกสาวเที่ยวเก่งจัง) ถึงจะไม่ชอบผู้คน ไม่ชอบอะไรที่มันแออัด แต่ไม่ไปไม่ได้ค่ะ line-up ปีนั้นสุดยอดมากๆ แถมกว่าจะได้ตั๋วมานี่วุ่นวายกันไปหมด ถึงขั้นที่ว่าถ้าซื้อตั๋วไม่ได้ก็จะยอมไป Oxegen ที่ Ireland แทนละ

เขาก็มาด้วยค่ะ มากับเพื่อนๆ ของเขา ไม่ได้มาด้วยกัน แต่คือต่างคนต่างรู้ค่ะว่าอีกฝ่ายจะมา ไม่รู้ได้ยังไงล่ะ ก็เพื่อนของเขาที่ทำเอาเราปวดหัวกับเรื่องซื้อตั๋วแทบแย่

จำได้วันเกิดเหตุนั้นวง Mumford & Sons ขึ้นแสดงและเป็นเพลง Winter Winds  พอดี เป็นอีกหนึ่งในวงที่เราสองคนชอบมากๆ ค่ะ ชอบตั้งแต่วันที่ single แรกออกเลยกว่าได้ พอพวกเขาขึ้นแสดงอารมณ์ก็เลยสนุกสนานมากๆ ปลื้ม ลืมฝูงชนที่ว่าขยาดเลยว่าได้ อยู่ใกล้เวทีอีก in the zone สุดๆ

บรรยากาศไม่ได้โรแมนติคอะไรเลยค่ะ ไม่มีกลิ่นดอกไม้ใบไม้อะไรทั้งนั้น ไม่มีเสียงนกร้อง มีแต่กลิ่นเหงื่อ อมยิ้ม20 ของฝูงชน เสียงร้องเพลงตามนักร้องที่ออกจะผิดโทน แถมยืนเบียดแน่นกันได้ในระดับที่ถ้าไม่รักจริง ก็ไม่อยู่ดูนะ M&S เนี่ย ดังนั้นโรแมนซ์ไม่เกิดขึ้นหรอก
หรือเปล่า …

คือมันมีอยู่ว่าก่อนหน้านั้นไม่นานมากมีผู้ชายพยายามอุ้มเราขึ้นนั่งบนไหล่ แต่เราไม่ต้องปฏิเสธผู้ชายคนนั้นเลย เขาจัดการให้เรียบร้อยละ เอาแขนล่ำๆ โอบไหล่เราไว้ (เหมือนจะดึงมากกว่านะ) เขาไม่ต้องพูดมากไปกว่า “Don’t, man.” เพื่อที่จะให้ผู้ชายคนนั้นปล่อยมือเรา เพราะสีหน้าและสายตาทำเอาฝ่ายนั้นยกมือขึ้นขอโทษจนเราก็ยังแปลกใจค่ะ แต่ประหลาดนะ ในตอนนั้นจำได้เลยว่าหัวใจเต้นแรงมากๆ ลืมวงดนตรีไปละ (ลืมง่ายจังนะเธอ)  

เขาชำเลืองมองเรานี่ยืนนิ่ง ตะโกนบอกให้ระวังด้วย แต่หน้านะดุมาก จริงจังสุดๆ เรายังต้องล้ออยู่เลยว่าซีเรียสอะไร เทศกาลดนตรีก็เป็นแบบนี้ล่ะ เมื่อวันก่อนตอน Muse แสดง ไอยังเห็นยูอุ้มสาวขึ้นบนบ่าเลย เขาตาโต ตกใจ ฮาาา แหม คิดว่าไอไม่เห็นล่ะสิยู เรางี้รู้ทัน เลยส่ายหน้ายิ้มบอกไปว่า “ทำไม คิดว่าไอไปดู Florence (and the Machine) หรือไง”
ยิ้มก็จริง แต่บอกตรงๆ แอบเคืองนะคะ ชิ เขาก็พยายามปฏิเสธ แต่คงคิดอะไรไม่ออกมั้งเลยออกมาแค่ “มันไม่เหมือนกัน”
“อืม” เราก็หันหน้าหนีละค่ะ ไม่ได้งอน แต่อยากให้รู้ไว้ว่าไม่เห็นด้วย ฮ่าๆ ยั่วนิดๆ จะเป็นอะไรไป ตอนนั้นก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ค่ะ ว่ายั่วทำไม แต่ที่แน่ๆ ช่วงก่อนเกิดเหตุนั้นหงุดหงิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆแบบนี้บ่อยมากค่ะ บ่อยจนเราเองยังงง ว่าฉันเป็นบ้าอะไร แต่เขาก็ไม่เคยว่านะ ตอนหลังน่ะ มาบอกว่า ชอบเวลายูหึงแบบไม่รู้ตัว …หือ อะไร ใครหึงคะ ไม่เคย!

แล้วสักพักเขาก็ก้มลงมาตะโกนข้างๆ หู บอกว่า “ฟังนะ ไอไม่ได้รอมานานขนาดนี้…”  พร้อมกับดึงให้เราหันกลับไปหาทั้งตัว เราก็สะดุ้งนิดๆ ใจเต้นแรงละ งงและสงสัย เอ้อ แล้วจะได้ดูไหมเนี่ยคอนเสิร์ต ว่าจะขัดขืนก็เลยต้องยอมหันกลับไปมองสักหน่อย
“รออะไร”
“…เพื่อให้คนอื่นมาแย่งที่ไอ (for someone else to steal my place)”

จำได้ว่าตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวว่า เราพูดกันคนละภาษาหรือเปล่า เพราะไม่เข้าใจ หรือไม่ก็รอบตัวมันดัง เลยฟังผิด เรามองเขาแบบงงๆ งงมาก รอคำอธิบาย ที่อะไร  เขาก็มองข้ามหัวเราไปที่เวที เพลงโปรดกำลังเล่นเลย ในใจตอนนั้นแอบคิดว่าถ้ายังมัวแต่ตะโกนคุยกันจนฉันพลาดเพลง The Cave มีเรื่องแน่ แล้วเขาก็โยนคำพูดที่ทำให้เรางงเพิ่มอีก
“For a smart girl, you’re pretty slow!” อะไร แรกๆ เหมือนชม แต่หลังๆ มาหาว่าฉันช้า ช้าอะไร
นางเอกนิยายสะบัดตัวยังไง เราทำอย่างนั้นเลยค่ะ เคือง รู้ตัวอีกทีก็โดนจูงมือ เรียกว่าลากดีกว่านะ ออกจากหน้าเวทีมาไกลมาก คือจากแทบจะเลียเหงื่อนักร้องนำได้(^^) ตอนนี้เห็นแต่คนนับร้อยที่ล้อมรอบเวที มัมฟอร์ดเห็นแค่ลางๆ
เยี่ยมมากค่า
“ไอคิดว่าไอรอมานานพอแล้วนะ รอมานานมาก” เขาตะโกนขึ้นมา ส่วนเราอีกนิดเดียวก็จะระเบิดอารมณ์แล้วค่ะ แต่พอฟังคำพูดดีๆ แล้วมันเกิดอาการมึนแทนโมโห แบบ Huh? อะไรของเขา
“Wait for what?!”   หงุดหงิดสิคะ สรุปจะช่วยพูดอะไรให้มันเคลียร์ๆ ได้ไหม แล้วมาคุยอะไรกันกลางเทศกาลดนตรี ได้ยินก็แทบจะไม่ได้ยิน แถมเลือก moment ดีมาก ฮือ Mumford จ๋า ไม่นะ Winter Winds จบไปแล้ว เศร้า
เอ่อ แต่ก็พูดตรงๆ นะคะ ถึงไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองหรือความรู้สึกเขาในตอนนั้น แต่ก็พอจะเริ่มรู้สึกแปลกๆ ในท้อง รู้สึกตื่นเต้น กังวล ประหม่า หวาดเสียวเล็กน้อย
“ว่าไงล่ะ รออะไร” หันไปถามอีกเมื่อเขาเงียบ แล้วก็ต้องงงค่ะ ตอนนั้นเขาทำหน้าเครียดแบบกังวลมาก เหมือนกำลังจะไปกระโดดหน้าผาอย่างงั้นแน่ะ ก็เลยจะถามว่าเป็นอะไร แต่เขาตอบมาก่อน เรียกว่าตะโกนกลับมาคงจะถูก
“This!”
……..
……. …..
…………
…..เอ้อ

อมยิ้ม07

ฮ่าๆ ตอนนั้นช็อคมาก ทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน (นั่นไง) คือสองมือของเขากุมหน้าไว้ ก้มลงมา ปากประกบเข้าหาเลย เล่นเอาซะเกือบหงายหลัง

แล้วจากนั้นก็ต้องคุยกันยาวเลยเชียวค่ะ แต่ก็ไม่ได้ปรับสถานะเป็นทางการทันทีนะคะ ขำมาก พอทุกคนรู้เรื่อง บอกเหมือนกันหมดเลยว่า took you two long enough ฮ่าๆ เขินวุ้ย

มีรูปภาพถ่ายแบบ polaroid จาก T in the Park ด้านหลังเขาใช้ liquid paper ปากกาสีขาวๆ ที่ใช้ลบปากกาอ้ะค่ะ ไม่รู้ว่าภาษาไทยเรียกว่าอะไร (อธิบายได้เยี่ยมมากเธอ) เอาเป็นว่า เขาเขียนไว้ว่า ‘So many fish there in the sea. I wanted you, you wanted me.’

อูย พอพิมพ์ออกมาแล้วอายแฮะ  *หน้าซุกมือ* อมยิ้ม11 (อ้อๆ แล้วนั่นก็เนื้อเพลงค่ะ เพลงของวง Strokes เพราะเขาไม่ creative ขนาดนั้นหรอก ฮ่าๆ)

ส่วนใครจีบใครก่อนนั้น มันก็ไม่เชิงว่าจีบมั้งคะ คือมันใช่การ flirt หรือเปล่า เพราะเราเริ่มต้นที่เพื่อนก็เลยอาจจะไม่มีอะไรหวือหวา แต่เขาและใครๆ หลายคน (แม้กระทั่งคุณปู่เรา - -) ยังบอกว่าเราน่ะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย clueless มากๆ เขาใบ้เท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ ช้ามากๆ คนอื่นๆ รู้มาตั้งนาน จนเขายังบอกเลยว่า คิดว่าโดน “friend zone” จริงๆ เสียแล้ว ท้ออยู่หลายๆ ครั้ง แต่เขามั่นใจ(จนน่าหมั่นไส้)ว่าเราแค่ไม่รู้ตัว เพราะใครๆ ก็บอกว่าเราชอบเขาแน่นอน แค่งี่เง่าไปนิดนึง อืม ชมกันจัง
ความคิดเห็นที่ 28
แบ่งปันด้วยค่ะยิ้ม

เรากับแฟน (กำลังจะเปลี่ยนสถานะเดือนพฤษภาที่จะถึงแล้วค่ะ) เรียนที่เดียวกันในไทยนี่แหละค่ะ
ที่มหาวิทยาลัยเพิ่งจะเปิดหลักสูตรอินเตอร์ได้ 2 ปี เราก็ได้เป็นรุ่นที่ 2 เลย
วันนั้นจำได้ว่าแต่งตัวได้แนวมาก (แนวแปลกมากๆ ฮ่าๆๆ) คือใส่บู้ทผ้าใบหุ้มข้อสีขาว กระโปรงพลีทคลุมเข่า เสื้อพอดีตัวไม่เล็กไม่ใหญ่
แต่เราผอมๆ เลยทำให้ดูเหมือนตัวเล็กๆ วันที่นั่งรอเข้าเรียนคาบแรก ยังไม่มีเพื่อนเลย ภาษาก็ห่วย ในใจคิด ทำไม๊ทำไม ไม่อดทนให้จบวิศวะ
มาซิ่วให้ลำบากตัวเองทำไม (ตอนนั้นเอ๊นทรานซ์ติดวิศวะไฟฟ้า มหาวิทยาลัยสีเขียว แถวๆศรีราชาค่ะ) ใจกังวลค่ะ กลัวจะไม่มีเพื่อน
กลัวเรียนไม่รู้เรื่อง ระหว่างนั่งรอ มีน้องๆ (ขอเรียกน้องนะคะเพราะคิดว่าตัวเองอายุเยอะกว่า ณ เวลานั้น) มาขอเบอร์สองคน ตอนนั้นแบบ เฮ้ย หรือว่าเราหน้าตาดีวะ 5555  คิดไปได้ ก็ให้ไป ที่นี่ เวลาคาบเรียนแรกมาถึง เราก็นั่งรอ กะเข้าห้องสายสักสิบนาทีเพราะกลัว
ก็เดินเข้าห้องไป ทีนี้คาบเรียนแรก อาจารย์ก็จะให้แนะนำตัวค่ะ แต่จะใช้ภาษาอังกฤษ ไอ้เราก็นะ พูดไม่เป็นแม้แต่แนะนำตัว ทำไงดี
ถามเพื่อนที่นั่งข้างๆ เธอๆ แนะนำตัวยังไง ฮ่าๆๆๆ ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
เล่ามาซะยาว  เข้าเรื่องเลย ที่นี้ถึงคราวแฟนเราต้องแนะนำตัว ทุกคนก็จะหันไปมองเป็นเรื่องปกติ แต่เรานี่แบบเห็นแฟนครั้งแรกคิดในใจ
เฮ้ย ลูกศิษย์วัดเส้าหลินเหรอวะ ฮ่าๆๆ  คิดแบบนั้นจริงๆนะคะ คือเค้าตัวขาวๆ อวบๆ แล้วก็สกินเฮดแบบติดหนังหัวเลย
แล้วเค้าก็พูดอะไรไม่รู้ คืออาจารย์ก็ฟังไม่รู้เรื่องค่ะ ก็ถามเค้าอีกว่าชื่ออะไรนะ เค้าก็พยายามออกสำเนียงฝรั่งอ่ะนะ แต่สำเนียงคนจีนอ่ะค่ะ
ฟังบ่เข้าใจ ก็เลยต้องพูดช้าๆ เลยรู้จักชื่อกันไป แต่ในใจคิดแล้วนะว่า ไอ้นี่มันต้องเรียนเก่งแน่ๆเลย คนจีนแผ่นดินใหญ่ทำไมมาเรียนที่นี่เรียนสาขานี้ด้วย พอจบคาบแรก ก็ชวนกันไปกินข้าว ไอ้เราตามๆเพื่อนใหม่ไป ที่นี้เพื่อนก็แบบ เฮ้ย เธอชวนคนจีนไปด้วยสิ เราก็เธอก็ชวนสิ เราพูดไม่เป็น
ก็เกี่ยงกันไปมา แฟนเราก็นั่งมอง แบบเอ่อ ทำไมยังไงดี สุดท้ายก็เดินไปกินข้าวกัน เพื่อนในกลุ่มก็เริ่มชวนเค้าคุย
ปรากฏว่าคุยไปคุยมา ที่เลือกมาเรียนที่ไทยเพราะอกหัก แฟนทิ้งไปหาคนใหม่ เหตุผลแบบ เปลืองเงินพ่อแม่จริงๆวัยรุ่น
หลังจากทานข้าวเสร็จ ก็มีเวลาเหลือประมาณสองชั่วโมงจะเรียนวิชาถัดไป ก็เลยชวนกันขึ้นรอที่เล้าท์ของเด็กอินเตอร์ (เค้าเรียกกันแบบนี้)
ที่นี้เพื่อนๆของแฟนที่เป็นคนจีนพอเห็นเราก็แบบ เฮ้ยขอจีบเราได้ไหม (มารู้ตอนเป็นแฟนกันได้สองเดือน) แฟนก็แบบ เอาสิเดี๋ยวช่วย (ชิชิ)
ก็มีเพื่อนเค้ามาคุยด้วยอยู่สองคน เป็นรูมเมทเค้าคนนึง อีกคนก็แบบหมาหยอกไก่ แต่คนเป็นรูมเมทนี่สุดยอดมาก ขอแต่งงานตั้งแต่อาทิตย์แรกที่คุยกัน ป้าด พ่อหนุ่มน้อย เจ้ายังไม่รู้ซะแล้วว่าเราแก่กว่าเจ้าถึงสองปี 555  ก็เลยบอกไปว่าเรียนให้จบก่อนเรามีคนที่ชอบอยู่แล้ว (ซึ่งจริงๆไม่มี)
เค้าก็ห่างๆไป มาถึงคราวคุณแฟนตัวดี หลังจากเปิดโอกาสให้หนุ่มๆหลายๆคนเข้ามาขายขนมจีบ ก็เลยขอจบบ้างด้วยการไปส่งที่บ้านทุกวัน ย้ำทุกวัน แล้วคนจีนที่ไม่รู้ภาษาไทยเลย นั่งแท็กซี่ไปส่งที่บ้านแล้วนั่งกลับ ค่ารถก็เกือบๆ ห้าร้อยบาทต่อวันไปแล้ว ใจตอนนั้นเริ่มคิดแล้วว่า จีบแน่นอน
แต่ชอบเล่นตัวค่ะ บอกไปเลยว่าไม่ชอบคนอ้วน น้ำหนักลดลง 10 โลค่อยคุยกัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อภายใน 1 เดือนแฟนเราทำได้ ก็เลยเริ่มคุยกัน เค้าก็บอกว่า เค้าชอบเรานะ เราสวยมากในสายตาเค้า รอยยิ้มเราสวย อะไรแบบนี้ ก็อือออไป เพราะยังไม่อยากมีแฟน เพื่อนๆในกลุ่มเริ่มยุแล้วช่วงนี้
และแล้วก็มีเหตุให้เราต้องหยุดเรียนไปหนึ่งอาทิตย์ เราก็แกล้งบอกเค้าไปว่าเราจะเยอรมันนี ไปเรียนต่อดาราศาสตร์นะ (จริงๆ ติดต่อทำเรื่องแล้ว ตั้งใจจะไปเรียนภาษา เพราะมีญาติอยู่ที่นู่นด้วย) ปรากฏว่า ผ่านไปสามวัน เพื่อนที่รู้ว่าเราหยุดไปทำไม โทรหาบอกว่าพอเหอะ  มันนั่งร้องไห้มาสามวันแล้ว เรียนไปร้องไห้ไป หน้าเขียวหน้าเหลืองเพราะไม่ยอมกินข้าวกินปลา บอกกับเพื่อนเราว่า คิดถึงเรา ไม่รู้ทำไมถึงคิดถึงขนาดนี้ เพิ่งเจอกันแต่รู้สึกว่ารักมากก็เลยตกลงคบเป็นแฟน  จนกระทั่ง 6 ปีผ่านไป ไวเหมือนเขียนปฏิทินผิด 555 ได้เลิก เอ้ย ได้ฤกษ์แต่งงานเดือนพฤษภาคมปีนี้แล้วค่ะ แต่แต่งที่ไทยก่อน เพราะเราเป็นลูกคนโต แม่ขอไว้ แล้วปีหน้าจะกลับไปแต่งที่บ้านเค้าที่คุนหมิง
อยากจะบอกว่าหกปีที่ผ่านมาทำให้เรารู้ว่าบางทีโชคชะตาก็ลิขิตให้เราเจอกันเร็ว แต่บางทีก็เร็วไป เพราะตอนนั้นเรียนอยู่

ปล1 เป็นครั้งแรกที่เขียนยาวขนาดนี้ อาจจะอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่อยากจะแชร์บ้างอ่ะ
ปล2 เค้าอ่อนกว่าเรา ปีครึ่งค่ะ
ปล3 ตอนนี้แข่งกันลดน้ำหนักอยู่ จาก 42 ขึ้นมาเป็น 55 ส่วนเค้า 65 เป็น 90 เฮ่อ  รักกันจนอ้วนเลย
ปล4 แก้ไขเพราะลงรูปไม้ได้ไฟล์ใหญ่ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 27
ในฐานะที่คุณ Keichun สนใจฝรั่งเศสมากเป็นพิเศษ   และเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า...มาเจอรักและแต่งงานอีกทีในยามปัจฉิมวัย..กับชายฝรั่งเศสที่แสนดี   โดยมีจุดมุ่งหมายว่าเราจะช่วยกันประคับประคองและใช้ชีวิตที่เหลือของเราให้มีความสุขให้มากที่สุด..

ผู้ชายฝรั่งเศสที่เกิดมาในช่วงบ้านเมืองมีศึกสงคราม หมายถึง สงครามโลกครั้งที่สอง ได้เห็นและผ่านวิกฤติของผันผวนของบ้านเมือง นับตั้งแต่สงครามเย็น และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ เนื่องจากชาวฝรั่งเศสมักใช้การสไตร์คแรงงานเป็นการต่อรองเป็นนิจสิน
จึงทำให้คนรุ่นนั้นๆมักมีระเบียบในการใช้จ่ายเงินทอง...มีวินัยในการเก็บออม จะเรียกว่า มัธยัสถ์ขั้นเทพก็ว่าได้
สามีของดิฉัน...คือ หนึ่งในนั้น...

เพราะอย่างนี้...เขาจึงได้มีชีวิตในวัยเกษียณอย่างสบายๆ  มีอสังหาฯเป็นของตัวเอง...มีเงินบำนาญให้ใช้รวมทั้งสวัสดิการในเรื่องการรักษาพยาบาลจนกว่าชีวิตจะหาไม่ หรือ หากจากโลกนี้ไปแล้ว..ภรรยาก็ยังได้รับเงินครึ่งหนึ่งของบำนาญต่อไปอีก..

ก่อนแต่งงานกัน เราคุยกันถึงเรื่องนี้ เขาไม่มีกั๊กในสิ่งใด...โดยบอกว่า เราจะต้องอยู่อย่างประหยัด และมีเหตุผล ไม่ใช่ต้องมาอดอยาก แต่ไม่ฟุ่มเฟือย  โดยตบท้ายอย่างสรุปว่า  ยิ่งเราใช้น้อยเท่าไหร่...มันจะเหลือสำหรับดิฉันมากเท่านั้น (หากเขาจากไปก่อน)
ส่วนอสังหาฯ จะเป็นของดิฉันครึ่งหนึ่งทุกอย่าง...อีกครึ่งหนึ่งจะเป็นของลูกเขาสองคนที่จะไปแบ่งกัน ไม่ต้องไปหาทนายให้เสียเงิน เพราะนี่คือกฏหมายของฝรั่งเศส

ดิฉันเข้าใจในสิ่งที่เขาบอก และ เห็นว่าเป็นสิ่งดีที่เราสามารถคุยกันได้อย่างเปิดอก  แต่มันก็เป็นเรื่องแปลก...ว่า...ความรักสามารถทำให้คนที่เคยมีวินัยในการใช้จ่ายสุดๆนั้นเปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ...
ดิฉันชอบเดินทางไปเมืองโน้นเมืองนี้ เพราะทุกเมืองในฝรั่งเศส...สวยหมด..
คุณสามีพาไปได้ทุกที่ เพราะเรามีสิทธิสำหรับขึ้นรถไฟฟรีทั่วฝรั่งเศส เกี่ยงแต่ว่าจะต้องเที่ยวแบบคนฝรั่งเศส คือ เดิน และใช้การขนส่งมวลชนถ้าจำเป็น ไม่มีการซื้อของใดๆ...จะมาเป็นอย่างอเมริกันที่ซื้อดะไปหมดไม่ได้
และเขาสัญญาไว้ว่าถ้าตอนที่ดิฉันย้ายมาอยู่อย่างถาวรแล้ว...เราจะเดินทางกันไปในหลายๆเมือง (ตามลิสต์ที่มี) เพราะช่วงฤดูร้อนเหมาะแก่การไปเที่ยวที่สุด..


เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา...ที่เมืองที่เราอยู่อินเทอร์เน็ทค่อนข้างมีปัญหา  ติดๆดับๆ  เลยบ่นๆว่า...นอกจากแมวตัวเดียวที่เรามีแล้ว น่าจะมีลูกหมาอีกสักตัว..
คุณสามีค้อนขวับ...บอกว่า...สัตว์เลี้ยงในฝรั่งเศสแพงมาก เพราะต้องซื้อจากร้านที่ใบรับรอง
ดิฉันก็เลยเงียบไป...
เขากลับไปเล่นเน็ท อ่านหนังสือพิมพ์ออนไลน์ตามกิจวัตร (หารู้ไม่ว่า..เขาออนไลน์ไปหาดูร้านขายสุนัข)

สองวันต่อมา...เขาบอกว่า แต่งตัวไปข้างนอกกัน..
ปรากฏว่าเขาพาไปร้านขายสัตว์เลี้ยงค่ะ...ถามว่าชอบตัวไหน?
ดิฉันชี้ไปที่ชิวาวา...ในราคาน่าตกใจ คือ 1290 ยูโร..(ตัวไหนๆก็ราคาประมาณนี้) ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า เขาพามาดูเฉยๆหรือจะซื้อให้...
คุณสามี...จัดการสั่งซื้อทันที บอกว่า...ของขวัญปีใหม่ให้ที่รัก...!!อมยิ้ม01อมยิ้ม13



ฉะนั้น...ดิฉันจึงคิดว่า ใครจีบใครก่อน หรือ เขาจะเป็นต่างชาติหรือไม่นั้น..อาจไม่ใช่สาระสำคัญมากไปกว่าความจริงใจและ การปรับตัวเข้าหากันให้อยู่ได้อย่างมีความสุข
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่