สำหรับคนยังไม่ได้อ่านตอนแรกๆครับ.
ตอนที่ 1
http://pantip.com/topic/30024509
ตอนที่ 2
http://pantip.com/topic/30027751
ตอนที่ 3
http://pantip.com/topic/30030578
********เรื่องราวที่เล่ามานี้เป็นเรื่องในอดีตในปี 2007 กรุณาอย่าเอามาอ้างอิงกับราคาหุ้นปัจจุบัน เพราะอาจเป็นเหตุให้ผู้เขียน น้ำตาตกในได้
และแล้ว 3 วันถัดมาเงินก็เข้ามาในบัญชีตามที่เคยบอกไว้ โฮะๆ นี่เราเป็นเศรษฐีระดับ ร้อย(บาทและหัวเกือบ)ล้าน แล้วนะเนี่ย!!! จะใช้ยังไง ให้หมดหว่า อืม จะซื้อ ป๊อกกี้ + โค้กกระป๋อง ก็เหลือเก็บเหลือเฟือแล้ว 5555555 และแล้ววันต่อๆมาเราก็เริ่มย่ามใจ โดยที่ลืมคิดคำพูดที่ว่า “เมื่อใดย่ามใจ ภัยก็จะมาเยือน” ราคา M- - - - กลับมาที่เดิม 15.90! โอ้ อย่างนี้ต้องซื้ออีกแระ คราวนี้ถือยาวจริงๆละ (ใครยังไม่อ่านไปอ่าน chapter 3 ก่อนนะครับ พอดีตอนนั้นดูอยู่หลายตัวแต่ หุ้น M นี่ มีประวัติอันโชกโชนกับผมจริงๆ ทั้งรักทั้งแค้น)
หลังจากที่ซื้อแล้วใจผม ก็ยังแบ่งเป็นสองฝ่ายทะเลาะกัน (อีกแล้วเรอะ!)
ฝ่ายที่หนึ่ง “พี่น้องครับ! จะถือจริงเร้อราคามันสูงนะครับ!?”
ฝ่ายที่สอง “เฮ้ยนี่มันราคาต่ำแล้วนะเฟ้ย คราวที่แล้วเห็นปะเชื่ออั๊ว รวยหลักร้อยเลย คราวหน้าเป็นหลักหมื่นชัวร์!!!!”
ฝ่ายที่หนึ่ง “ดูยัง ว่างบการเงินบริษัทเป็นไง การถือหุ้นบริษัทเป็นไง วอร์เรน บัฟเฟต เขาไม่ได้ตัดสินใจเร็วขนาดนี้นะเฟ้ย อย่างน้อยเขาก็ต้องดูงบก่อน ไม่ใช่เรอะ”
ฝ่ายที่สอง “ไหนๆก็ซื้อแล้ว ไปดูเองดิ”
(ตกลง มันจะทะเลาะกันไปตลอดชีวิตตรูป่าวเนี่ย - -' ไม่ใช่การเมืองนะครับ!)
เอาวะ อย่างน้อยก็ถือเป็นการฝึกการวิเคราะห์ของเรา หากเราไม่นับหนึ่งเพื่อเริ่มดูงบวันนี้ แล้ววันหน้าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทที่เราจะร่วมลงทุนด้วยเป็นอย่างไร! อะๆ เพ้อละ กลับมาดูที่รายได้ของโรงหนังกันว่ามีโครงสร้างรายได้อย่างไรบ้าง
1. ค่าตั๋วหนัง ก็แหง๋อยู่แล้วเวลาคนไปดูก็ต้องจ่ายตังค์ไม่ใช่เรอะ! อืม ทำไมค่าตั๋วมันราคา 100 ก่าๆฟะเนี่ย! นี่มันเทียบเท่ากับ การทำงานครึ่งวันของค่าแรงพื้นฐานเลยนะเฟ้ย (สมัยโน้นที่กทม.ประมาณ 200 บาทกว่าๆนะ) แต่สมัยที่เมกาทำงาน 1 ชม. ขั้นต่ำรายได้ก็ใกล้เคียงกับตั๋วหนังแล้วนี่หว่า!!!! แปลว่า เมืองไทยกำไรดีแหง๋ 555555!!
2. ค่าโฆษณา ใครๆก็บ่น ใครๆก็ด่า ทำไมยังมีโฆษณาก่อนเข้าโรงอีก มีตั้ง 20-30 นาที บางที “รู้สึก” เกือบ 1 ชม. คนอื่นอาจจะบอกว่า พี่ m ค้าบ ผมมาดูหนังนะครับ ไม่ได้ดูโฆษณา แต่ว่ามันทำให้บริษัทเรามีรายได้มากขึ้นอีก เราก็ยอมนั่งดูนะ 5555! (มีโฆษณาอันนึงที่สมัยก่อนออกบ่อยมาก จนจำได้ขึ้นใจซึ่งปิดท้ายด้วย“ผมชอบแกงป่าปลาดุกครับ ผมอยากให้คนกินแฮมเบอร์เกอร์รู้จักว่าแกงป่าปลาดุกเป็นยังไง” เยี่ยมครับ ตกลงเฮียขายแกงป่าปลาดุกใช่ปะครับ ผมฟังสื่อผิดป่าวเนี่ย!!!!) สุโค่ยเลยครับลูกเพ่ m เป็นวิธีหาเงินที่เลิศที่สุด! แถมเป็นวิธีที่ทำให้เกิดรายได้ข้อที่ 3 ต่อ....
3. ค่าขนม ถูกครับ! ขนมที่เราๆท่านๆ ซื้อกันหน้าโรงไม่ว่าจะ ป๊อบคอร์นรสชีส รสหวาน รสเกลือ น้ำอัดลม ปลาเส้น ขนมกินเล่น ไส้กรอก ฯลฯ พอทีนี้เราเข้าโรงเร็ว เราก็ดูโฆษณาเพลินๆนานๆ ใจก็จดจ่อ ว่าหนังจะมาเมื่อไหร่ มือก็หยิบขนมเข้าปากไปเรื่อยๆ อ้าวเฮ้ย หนมหมด.... ก็ต้องไปซื้อมากินเพิ่ม พอเห็นราคาถึงแม้จะแพงหูฉี่ แต่ตรูก็ยังซื้อ เหมือนว่า ไม่ได้ซื้อป๊อบคอร์น + น้ำอัดลม แล้วรู้สึกมาไม่ถึงโรงหนัง !!! ซื้อเยอะๆ นะครับ (เจ้าของ)โรงหนังรวย! 555
4. ค่าเช่าที่ เวลาเราไปโรงหนังของ m ที่เป็นแบบเดี่ยวๆ จะเห็นร้าน สุกี้ แมคโดนัลด์ kfc, หรือแม้แต่ คาฯ ว้า(อาจจะปิดไปเยอะแล้ว ณ ปัจจุบัน แต่ยังมีอยู่เยอะสมัยก่อนน้าาา) ด้วยความที่คนไปโรงหนัง แล้วดูหนังอย่างเดียวมันคงไม่น่าดึงดูดนัก เลย มีร้านค้าเพื่อเป็นจุดดึงดูดคนพามากินข้าวก็อาจจะนั่งอืดต่อในโรงหนัง หรือกลับกันพอดูหนังแล้วหิวก็สามารถกินต่อได้เลยโดยที่ไม่ต้องขับรถต่อ ทางธุรกิจคงต้องบอกว่า win-win! (ชนะทั้งคู่!แต่ลูกค้าชั้นดีอย่างตรูกระเป๋าแห้งหน้าบานกลับบ้าน 555) ในบางโรง ณ ปัจจุบัน 2012 มีกองทุนอสังหาของ m เองถืออยู่นะครับ อย่าคิดว่ารายได้เข้า m ทั้งหมดนะครับ เข้ากองทุนบ้างเข้า m บ้าง ดูกันให้ดีๆนะครับ
ดูรายได้ละมาดูรายจ่าย ก็มี ทั่วๆไป ต้นทุนหนัง, ค่าจ้าง ค่าแรง, ต้นทุนขนม, ค่าโฆษณา(โฆษณาในโรงท่านยังไปโฆษณาอะไรอีกเนี่ย!!!), ค่าบริหาร ทำไมมันแพงจังฟะ? (เสียงเพื่อน Wลอยมา “ก็แหง๋เดะ เขามาทำงานเพื่อให้ท่านนอนกระดิกเท้าอยู่บ้าน จ้างแค่นี้ก็ดีแล้ว” เอ๊ะ หรือว่ามาให้ตรูบริหาร จะไปนั่งดู QC คุณภาพหนังทุกวันเลย 5555 !!!! ) พอดูค่าใช้จ่ายต่างๆ ดูงบการเงินอื่นๆแล้ว เอาตัวเลขบางตัว นำเข้าสูตรคำนวณ ที่เราลอกเพื่อน W แถมเผื่อส่วนลดนิดหน่อย (หุหุ สูตรมั่วครับอย่าได้คิดว่าผมมีสูตรอะไรเจ๋งๆเลยครับ) ออกมาเป็นราคา อย่างนี้ มันต้อง 20 บาทชัวร์ 55555!!!! ที่ไหนได้สูตร excel ที่เราใส่เด้งออกมาที่ "6 baht"

.............
นี่ตรูซื้อที่ดอยเหรอเนี่ย!!!!!!!!!
(******คำแปล******)
ดอย น. ภูเขา.
ดอย ๒ : ก. ผูก, มัด, ตอก, ชก, ตี, ปา, ทอย.
อ้างอิง : พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน
ดอย ๓ : ความหมายสำหรับคนที่ลงทุนในหุ้น หมายถึงการซื้อที่ราคาสูง ถ้ายิ่งซื้อที่ราคาแพง อาจจะเป็นภูเขา หรือยอดเอเวอร์เรสต์ หรือยอดดอย ยกตัวอย่างเช่น “ผมติดดอยหุ้น .... ครับ ทำอย่างไรดี” พบได้มากในห้อง trade หุ้นต่างๆ
อ้างอิง : พจนานุกรม ฉบับนักเล่นหุ้น
ไว้ต่อตอนหน้านะครับ...
ไดอารี่การเก็บเงินและลงทุนของผม ตอนที่ 4 : ไปดูหนังกันต่อเหอะ 2!
ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/30024509
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/30027751
ตอนที่ 3 http://pantip.com/topic/30030578
********เรื่องราวที่เล่ามานี้เป็นเรื่องในอดีตในปี 2007 กรุณาอย่าเอามาอ้างอิงกับราคาหุ้นปัจจุบัน เพราะอาจเป็นเหตุให้ผู้เขียน น้ำตาตกในได้
และแล้ว 3 วันถัดมาเงินก็เข้ามาในบัญชีตามที่เคยบอกไว้ โฮะๆ นี่เราเป็นเศรษฐีระดับ ร้อย(บาทและหัวเกือบ)ล้าน แล้วนะเนี่ย!!! จะใช้ยังไง ให้หมดหว่า อืม จะซื้อ ป๊อกกี้ + โค้กกระป๋อง ก็เหลือเก็บเหลือเฟือแล้ว 5555555 และแล้ววันต่อๆมาเราก็เริ่มย่ามใจ โดยที่ลืมคิดคำพูดที่ว่า “เมื่อใดย่ามใจ ภัยก็จะมาเยือน” ราคา M- - - - กลับมาที่เดิม 15.90! โอ้ อย่างนี้ต้องซื้ออีกแระ คราวนี้ถือยาวจริงๆละ (ใครยังไม่อ่านไปอ่าน chapter 3 ก่อนนะครับ พอดีตอนนั้นดูอยู่หลายตัวแต่ หุ้น M นี่ มีประวัติอันโชกโชนกับผมจริงๆ ทั้งรักทั้งแค้น)
หลังจากที่ซื้อแล้วใจผม ก็ยังแบ่งเป็นสองฝ่ายทะเลาะกัน (อีกแล้วเรอะ!)
ฝ่ายที่หนึ่ง “พี่น้องครับ! จะถือจริงเร้อราคามันสูงนะครับ!?”
ฝ่ายที่สอง “เฮ้ยนี่มันราคาต่ำแล้วนะเฟ้ย คราวที่แล้วเห็นปะเชื่ออั๊ว รวยหลักร้อยเลย คราวหน้าเป็นหลักหมื่นชัวร์!!!!”
ฝ่ายที่หนึ่ง “ดูยัง ว่างบการเงินบริษัทเป็นไง การถือหุ้นบริษัทเป็นไง วอร์เรน บัฟเฟต เขาไม่ได้ตัดสินใจเร็วขนาดนี้นะเฟ้ย อย่างน้อยเขาก็ต้องดูงบก่อน ไม่ใช่เรอะ”
ฝ่ายที่สอง “ไหนๆก็ซื้อแล้ว ไปดูเองดิ”
(ตกลง มันจะทะเลาะกันไปตลอดชีวิตตรูป่าวเนี่ย - -' ไม่ใช่การเมืองนะครับ!)
เอาวะ อย่างน้อยก็ถือเป็นการฝึกการวิเคราะห์ของเรา หากเราไม่นับหนึ่งเพื่อเริ่มดูงบวันนี้ แล้ววันหน้าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทที่เราจะร่วมลงทุนด้วยเป็นอย่างไร! อะๆ เพ้อละ กลับมาดูที่รายได้ของโรงหนังกันว่ามีโครงสร้างรายได้อย่างไรบ้าง
1. ค่าตั๋วหนัง ก็แหง๋อยู่แล้วเวลาคนไปดูก็ต้องจ่ายตังค์ไม่ใช่เรอะ! อืม ทำไมค่าตั๋วมันราคา 100 ก่าๆฟะเนี่ย! นี่มันเทียบเท่ากับ การทำงานครึ่งวันของค่าแรงพื้นฐานเลยนะเฟ้ย (สมัยโน้นที่กทม.ประมาณ 200 บาทกว่าๆนะ) แต่สมัยที่เมกาทำงาน 1 ชม. ขั้นต่ำรายได้ก็ใกล้เคียงกับตั๋วหนังแล้วนี่หว่า!!!! แปลว่า เมืองไทยกำไรดีแหง๋ 555555!!
2. ค่าโฆษณา ใครๆก็บ่น ใครๆก็ด่า ทำไมยังมีโฆษณาก่อนเข้าโรงอีก มีตั้ง 20-30 นาที บางที “รู้สึก” เกือบ 1 ชม. คนอื่นอาจจะบอกว่า พี่ m ค้าบ ผมมาดูหนังนะครับ ไม่ได้ดูโฆษณา แต่ว่ามันทำให้บริษัทเรามีรายได้มากขึ้นอีก เราก็ยอมนั่งดูนะ 5555! (มีโฆษณาอันนึงที่สมัยก่อนออกบ่อยมาก จนจำได้ขึ้นใจซึ่งปิดท้ายด้วย“ผมชอบแกงป่าปลาดุกครับ ผมอยากให้คนกินแฮมเบอร์เกอร์รู้จักว่าแกงป่าปลาดุกเป็นยังไง” เยี่ยมครับ ตกลงเฮียขายแกงป่าปลาดุกใช่ปะครับ ผมฟังสื่อผิดป่าวเนี่ย!!!!) สุโค่ยเลยครับลูกเพ่ m เป็นวิธีหาเงินที่เลิศที่สุด! แถมเป็นวิธีที่ทำให้เกิดรายได้ข้อที่ 3 ต่อ....
3. ค่าขนม ถูกครับ! ขนมที่เราๆท่านๆ ซื้อกันหน้าโรงไม่ว่าจะ ป๊อบคอร์นรสชีส รสหวาน รสเกลือ น้ำอัดลม ปลาเส้น ขนมกินเล่น ไส้กรอก ฯลฯ พอทีนี้เราเข้าโรงเร็ว เราก็ดูโฆษณาเพลินๆนานๆ ใจก็จดจ่อ ว่าหนังจะมาเมื่อไหร่ มือก็หยิบขนมเข้าปากไปเรื่อยๆ อ้าวเฮ้ย หนมหมด.... ก็ต้องไปซื้อมากินเพิ่ม พอเห็นราคาถึงแม้จะแพงหูฉี่ แต่ตรูก็ยังซื้อ เหมือนว่า ไม่ได้ซื้อป๊อบคอร์น + น้ำอัดลม แล้วรู้สึกมาไม่ถึงโรงหนัง !!! ซื้อเยอะๆ นะครับ (เจ้าของ)โรงหนังรวย! 555
4. ค่าเช่าที่ เวลาเราไปโรงหนังของ m ที่เป็นแบบเดี่ยวๆ จะเห็นร้าน สุกี้ แมคโดนัลด์ kfc, หรือแม้แต่ คาฯ ว้า(อาจจะปิดไปเยอะแล้ว ณ ปัจจุบัน แต่ยังมีอยู่เยอะสมัยก่อนน้าาา) ด้วยความที่คนไปโรงหนัง แล้วดูหนังอย่างเดียวมันคงไม่น่าดึงดูดนัก เลย มีร้านค้าเพื่อเป็นจุดดึงดูดคนพามากินข้าวก็อาจจะนั่งอืดต่อในโรงหนัง หรือกลับกันพอดูหนังแล้วหิวก็สามารถกินต่อได้เลยโดยที่ไม่ต้องขับรถต่อ ทางธุรกิจคงต้องบอกว่า win-win! (ชนะทั้งคู่!แต่ลูกค้าชั้นดีอย่างตรูกระเป๋าแห้งหน้าบานกลับบ้าน 555) ในบางโรง ณ ปัจจุบัน 2012 มีกองทุนอสังหาของ m เองถืออยู่นะครับ อย่าคิดว่ารายได้เข้า m ทั้งหมดนะครับ เข้ากองทุนบ้างเข้า m บ้าง ดูกันให้ดีๆนะครับ
ดูรายได้ละมาดูรายจ่าย ก็มี ทั่วๆไป ต้นทุนหนัง, ค่าจ้าง ค่าแรง, ต้นทุนขนม, ค่าโฆษณา(โฆษณาในโรงท่านยังไปโฆษณาอะไรอีกเนี่ย!!!), ค่าบริหาร ทำไมมันแพงจังฟะ? (เสียงเพื่อน Wลอยมา “ก็แหง๋เดะ เขามาทำงานเพื่อให้ท่านนอนกระดิกเท้าอยู่บ้าน จ้างแค่นี้ก็ดีแล้ว” เอ๊ะ หรือว่ามาให้ตรูบริหาร จะไปนั่งดู QC คุณภาพหนังทุกวันเลย 5555 !!!! ) พอดูค่าใช้จ่ายต่างๆ ดูงบการเงินอื่นๆแล้ว เอาตัวเลขบางตัว นำเข้าสูตรคำนวณ ที่เราลอกเพื่อน W แถมเผื่อส่วนลดนิดหน่อย (หุหุ สูตรมั่วครับอย่าได้คิดว่าผมมีสูตรอะไรเจ๋งๆเลยครับ) ออกมาเป็นราคา อย่างนี้ มันต้อง 20 บาทชัวร์ 55555!!!! ที่ไหนได้สูตร excel ที่เราใส่เด้งออกมาที่ "6 baht"
นี่ตรูซื้อที่ดอยเหรอเนี่ย!!!!!!!!!
(******คำแปล******)
ดอย น. ภูเขา.
ดอย ๒ : ก. ผูก, มัด, ตอก, ชก, ตี, ปา, ทอย.
อ้างอิง : พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน
ดอย ๓ : ความหมายสำหรับคนที่ลงทุนในหุ้น หมายถึงการซื้อที่ราคาสูง ถ้ายิ่งซื้อที่ราคาแพง อาจจะเป็นภูเขา หรือยอดเอเวอร์เรสต์ หรือยอดดอย ยกตัวอย่างเช่น “ผมติดดอยหุ้น .... ครับ ทำอย่างไรดี” พบได้มากในห้อง trade หุ้นต่างๆ
อ้างอิง : พจนานุกรม ฉบับนักเล่นหุ้น
ไว้ต่อตอนหน้านะครับ...