นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2555 มาจนถึงบัดนี้ ก็นับได้ 8 เดือนเศษแล้ว กับการทดลองนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ใน 7 จังหวัดนำร่อง ได้แก่กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรปราการและภูเก็ต เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการปรับให้ครบทั้ง 77 จังหวัด หรือที่เรียกว่า 300 บาททั้งแผ่นดิน ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2556 นี้ ซึ่งก็มีทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มนักวิชาการที่สนับสนุนบ้าง คัดค้านบ้าง มาอย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ปีใหม่ 2556 นี้ รัฐบาลจะยังคงตั้งใจเดินหน้า 300 บาททั้งแผ่นดินต่อไป ทำให้เกิดเสียงบ่น และคำวิงวอนร้องขอความช่วยเหลือของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง ตามที่เราได้นำเสนอมาแล้ว และวันนี้ ได้มีการเปิดเผยผลสำรวจอีกครั้ง ว่าผ่านไป 8 เดือน เกิดอะไรขึ้นบ้างกับ SMEs ใน 7 จังหวัดนำร่อง รวมทั้งความกังวลจากผู้ประกอบการในอีก 70 จังหวัดที่เหลือ ซึ่งเราจะพาไปรับฟัง ว่าพวกเขาอยากให้รัฐทำอะไร ช่วยเหลืออะไรพวกเขาบ้าง
8 เดือนกับ SMEs ในสภาพ โคม่า
เราไปถามอย่างแรกนะครับ ว่า 8 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่เมษา 2555 พบว่าผลกระทบที่เขาคาดไว้ตอนนั้น กับที่เกิดขึ้นจริงมันเป็นยังไง ส่วนใหญ่คือ 43 เปอร์เซ็นต์บอกว่าใกล้เคียงกับที่คาดไว้ ขณะที่ 1 ใน 3 (33 เปอร์เซ็นต์) บอกว่ามากกว่าที่คาดไว้ และมีเพียง 24 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าน้อยกว่าที่คาดไว้ เป็นการเปิดเผยผลสำรวจของ ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPURC) ที่ติดตามประเด็น 300 บาททั้งแผ่นดินมาอย่างต่อเนื่อง
โดย ดร.เกียรติอนันต์ ได้กล่าวไว้เบื้องต้น ว่าจะต้องมี SMEs ราว 8 แสน-1ล้านราย ที่อยู่ในขั้น ปางตาย ที่แม้ไม่อาจฟันธงได้ว่าจะตายแน่ๆ หรือไม่..แต่ก็อยู่ในขั้นบาดเจ็บสาหัส ต้องการการรักษาเยียวยาเป็นพิเศษอย่างเร่งด่วน ซึ่งส่วนทางกับการให้ข่าวของกระทรวงแรงงาน ที่บอกว่าการปรับค่าแรงขั้นต่ำไม่ส่งผลกระทบ โดยอ้างว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 3 แสนอัตรา ทว่าเมื่อดูกันจริงๆ แล้ว กลับพบว่าแรงงานในระบบนั้น หายไปกว่า 6.4 แสนอัตราเลยทีเดียว ทั้งนี้ ดร.เกียรติอนันต์ ยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าว เป็นข้อมูลชุดเดียวกับที่กระทรวงแรงงานใช้อ้างอิงว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น
เราทดสอบมาแล้วใน 7 จังหวัดนำร่อง พบว่าการคาดการณ์ของพวกเขา ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เลยไปลองให้อีก 70 จังหวัดคาดการณ์บ้าง ก็พบว่าปีหน้าต้นทุนการทำธุรกิจโดยรวมจะเพิ่มขึ้น 23.4 เปอร์เซ็นต์ ในนี้เป็นเรื่องของค่าแรงโดยตรง 9.1 เปอร์เซ็นต์ วัตถุดิบ 7.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งวัตถุดิบก็เป็นผลทางอ้อม เพราะเราซื้อของจากใคร เขาก็ต้องจ้างคนมาทำงาน เท่ากับว่าค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้กระทบโดยตรงอย่างเดียว แต่ยังโดนทางอ้อมอีกด้วย จากคนที่เราไปซื้อของต่อมา เขาก็ผลักภาระมาเรื่อยๆ ขนส่งก็เช่นกัน กำลังจะขึ้นราคาอีกแล้ว ซึ่งถ้าขึ้นอีกจริงๆ ก็จะยิ่งหนักกว่านี้ ผอ. DPURC กล่าว
ลางร้าย ที่ใกล้จะเป็นความจริง
อย่างที่เราได้นำเสนอไปแล้วถึง 2 ครั้ง กับผลกระทบของทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤติ 300 บาทนี้ ว่า SMEs ส่วนใหญ่ได้เลือกใช้วิธีจ้างทำของ (Outsource) มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายสวัสดิการอื่นๆ ที่พนักงานต้องได้รับตามกฏหมาย หรือใช้วิธีลดจำนวนพนักงาน ลดสวัสดิการต่างๆ ไปจนถึงการต่อรองในทางลับ เพื่อให้ลูกจ้างยอมรับค่าแรงที่ต่ำกว่า 300 บาท แลกกับการมีงานทำต่อไป
แต่ที่น่ากลัวกว่านั้น คือมีจำนวนไม่น้อยเลือกใช้วิธี ไม่รับคนเพิ่ม โดย ดร.เกียรติอนันต์ เล่าถึงผลสำรวจล่าสุดต่อไป ว่าร้อยละ 45 ของกลุ่มตัวอย่าง จะใช้วิธีดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลต่อเด็กจบใหม่ หรือคนที่ตกงานไปแล้วและต้องการกลับมาสู่ตลาดแรงงานอีกครั้ง จะหางานทำได้ยากขึ้น
อย่าล้วครั้งก่อน เราใช้ตัวชี้วัดไม่ถูกต้อง คือเราใช้ U1 แต่ถ้าเราใช้ U6 มันจะขึ้นให้เห็นเลยว่าอัตราการว่างงานเพิ่มเป็น 6.7 เปอร์เซ็นต์ ที่เขาบอกว่าจะใช้การลดพนักงาน เราไปถามว่าได้ผลไหม เขาบอกว่าได้ผลตามที่หวังไว้ นี่น่ากลัวนะครับ แสดงว่าการลดพนักงานนี่เป็นทางรอดเวลาจวนตัวจริงๆ หรือผู้ประกอบการบางรายก็ไม่ได้จ่าย 300 แล้วลูกจ้างก็ยอมด้วย เพราะไม่งั้นก็ตกงาน คือเขาต้องเลือกระหว่างตกงานกับยอมรับค่าจ้างที่ต่ำกว่า มันไม่ใช่แค่การไปจับนายจ้าง เพราะลูกจ้างก็ยินยอม มันเป็นข้อตกลงร่วมกัน นี่สะท้อนว่าเราทำให้ภาคธุรกิจแบกรับภาระมากเกินจะปรับตัวได้
ส่วน 87 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าจะเลื่อนการจ้างงานเพิ่ม ที่ผ่านมาเราพูดกันแต่เลิกจ้างมาตลอด แต่ไม่เคยพูดเรื่องเลื่อนจ้างเลย ซึ่งอย่าลืมว่าคนจบใหม่ๆ ไหลเข้าสู่ตลาดแรงงานทุกวัน แต่เมื่อไม่มีการจ้างงานเพิ่ม แล้วคนพวกนี้จะไปหางานทำที่ไหน เขาก็จะตกงาน คือทุกปีๆ เด็กจบ ม.6 จะต้องไปหางาน แต่ก็ไม่มีงานทำ กลุ่มนี้จะกระจุกตัวขึ้นเรื่อยๆ บางคนใช้ทุนกู้ยืมไปเรียนต่อ ป.ตรี ก็ไปกระจุกกันที่ ป.ตรีอีก ดร.เกียรติอนันต์ กล่าวด้วยความกังวล
ทว่าลางร้ายก็ยังไม่จบ เพราะหัวข้อหนึ่งที่เคยพูดถึงในครั้งก่อน คือจังหวัดที่การเติบโตของภาคธุรกิจอยู่ในเกณฑ์ต่ำ แต่ถูกบังคับให้ขึ้นค่าจ้างเทียบเท่าจังหวัดที่มีการเติบโตในเกณฑ์สูง (เช่นพะเยาต้องปรับค่าแรงให้เท่า กทม.) อาจจะกลายเป็นเมืองร้าง เพราะผู้ประกอบการย่อมเลือกลดต้นทุนค่าขนส่งวัตถุดิบและสินค้า ด้วยการไปตั้งสถานประกอบการในทำเลที่การขนส่งสะดวก และมีประชากรเป็นจำนวนมาก วันนี้ได้เริ่มที่จะเกิดขึ้นจริงแล้ว เพราะจากการสำรวจครั้งล่าสุด พบว่ามีผู้ประกอบการบางรายในภาคเหนือ ตัดสินใจย้ายโรงงานลงมาอยู่บริเวณจังหวัดปริมณฑลรอบๆ กทม. ซึ่งแน่นอนว่า..จะต้องมีการอพยพของคนอีกมหาศาล ลงมายังพื้นที่ดังกล่าวอย่างไม่ต้องสงสัย
เกษตรกรรม ก็อาจไม่รอด
จากวิกฤติต้มยำกุ้ง พ.ศ.2540 มีคนกล่าวว่า การเกษตรเป็นที่พึ่งสุดท้ายของคนไทย ซึ่งในยุคนั้นก็เป็นความจริง เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทั้งยุโรปและอเมริกา ยังคงรับซื้อผลผลิตอย่างต่อเนื่อง แต่ในครั้งนี้ อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อทั้งสหรัฐฯ และกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ต่างก็กำลังเจอกับวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงไม่ต่างกัน
การส่งออกยังพอได้ แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ต้องคาดหวัง มันไปได้แค่ไหนก็ทำให้เต็มที่ อย่างตอนนี้อเมริกาออกมาประกาศเรื่องการส่งออกกุ้งและสินค้าอื่นๆ คือมันเป็นมิติของการเมืองภายในประเทศด้วย ว่าการว่างงานเขาสูงหรือไม่ ซึ่งถ้าดูจาก U6 อาจจะสูงถึง 18 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ ซึ่งเขาก็ต้องคลายแรงกดดันตรงนี้ ที่เห็นคือตอนที่ Obama หาเสียง เขาก็บอกแล้วว่าจะ Invert-Looking หมายถึงการสร้างความเข้มแข็งของการผลิตในประเทศ
แน่นอนว่าวิธีการก็คือลดการนำเข้า แล้วเขาจะลดประเทศไหนละครับ เพราะจีนนั้นถือพันธบัตรอเมริกาเป็นรายใหญ่ อเมริกาก็กู้เงินจีนมาเป็นจำนวนมาก เขาก็ต้องมาทำกับประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ส่วน EU ผมเชื่อว่าในที่สุดแล้ว เพื่อคลายแรงกดดันต่างๆ นานา อย่าลืมว่าทัศนคติของคนยุโรปนี่หนักกว่าอเมริกา เพราะเขาเป็น Welfare State (รัฐสวัสดิการ) เขาจะหวังให้รัฐช่วย ไหนจะวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดทางยุโรปตอนใต้ พวกสเปน อิตาลี ที่ไม่เหมือนทางเหนือ ซึ่งทางเหนือมีการพึ่งตัวเองสูงกว่า ขนาดเยอรมันที่ตอนแรกคิดว่าจะช่วยดีไม่ช่วยดี แต่แรงกดดันของการเมืองในภูมิภาค ทำให้เยอรมันก็ต้องช่วย
ดร.เกียรติอนันต์ กล่าว พร้อมทั้งเสริมอีกว่า ปัจจุบันมีแรงงานไทยที่ตกงาน และไหลไปสู่ภาคเกษตรนับแสนคน ทว่าในความเป็นจริง ศักยภาพในการแข่งขันของภาคเกษตรกรรมไทย มีแต่จะต่ำลงเรื่อยๆ ต่อให้ไม่ถูกกดะไร ก็แทบจะแข่งขันกับใครไม่ได้แล้ว และที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก คือการที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมาคาดการณ์ว่า ภายใน 10-20 ปีข้างหน้า อุณหภูมิของโลกจะร้อนขึ้นอีก ถึงขนาดทำให้จีนหรือแคนาดา สามารถปลูกข้าวได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าข้าว อันเป็นรายได้หลักของไทยเป็นอย่างมาก
กองทุนเยียวยา การแก้ไขที่ตรงจุด
ทั้งนี้เมื่อมีการถามว่า วันนี้ชาว SMEs อยากให้รัฐช่วยด้านใดมากที่สุด ผอ.DPURC กล่าวว่าจากการสอบถาม พบว่าส่วนใหญ่ของกลุ่มตัวอย่าง อยากให้รัฐบาลมีกองทุนเยียวยา เพื่อชดเชยส่วนต่างค่าจ้างต่อคนต่อวัน เป็นเวลา 3 ปี ทั้งนี้หากคิดจากแรงงานที่ได้รับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จำนวนราว 5.3 ล้านคน จะได้เฉลี่ย 75 บาท/คน/วัน และค่อยๆ ลดการจ่ายลง ร้อยละ 25 ต่อปีตามลำดับ โดยทั้ง 3 ปี รัฐต้องจ่ายรวมกันราว 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง หากจะให้ SMEs ไทย สามารถอยู่รอดและแข่งขันต่อไปได้
เท่าที่คุยมา เขาไม่ได้หวังให้ช่วยทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์หรอก ขอแค่ 75 เปอร์เซ็นต์ก็พอ เลยเป็นที่มาของสูตร ปี 56 อยู่ที่ 75 เปอร์เซ็นต์ ปี 57 ที่ 50 เปอร์เซ็นต์ และปี 58 ที่ 25 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นปล่อยเขาได้เลย เราตีไปทั้งหมดต่อปี คือ 95,400 ล้าน ซึ่ง 75 เปอร์เซ็นต์คือ 71,550 ล้าน 50 เปอร์เซ็นต์คือ 47,700 ล้าน 25 เปอร์เซ็นต์คือ 23,850 ล้าน รวมๆ แล้ว 3 ปี เราใช้เงินรวมราว 1.4 แสนล้านบาท ดูเหมือนเยอะ แต่นี่ไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นสามารถปรับโครงสร้าง ซึ่งจะโยงไปถึงความสามารถในการแข่งขันของเขา
ทั้งนี้สวีเดนเคยใช้ Model แบบนี้มาแล้วเมื่อ 40 ปีก่อน ตรงนี้ใช้แค่มาตรการนี้อันเดียวพอ การเลิกจ้างก็จะไม่เกิด กองทุนอื่นๆ ก็ไม่ต้อง หักภาษีก็ไม่ต้อง เอาแค่ตัวนี้จับคู่กับเงื่อนไขการปรับโครงสร้างธุรกิจ คือเราจะช่วยคุณ แต่คุณต้องโชว์แผนปรับธุรกิจ ต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกมา แม้กระทั่ง SMEs นอกระบบ ถ้าเราบอกเขาว่าจะไม่ตรวจสอบย้อนหลัง แต่ถ้าคุณเข้ามาในระบบวันนี้ เรามี Package ช่วยให้คุณปรับตัวได้ เราดึงพวกนอกระบบนี้เข้ามา ฐานภาษีก็จะใหญ่ขึ้น นี่เป็นการลงทุน ไม่ใช่ประชานิยม นี่เป็นการแก้เพียงจุดเดียว แต่เป็นการแก้ที่ตรงจุดและได้ผลดีมากที่สุด ดร.เกียรติอนันต์ กล่าวทิ้งท้าย
ปัญหาค่าจ้าง 300 บาททั่วประเทศ ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันในวงวิชาการและธุรกิจกันต่อไปว่าเหมาะสมจริงๆ หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลต้องการจะปรับขึ้นให้ได้จริงๆ ก็ควรจะต้องหามาตรการรับมือกับการปิดกิจการของผู้ประกอบการที่ไม่อาจแบกรับภาระได้ ซึ่งสิ่งที่ตามมาเป็นลูกโซ่ คือแรงงานจะตกงานมากขึ้น อันเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง
ว่าประชานิยมหนนี้ จะนำประเทศไทยไปสู่โอกาส..หรือจะกลายเป็นวิกฤติกันแน่?
SCOOP@NAEWNA.COMที่มา:
http://www.naewna.com/scoop/35295
จากคุณ Siam Shinsengumi ( Ticket ID : 383906)
เสียงครวญ SMEs กับ "300 ทั้งแผ่นดิน" 8 เดือนผ่านไป..อาการเป็นตายเท่ากัน
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ปีใหม่ 2556 นี้ รัฐบาลจะยังคงตั้งใจเดินหน้า 300 บาททั้งแผ่นดินต่อไป ทำให้เกิดเสียงบ่น และคำวิงวอนร้องขอความช่วยเหลือของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง ตามที่เราได้นำเสนอมาแล้ว และวันนี้ ได้มีการเปิดเผยผลสำรวจอีกครั้ง ว่าผ่านไป 8 เดือน เกิดอะไรขึ้นบ้างกับ SMEs ใน 7 จังหวัดนำร่อง รวมทั้งความกังวลจากผู้ประกอบการในอีก 70 จังหวัดที่เหลือ ซึ่งเราจะพาไปรับฟัง ว่าพวกเขาอยากให้รัฐทำอะไร ช่วยเหลืออะไรพวกเขาบ้าง
8 เดือนกับ SMEs ในสภาพ โคม่า
เราไปถามอย่างแรกนะครับ ว่า 8 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่เมษา 2555 พบว่าผลกระทบที่เขาคาดไว้ตอนนั้น กับที่เกิดขึ้นจริงมันเป็นยังไง ส่วนใหญ่คือ 43 เปอร์เซ็นต์บอกว่าใกล้เคียงกับที่คาดไว้ ขณะที่ 1 ใน 3 (33 เปอร์เซ็นต์) บอกว่ามากกว่าที่คาดไว้ และมีเพียง 24 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าน้อยกว่าที่คาดไว้ เป็นการเปิดเผยผลสำรวจของ ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPURC) ที่ติดตามประเด็น 300 บาททั้งแผ่นดินมาอย่างต่อเนื่อง
โดย ดร.เกียรติอนันต์ ได้กล่าวไว้เบื้องต้น ว่าจะต้องมี SMEs ราว 8 แสน-1ล้านราย ที่อยู่ในขั้น ปางตาย ที่แม้ไม่อาจฟันธงได้ว่าจะตายแน่ๆ หรือไม่..แต่ก็อยู่ในขั้นบาดเจ็บสาหัส ต้องการการรักษาเยียวยาเป็นพิเศษอย่างเร่งด่วน ซึ่งส่วนทางกับการให้ข่าวของกระทรวงแรงงาน ที่บอกว่าการปรับค่าแรงขั้นต่ำไม่ส่งผลกระทบ โดยอ้างว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 3 แสนอัตรา ทว่าเมื่อดูกันจริงๆ แล้ว กลับพบว่าแรงงานในระบบนั้น หายไปกว่า 6.4 แสนอัตราเลยทีเดียว ทั้งนี้ ดร.เกียรติอนันต์ ยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าว เป็นข้อมูลชุดเดียวกับที่กระทรวงแรงงานใช้อ้างอิงว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น
เราทดสอบมาแล้วใน 7 จังหวัดนำร่อง พบว่าการคาดการณ์ของพวกเขา ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เลยไปลองให้อีก 70 จังหวัดคาดการณ์บ้าง ก็พบว่าปีหน้าต้นทุนการทำธุรกิจโดยรวมจะเพิ่มขึ้น 23.4 เปอร์เซ็นต์ ในนี้เป็นเรื่องของค่าแรงโดยตรง 9.1 เปอร์เซ็นต์ วัตถุดิบ 7.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งวัตถุดิบก็เป็นผลทางอ้อม เพราะเราซื้อของจากใคร เขาก็ต้องจ้างคนมาทำงาน เท่ากับว่าค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้กระทบโดยตรงอย่างเดียว แต่ยังโดนทางอ้อมอีกด้วย จากคนที่เราไปซื้อของต่อมา เขาก็ผลักภาระมาเรื่อยๆ ขนส่งก็เช่นกัน กำลังจะขึ้นราคาอีกแล้ว ซึ่งถ้าขึ้นอีกจริงๆ ก็จะยิ่งหนักกว่านี้ ผอ. DPURC กล่าว
ลางร้าย ที่ใกล้จะเป็นความจริง
อย่างที่เราได้นำเสนอไปแล้วถึง 2 ครั้ง กับผลกระทบของทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤติ 300 บาทนี้ ว่า SMEs ส่วนใหญ่ได้เลือกใช้วิธีจ้างทำของ (Outsource) มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายสวัสดิการอื่นๆ ที่พนักงานต้องได้รับตามกฏหมาย หรือใช้วิธีลดจำนวนพนักงาน ลดสวัสดิการต่างๆ ไปจนถึงการต่อรองในทางลับ เพื่อให้ลูกจ้างยอมรับค่าแรงที่ต่ำกว่า 300 บาท แลกกับการมีงานทำต่อไป
แต่ที่น่ากลัวกว่านั้น คือมีจำนวนไม่น้อยเลือกใช้วิธี ไม่รับคนเพิ่ม โดย ดร.เกียรติอนันต์ เล่าถึงผลสำรวจล่าสุดต่อไป ว่าร้อยละ 45 ของกลุ่มตัวอย่าง จะใช้วิธีดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลต่อเด็กจบใหม่ หรือคนที่ตกงานไปแล้วและต้องการกลับมาสู่ตลาดแรงงานอีกครั้ง จะหางานทำได้ยากขึ้น
อย่าล้วครั้งก่อน เราใช้ตัวชี้วัดไม่ถูกต้อง คือเราใช้ U1 แต่ถ้าเราใช้ U6 มันจะขึ้นให้เห็นเลยว่าอัตราการว่างงานเพิ่มเป็น 6.7 เปอร์เซ็นต์ ที่เขาบอกว่าจะใช้การลดพนักงาน เราไปถามว่าได้ผลไหม เขาบอกว่าได้ผลตามที่หวังไว้ นี่น่ากลัวนะครับ แสดงว่าการลดพนักงานนี่เป็นทางรอดเวลาจวนตัวจริงๆ หรือผู้ประกอบการบางรายก็ไม่ได้จ่าย 300 แล้วลูกจ้างก็ยอมด้วย เพราะไม่งั้นก็ตกงาน คือเขาต้องเลือกระหว่างตกงานกับยอมรับค่าจ้างที่ต่ำกว่า มันไม่ใช่แค่การไปจับนายจ้าง เพราะลูกจ้างก็ยินยอม มันเป็นข้อตกลงร่วมกัน นี่สะท้อนว่าเราทำให้ภาคธุรกิจแบกรับภาระมากเกินจะปรับตัวได้
ส่วน 87 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าจะเลื่อนการจ้างงานเพิ่ม ที่ผ่านมาเราพูดกันแต่เลิกจ้างมาตลอด แต่ไม่เคยพูดเรื่องเลื่อนจ้างเลย ซึ่งอย่าลืมว่าคนจบใหม่ๆ ไหลเข้าสู่ตลาดแรงงานทุกวัน แต่เมื่อไม่มีการจ้างงานเพิ่ม แล้วคนพวกนี้จะไปหางานทำที่ไหน เขาก็จะตกงาน คือทุกปีๆ เด็กจบ ม.6 จะต้องไปหางาน แต่ก็ไม่มีงานทำ กลุ่มนี้จะกระจุกตัวขึ้นเรื่อยๆ บางคนใช้ทุนกู้ยืมไปเรียนต่อ ป.ตรี ก็ไปกระจุกกันที่ ป.ตรีอีก ดร.เกียรติอนันต์ กล่าวด้วยความกังวล
ทว่าลางร้ายก็ยังไม่จบ เพราะหัวข้อหนึ่งที่เคยพูดถึงในครั้งก่อน คือจังหวัดที่การเติบโตของภาคธุรกิจอยู่ในเกณฑ์ต่ำ แต่ถูกบังคับให้ขึ้นค่าจ้างเทียบเท่าจังหวัดที่มีการเติบโตในเกณฑ์สูง (เช่นพะเยาต้องปรับค่าแรงให้เท่า กทม.) อาจจะกลายเป็นเมืองร้าง เพราะผู้ประกอบการย่อมเลือกลดต้นทุนค่าขนส่งวัตถุดิบและสินค้า ด้วยการไปตั้งสถานประกอบการในทำเลที่การขนส่งสะดวก และมีประชากรเป็นจำนวนมาก วันนี้ได้เริ่มที่จะเกิดขึ้นจริงแล้ว เพราะจากการสำรวจครั้งล่าสุด พบว่ามีผู้ประกอบการบางรายในภาคเหนือ ตัดสินใจย้ายโรงงานลงมาอยู่บริเวณจังหวัดปริมณฑลรอบๆ กทม. ซึ่งแน่นอนว่า..จะต้องมีการอพยพของคนอีกมหาศาล ลงมายังพื้นที่ดังกล่าวอย่างไม่ต้องสงสัย
เกษตรกรรม ก็อาจไม่รอด
จากวิกฤติต้มยำกุ้ง พ.ศ.2540 มีคนกล่าวว่า การเกษตรเป็นที่พึ่งสุดท้ายของคนไทย ซึ่งในยุคนั้นก็เป็นความจริง เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทั้งยุโรปและอเมริกา ยังคงรับซื้อผลผลิตอย่างต่อเนื่อง แต่ในครั้งนี้ อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อทั้งสหรัฐฯ และกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ต่างก็กำลังเจอกับวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงไม่ต่างกัน
การส่งออกยังพอได้ แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ต้องคาดหวัง มันไปได้แค่ไหนก็ทำให้เต็มที่ อย่างตอนนี้อเมริกาออกมาประกาศเรื่องการส่งออกกุ้งและสินค้าอื่นๆ คือมันเป็นมิติของการเมืองภายในประเทศด้วย ว่าการว่างงานเขาสูงหรือไม่ ซึ่งถ้าดูจาก U6 อาจจะสูงถึง 18 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ ซึ่งเขาก็ต้องคลายแรงกดดันตรงนี้ ที่เห็นคือตอนที่ Obama หาเสียง เขาก็บอกแล้วว่าจะ Invert-Looking หมายถึงการสร้างความเข้มแข็งของการผลิตในประเทศ
แน่นอนว่าวิธีการก็คือลดการนำเข้า แล้วเขาจะลดประเทศไหนละครับ เพราะจีนนั้นถือพันธบัตรอเมริกาเป็นรายใหญ่ อเมริกาก็กู้เงินจีนมาเป็นจำนวนมาก เขาก็ต้องมาทำกับประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ส่วน EU ผมเชื่อว่าในที่สุดแล้ว เพื่อคลายแรงกดดันต่างๆ นานา อย่าลืมว่าทัศนคติของคนยุโรปนี่หนักกว่าอเมริกา เพราะเขาเป็น Welfare State (รัฐสวัสดิการ) เขาจะหวังให้รัฐช่วย ไหนจะวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดทางยุโรปตอนใต้ พวกสเปน อิตาลี ที่ไม่เหมือนทางเหนือ ซึ่งทางเหนือมีการพึ่งตัวเองสูงกว่า ขนาดเยอรมันที่ตอนแรกคิดว่าจะช่วยดีไม่ช่วยดี แต่แรงกดดันของการเมืองในภูมิภาค ทำให้เยอรมันก็ต้องช่วย
ดร.เกียรติอนันต์ กล่าว พร้อมทั้งเสริมอีกว่า ปัจจุบันมีแรงงานไทยที่ตกงาน และไหลไปสู่ภาคเกษตรนับแสนคน ทว่าในความเป็นจริง ศักยภาพในการแข่งขันของภาคเกษตรกรรมไทย มีแต่จะต่ำลงเรื่อยๆ ต่อให้ไม่ถูกกดะไร ก็แทบจะแข่งขันกับใครไม่ได้แล้ว และที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก คือการที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมาคาดการณ์ว่า ภายใน 10-20 ปีข้างหน้า อุณหภูมิของโลกจะร้อนขึ้นอีก ถึงขนาดทำให้จีนหรือแคนาดา สามารถปลูกข้าวได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าข้าว อันเป็นรายได้หลักของไทยเป็นอย่างมาก
กองทุนเยียวยา การแก้ไขที่ตรงจุด
ทั้งนี้เมื่อมีการถามว่า วันนี้ชาว SMEs อยากให้รัฐช่วยด้านใดมากที่สุด ผอ.DPURC กล่าวว่าจากการสอบถาม พบว่าส่วนใหญ่ของกลุ่มตัวอย่าง อยากให้รัฐบาลมีกองทุนเยียวยา เพื่อชดเชยส่วนต่างค่าจ้างต่อคนต่อวัน เป็นเวลา 3 ปี ทั้งนี้หากคิดจากแรงงานที่ได้รับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จำนวนราว 5.3 ล้านคน จะได้เฉลี่ย 75 บาท/คน/วัน และค่อยๆ ลดการจ่ายลง ร้อยละ 25 ต่อปีตามลำดับ โดยทั้ง 3 ปี รัฐต้องจ่ายรวมกันราว 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง หากจะให้ SMEs ไทย สามารถอยู่รอดและแข่งขันต่อไปได้
เท่าที่คุยมา เขาไม่ได้หวังให้ช่วยทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์หรอก ขอแค่ 75 เปอร์เซ็นต์ก็พอ เลยเป็นที่มาของสูตร ปี 56 อยู่ที่ 75 เปอร์เซ็นต์ ปี 57 ที่ 50 เปอร์เซ็นต์ และปี 58 ที่ 25 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นปล่อยเขาได้เลย เราตีไปทั้งหมดต่อปี คือ 95,400 ล้าน ซึ่ง 75 เปอร์เซ็นต์คือ 71,550 ล้าน 50 เปอร์เซ็นต์คือ 47,700 ล้าน 25 เปอร์เซ็นต์คือ 23,850 ล้าน รวมๆ แล้ว 3 ปี เราใช้เงินรวมราว 1.4 แสนล้านบาท ดูเหมือนเยอะ แต่นี่ไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นสามารถปรับโครงสร้าง ซึ่งจะโยงไปถึงความสามารถในการแข่งขันของเขา
ทั้งนี้สวีเดนเคยใช้ Model แบบนี้มาแล้วเมื่อ 40 ปีก่อน ตรงนี้ใช้แค่มาตรการนี้อันเดียวพอ การเลิกจ้างก็จะไม่เกิด กองทุนอื่นๆ ก็ไม่ต้อง หักภาษีก็ไม่ต้อง เอาแค่ตัวนี้จับคู่กับเงื่อนไขการปรับโครงสร้างธุรกิจ คือเราจะช่วยคุณ แต่คุณต้องโชว์แผนปรับธุรกิจ ต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกมา แม้กระทั่ง SMEs นอกระบบ ถ้าเราบอกเขาว่าจะไม่ตรวจสอบย้อนหลัง แต่ถ้าคุณเข้ามาในระบบวันนี้ เรามี Package ช่วยให้คุณปรับตัวได้ เราดึงพวกนอกระบบนี้เข้ามา ฐานภาษีก็จะใหญ่ขึ้น นี่เป็นการลงทุน ไม่ใช่ประชานิยม นี่เป็นการแก้เพียงจุดเดียว แต่เป็นการแก้ที่ตรงจุดและได้ผลดีมากที่สุด ดร.เกียรติอนันต์ กล่าวทิ้งท้าย
ปัญหาค่าจ้าง 300 บาททั่วประเทศ ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันในวงวิชาการและธุรกิจกันต่อไปว่าเหมาะสมจริงๆ หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลต้องการจะปรับขึ้นให้ได้จริงๆ ก็ควรจะต้องหามาตรการรับมือกับการปิดกิจการของผู้ประกอบการที่ไม่อาจแบกรับภาระได้ ซึ่งสิ่งที่ตามมาเป็นลูกโซ่ คือแรงงานจะตกงานมากขึ้น อันเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง
ว่าประชานิยมหนนี้ จะนำประเทศไทยไปสู่โอกาส..หรือจะกลายเป็นวิกฤติกันแน่?
SCOOP@NAEWNA.COM
ที่มา:
http://www.naewna.com/scoop/35295
จากคุณ Siam Shinsengumi ( Ticket ID : 383906)