ตามที่ได้ให้ข้อมูลตัว IEC ไปเมื่อ 2 วันก่อน และคาดการณ์ว่า หาก IEC ต้องการทำโรงไฟฟ้าเพิ่มและเปลี่ยนหมวดธุรกิจไปเป็นพลังงาน จะต้องขายหุ้นเพิ่มทุนที่ขายไม่หมดจากเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา 6 พันล้านหุ้นที่ราคา 0.04 สตางค์
ในที่สุด ข่าวก็ออกมาคอนเฟิร์มสิ่งที่ผมคาดการณ์เอาไว้ ค่อนข้างจะตรง แต่เกมนี้ยังไม่น่าจะจบง่ายๆ มีก๊อกสองแน่นอน สรุปข่าวดังนี้
- IEC มีมติขายหุ้นส่วนที่เหลือจากการจองสิทธิเพิ่มทุนจำนวน 2 พันล้านหุ้น ให้กับ MR. Kenuo Lin สัญชาติจีน ในราคาหุ้นละ 0.04 บาท ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้น IEC ย้อนหลัง 7 วันทำการ นับถึงวันพฤหัสที่ 3 ม.ค. (เฉลี่ยถ่วงน้ำหนักก็คือ เอาจำนวนหุ้นที่ซื้อขายในราคานั้นๆมาคำนวณด้วย จึงออกมาเป็น 0.04 สตางค์ เพราะถ้าไม่นำจำนวนหุ้นมาถ่วงน่าจะออกมาที่ 3 สตางค์มากกว่า)
- บริษัทจะได้เงินมา 80 ล้านบาท แต่ติดไว้ก่อนนะครับ ว่า หุ้นยังเหลืออีก 4 พันล้าน ยังไม่ได้ขาย ทำไมถึงไม่ขายให้หมด??
- บริษัทมีมติเข้าซื้อบริษัท Super Dream Power ซึ่งเป็นบริษัทผลิต ซื้อขายพลังงานทางเลือก และเป็นผู้ดำเนินโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับ กฟภ.
- การซื้อบริษัทดังกล่าว ใช้เงิน 110 ล้านบาท (เงินจากการเพิ่มทุน 80 ล้านบาท และเงินจากการขาย Nokia Shop ประมาณ 40 ล้านบาท รวมกันก็ยังพอ) ได้หุ้นมานอนกอด 98.98% นอกจากซื้อบริษัทแล้ว ยังได้โครงการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จาก super dream power มาด้วย เป็นโรงไฟฟ้าขนาด 5.25 เมกะวัตต์ โดยโครงการนี้ต้องใช้เงิน 383 ล้านบาท อันนี้เป็นเรื่องของอนาคตที่ IEC ต้องหาเงินมาทำ อ้อ โครงการนี้ได้ adder หน่วยละ 6.50 บาทนะครับ (อาจน้อยกว่าโครงการของ SPCG ที่เคยขอไว้ช่วงก่อนหน้านี้ที่ได้ adder ถึง 8 บาท)
- หลัง IEC เข้าซื้อหุ้น Super Dream Power จะมีกรรมการ 3 ท่าน โดยท่านหนึ่งคือ นายอภิชาติ ตันติเวชกุล (นามสกุลคุ้นหูมากๆเลยครับ คิดต่อกันเอาเอง)
- สรุปว่า มาถึงจุดนี้ คงไม่มีข้อสงสัยใดๆกับ IEC แล้วนะครับ บริษัทเลือกทางเดินแล้ว คงจะย้ายไปทำพลังงานทดแทนเต็มตัว และอนาคตถ้ารายได้จากโรงไฟฟ้ามากเกิน 50% ก็คงย้ายเข้าหมวดพลังงานเต็มตัวเช่นกัน
- กลับมาเรื่องการเพิ่มทุน สำหรับผม ผมมองว่า IEC ฉลาดพอที่จะไม่เพิ่มทุนโดยขาย PP ทั้ง 6 พันล้านหุ้น เพราะถ้าทำเช่นนั้น หากต้องการเงินอีก ก็ต้องออกหุ้นเพิ่มอีกมาขาย PP หรือไม่ก็ขอมติเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นเดิมอีก ซึ่งไม่น่าจะง่ายนัก เพราะบริษัทเพิ่ง XR เพิ่มทุนไปเมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา
- ขายล็อตแรก 2 พันล้านหุ้น ที่ราคา 0.04 ได้เงินแค่ 80 ล้านบาท แต่อย่าลืมว่ามีข่าวแบบนี้ออกมา ราคาหุ้นอาจขยับเพิ่มขึ้น สมมติขึ้นไปถึง 10 สตางค์ในอีก 1 เดือนข้างหน้า IEC ประกาศขาย PP อีก 2 พันล้านหุ้น ที่ราคา 0.10 บาท รอบที่สองจะได้เงินถึง 200 ล้านบาท
- และก็ยังเหลือล็อตสุดท้ายให้ขายอีก 2 พันล้านหุ้น ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทต้องการเงินเท่าไหร่ หากราคาในกระดานไปได้สูงจริงๆ บริษัทก็จะยิ่งสามารถขายหุ้น PP ล็อตที่เหลือได้สูงขึ้นเท่านั้น ลองคิดดูว่า หากล็อตสุดท้ายขายได้สัก 0.20 บาท บริษัทจะได้เงินอีก 400 ล้านบาท สบายแฮ ผมจึงถือว่า บริษัทฉลาดมากที่เลือกค่อยๆขาย PP ออกมาทีละส่วน
มาถึงตอนนี้ คงไม่มีคำถามกันแล้วนะครับ ว่าราคาหุ้น IEC ขึ้นมาได้อย่างไรจาก 0.01 มา 0.06 บาทในวันนี้ แต่ส่วนตัวผม ผมมองว่ามันยังขึ้นได้อีก ตราบใดที่ยังมีการกั๊ก PP แบบนี้ ราคาก็จะยังไม่ลง เพราะบริษัทก็ต้องการเงินมากที่สุดจากมติการเพิ่มทุนที่ออกมาแล้ว ทำอย่างนี้ก็สมประโยชน์กันทั้งผู้ถือหุ้นที่เข้ามาใหม่ และผู้ถือหุ้นเดิมที่มีหุ้นอยู่
ณ เวลานี้ ต้องบอกเลยว่า ถ้าเทียบ IEC กับ N-PARK ผมชอบ IEC มากกว่าแล้วครับ เพราะเราเริ่มเห็นความชัดเจนแล้วว่าบริษัทจะดำเนินธุรกิจไปในทิศทางใด ยังพอวิเคราะห์อนาคตกันได้บ้าง อย่างน้อยมันก็ควรจะโงหัวขึ้นมาจากปลักโคลนที่จมอยู่มาหลายปีได้
ในขณะที่ N-PARK เงินเพิ่มทุนก็ยังต้องรอ ไม่รู้จะเป็นมวยล้มหรือเปล่า แล้วทิศทางของบริษัทจะเป็นอย่างไรหลังผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาก็ไม่มีใครตอบได้ จึงทำให้ IEC ดูน่าในใจในการเข้าลงทุนมากกว่า แต่ก็ไม่แน่ ถ้าคุณประชา เพิ่มทุนเข้า N-PARK จริงๆ และบริษัทมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน N-PARK อาจจะกลับมาน่าสนใจอีกครั้งก็เป็นได้
มาตามคาด IEC ขาย PP ที่ 0.04 บาท แต่เกมยังไม่จบ เพราะขายแค่ 2 พันล้าน เหลือหุ้นอีก 4 พันล้าน
ในที่สุด ข่าวก็ออกมาคอนเฟิร์มสิ่งที่ผมคาดการณ์เอาไว้ ค่อนข้างจะตรง แต่เกมนี้ยังไม่น่าจะจบง่ายๆ มีก๊อกสองแน่นอน สรุปข่าวดังนี้
- IEC มีมติขายหุ้นส่วนที่เหลือจากการจองสิทธิเพิ่มทุนจำนวน 2 พันล้านหุ้น ให้กับ MR. Kenuo Lin สัญชาติจีน ในราคาหุ้นละ 0.04 บาท ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้น IEC ย้อนหลัง 7 วันทำการ นับถึงวันพฤหัสที่ 3 ม.ค. (เฉลี่ยถ่วงน้ำหนักก็คือ เอาจำนวนหุ้นที่ซื้อขายในราคานั้นๆมาคำนวณด้วย จึงออกมาเป็น 0.04 สตางค์ เพราะถ้าไม่นำจำนวนหุ้นมาถ่วงน่าจะออกมาที่ 3 สตางค์มากกว่า)
- บริษัทจะได้เงินมา 80 ล้านบาท แต่ติดไว้ก่อนนะครับ ว่า หุ้นยังเหลืออีก 4 พันล้าน ยังไม่ได้ขาย ทำไมถึงไม่ขายให้หมด??
- บริษัทมีมติเข้าซื้อบริษัท Super Dream Power ซึ่งเป็นบริษัทผลิต ซื้อขายพลังงานทางเลือก และเป็นผู้ดำเนินโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับ กฟภ.
- การซื้อบริษัทดังกล่าว ใช้เงิน 110 ล้านบาท (เงินจากการเพิ่มทุน 80 ล้านบาท และเงินจากการขาย Nokia Shop ประมาณ 40 ล้านบาท รวมกันก็ยังพอ) ได้หุ้นมานอนกอด 98.98% นอกจากซื้อบริษัทแล้ว ยังได้โครงการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จาก super dream power มาด้วย เป็นโรงไฟฟ้าขนาด 5.25 เมกะวัตต์ โดยโครงการนี้ต้องใช้เงิน 383 ล้านบาท อันนี้เป็นเรื่องของอนาคตที่ IEC ต้องหาเงินมาทำ อ้อ โครงการนี้ได้ adder หน่วยละ 6.50 บาทนะครับ (อาจน้อยกว่าโครงการของ SPCG ที่เคยขอไว้ช่วงก่อนหน้านี้ที่ได้ adder ถึง 8 บาท)
- หลัง IEC เข้าซื้อหุ้น Super Dream Power จะมีกรรมการ 3 ท่าน โดยท่านหนึ่งคือ นายอภิชาติ ตันติเวชกุล (นามสกุลคุ้นหูมากๆเลยครับ คิดต่อกันเอาเอง)
- สรุปว่า มาถึงจุดนี้ คงไม่มีข้อสงสัยใดๆกับ IEC แล้วนะครับ บริษัทเลือกทางเดินแล้ว คงจะย้ายไปทำพลังงานทดแทนเต็มตัว และอนาคตถ้ารายได้จากโรงไฟฟ้ามากเกิน 50% ก็คงย้ายเข้าหมวดพลังงานเต็มตัวเช่นกัน
- กลับมาเรื่องการเพิ่มทุน สำหรับผม ผมมองว่า IEC ฉลาดพอที่จะไม่เพิ่มทุนโดยขาย PP ทั้ง 6 พันล้านหุ้น เพราะถ้าทำเช่นนั้น หากต้องการเงินอีก ก็ต้องออกหุ้นเพิ่มอีกมาขาย PP หรือไม่ก็ขอมติเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นเดิมอีก ซึ่งไม่น่าจะง่ายนัก เพราะบริษัทเพิ่ง XR เพิ่มทุนไปเมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา
- ขายล็อตแรก 2 พันล้านหุ้น ที่ราคา 0.04 ได้เงินแค่ 80 ล้านบาท แต่อย่าลืมว่ามีข่าวแบบนี้ออกมา ราคาหุ้นอาจขยับเพิ่มขึ้น สมมติขึ้นไปถึง 10 สตางค์ในอีก 1 เดือนข้างหน้า IEC ประกาศขาย PP อีก 2 พันล้านหุ้น ที่ราคา 0.10 บาท รอบที่สองจะได้เงินถึง 200 ล้านบาท
- และก็ยังเหลือล็อตสุดท้ายให้ขายอีก 2 พันล้านหุ้น ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทต้องการเงินเท่าไหร่ หากราคาในกระดานไปได้สูงจริงๆ บริษัทก็จะยิ่งสามารถขายหุ้น PP ล็อตที่เหลือได้สูงขึ้นเท่านั้น ลองคิดดูว่า หากล็อตสุดท้ายขายได้สัก 0.20 บาท บริษัทจะได้เงินอีก 400 ล้านบาท สบายแฮ ผมจึงถือว่า บริษัทฉลาดมากที่เลือกค่อยๆขาย PP ออกมาทีละส่วน
มาถึงตอนนี้ คงไม่มีคำถามกันแล้วนะครับ ว่าราคาหุ้น IEC ขึ้นมาได้อย่างไรจาก 0.01 มา 0.06 บาทในวันนี้ แต่ส่วนตัวผม ผมมองว่ามันยังขึ้นได้อีก ตราบใดที่ยังมีการกั๊ก PP แบบนี้ ราคาก็จะยังไม่ลง เพราะบริษัทก็ต้องการเงินมากที่สุดจากมติการเพิ่มทุนที่ออกมาแล้ว ทำอย่างนี้ก็สมประโยชน์กันทั้งผู้ถือหุ้นที่เข้ามาใหม่ และผู้ถือหุ้นเดิมที่มีหุ้นอยู่
ณ เวลานี้ ต้องบอกเลยว่า ถ้าเทียบ IEC กับ N-PARK ผมชอบ IEC มากกว่าแล้วครับ เพราะเราเริ่มเห็นความชัดเจนแล้วว่าบริษัทจะดำเนินธุรกิจไปในทิศทางใด ยังพอวิเคราะห์อนาคตกันได้บ้าง อย่างน้อยมันก็ควรจะโงหัวขึ้นมาจากปลักโคลนที่จมอยู่มาหลายปีได้
ในขณะที่ N-PARK เงินเพิ่มทุนก็ยังต้องรอ ไม่รู้จะเป็นมวยล้มหรือเปล่า แล้วทิศทางของบริษัทจะเป็นอย่างไรหลังผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาก็ไม่มีใครตอบได้ จึงทำให้ IEC ดูน่าในใจในการเข้าลงทุนมากกว่า แต่ก็ไม่แน่ ถ้าคุณประชา เพิ่มทุนเข้า N-PARK จริงๆ และบริษัทมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน N-PARK อาจจะกลับมาน่าสนใจอีกครั้งก็เป็นได้