(ถ้า)เสียเขาพระวิหาร วิญญาณปู่จะร้อง ไอ้ลูกหลาน:)

“สิ่งที่เราเกรงกลัวมากที่สุดคือ หากศาลตัดสินไม่ถูกใจคนบางกลุ่มแล้วเกิดการชักจูงคนไปในทางที่ผิดจะส่งผลเสียอย่างยิ่ง เพราะคำตัดสินของศาลโลกทุกประเทศต้องยอมรับ การขัดขืนจะทำให้ไทยอยู่ในสังคมโลกลำบาก ดังนั้นต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับความเป็นมาว่ารัฐบาลที่แล้ว (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ทำอะไรจึงเป็นต้นเหตุให้กัมพูชาไปฟ้องศาลโลก”
        
       นั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของ “อ้ายปึ้ง” นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหารที่“ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ”(International Court of Justice-ICJ)  หรือศาลโลกจะมีคำพิพากษาในปี 2556 นี้ ซึ่งเป็นคำให้สัมภาษณ์ที่ต้องบอกว่า สะท้านเข้าไปในหัวใจของคนไทยทั้งชาติเลยทีเดียว เพราะถ้าพิจารณาจากน้ำเสียงก็ต้องบอกว่า โอกาสที่ราชอาณาจักรไทยจะต้องสูญเสีย ปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารให้ราชอาณาจักรกัมพูชามีสูงยิ่ง
       และถ้าประเทศไทยแพ้จริง นี่คือการสูญเสียดินแดนครั้งที่ 15 ซึ่งเจ็บปวดยิ่ง
       
       แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ความพ่ายแพ้ดังกล่าวจะมิได้หยุดอยู่เพียงแค่พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร หากมีโอกาสที่จะลุกลามใหญ่โตไปถึงการเปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนของราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาครั้งประวัติศาสตร์ ทั้งเส้นเขตแดนทางบกกินอาณาบริเวณยาวกว่า 798กิโลเมตร
       
       และเส้นเขตแดนทางทะเลที่เป็นแหล่งพลังงานซึ่งมีมูลค่ามากมายมหาศาลอีกด้วย
       
       แน่นอน คงต้องไล่เรียงกันมาเป็นลำดับว่า ถ้าประเทศไทยต้องสูญเสียเขาพระวิหารจริง ใครคือผู้อยู่ในข่ายที่ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดนกันบ้าง และจดจำชื่อเหล่านั้นเอาไว้ในบัญชีที่ลูกหลานไทยจะต้องสาปแช่งอย่างมิรู้ลืม
       
       ทั้งนี้ ใครที่ติดตามสถานการณ์ปัญหาชายไทยระหว่างไทย-กัมพูชามาอย่างต่อเนื่องก็จะพบความจริงประการหนึ่งว่า ก่อนที่เหตุการณ์กำลังจะเดินทางมาถึงบทสุดท้ายคือการรอฟังคำพิพากษาของศาลโลกด้วยความระทึกใจ รัฐบาลของนายฮุนเซนวางแผนและดำเนินการที่จะยึดครองพื้นที่ของประเทศไทยมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง
       
       ไม่ใช่แค่ 1 ปีหรือ 2 ปี แต่มีการวางยุทธศาสตร์นับเป็นสิบๆ ปีเลยทีเดียว
       
       ขณะที่รัฐบาลไทยไล่มาตั้งแต่รัฐบาลนายชวน หลีกภัย รัฐบาล นช.ทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มิได้สนใจใยดี มิหนำซ้ำยังมีพฤติกรรมที่เอนเอียงและเอื้อประโยชน์ต่อฝั่งกัมพูชาอีก ต่างหาก
       ยิ่งกรณีอ้ายปึ้งยิ่งเห็นชัดเจน เพราะไม่ทันต่อสู้ก็ยอมแพ้เสียแต่เนิ่นๆ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะเมื่อ “ปูกรรเชียง” เถลิงอำนาจการปกครองสำเร็จ เธอและโคลนนิงผู้พี่ ก็เดินทางเข้ากัมพูชาเป็นว่าเล่น แถมหลานสาวยังเตรียมตัวแต่งงานกับส.ส.กัมพูชาอีกต่างหาก
       
       ในปี 2541 ชุมชนกัมพูชาเริ่มเข้ามาตั้งร้านค้าและแผงลอยบริเวณทางขึ้นปราสาทพระวิหารในเขตไทยเพื่อขายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งว่ากันว่า ผู้ที่ยินยอมพร้อมใจให้ชุมชนกัมพูชาเข้ามาได้ก็คือ บิ๊กทหารที่ทำมาหากินอยู่ตามแนวบริเวณชายแดน
       
       จากนั้นในช่วงปีเดียวกันต่อเนื่องมาจนถึงปี 2542 ก็ได้มีการสร้างวัดแก้วสิขาคีรีสวาระขึ้นที่บริเวณฝั่งตะวันตกของประสาทพระวิหารนอกเขตที่กั้นรั้วลวดหนามตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ก.ค.2505 หรือล้ำเข้ามาในอาณาเขต ของประเทศไทยนั่นเอง
       
       และถัดมาอีกไม่นานนัก การรุกคืบของกัมพูชาก็ประสบความสำเร็จชนิดที่ไม่มีคาดคิด เมื่อรัฐบาลในขณะนั้นได้จัดทำ “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543”  หรือ MOU43 ร่วมกับกัมพูชา ซึ่งลงนามโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นกับนายวาร์ คิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนของกัมพูชาในขณะนั้นโดยสาระที่สำคัญยิ่งของบันทึกฉบับนี้ก็คือ การยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000
       
       ทันทีที่ MOU43 เกิดขึ้น รัฐบาลของนายฮุนเซนก็เริ่มปฏิบัติการต่อทันทีด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะนับจากนั้นเป็นต้นมา รัฐบาลไทยเซ็นยกอธิปไตยให้กับกัมพูชาด้วยความยินยอมพร้อมใจอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “บันทึกความเจ้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาเกี่ยวกับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลของไหล่ทวีป พ.ศ.2544” หรือ MOU44 ซึ่งลงนามโดย ดร.สุรเกียร์ติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยในขณะนั้นกับนายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโสของกัมพูชา
       ขณะนั้น นช.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
       
       พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม กัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไทยว่า นช.ทักษิณจะลงทุนในธุรกิจพลังงานและก๊าซฯในกัมพูชา ขณะที่ ฮุน เซน ก็ฝันถึงความโชติช่วงชัชวาลย์ที่ยังไม่มีวันมาถึงในอนาคตอันใกล้
       
       และนั่นคือคำตอบว่า ทำไมถึงต้องมี MOU44
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่