การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 80 กว่าปีแล้ว
มีรัฐธรรมนูญมาแล้วถึง 18 ฉบับ และกำลังจะเพิ่มอีกหนึ่งฉบับ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับประเทศที่มีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอื่นๆ จะพบว่าประเทศไทยใช้รัฐธรรมนูญเปลืองที่สุด
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า บรรดานักกฎหมายบางคนมีส่วนสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของการเมืองในแต่ละยุค
อย่างไรก็ดี ดังที่เคยกล่าวไว้หลายครั้งในบทความก่อนๆว่า สังคมไทยไม่มีวันเป็นสังคมประชาธิปไตยตามคำจำกัดความของประธานาธิบดี ลินคอล์น แห่งสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวไว้ว่า เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
เพราะการปกครองของประเทศไทยเป็นการปกครองของกลุ่มชนที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของประชาชน โดยชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้บอกว่าเขาชนะการเลือกตั้งเพราะเหตุใด (ซื้อเสียง ใช้อิทธิพลโกงการเลือกตั้ง หลอกลวงประชาชน หรือได้จากศรัทธาของประชาชนจริงๆ)
ฉะนั้นเมื่อได้รับเลือกตั้งมา แทนที่จะทำตัวเป็นผู้รับใช้ประชาชน แต่กลับทำตัวเป็นนายประชาชน ตักตวงผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งถูกต้องและผิดกฎหมาย จะสังเกตได้จากพฤติกรรมทั้งฐานะการเงิน ความเป็นอยู่จากที่เรียกตัวเองว่าเป็นพวกไพร่ กลับกลายพันธุ์เป็นกลุ่มที่ตัวเองเรียกว่า เป็นพวกอำมาตย์ (ครั้งหนึ่งทำตัวเป็นองุ่นเปรี้ยว)
พฤติกรรมเช่นนี้มีเห็นได้โดยทั่วไป ซึ่งต่างกว่าประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีจิตและวิญญาณเป็นประชาธิปไตย มิใช่สังคมที่เป็นประชาธิปไตยแต่รูปแบบ กล่าวคือมีกติกาคือรัฐธรรมนูญที่ถูกละเลย หรือเปลี่ยนแปลงโดยผู้มีอำนาจ
ถ้านักการเมืองก็ดี นักกฎหมายก็ดี ประชาชนก็ดี ที่มีใจเป็นธรรมจะศึกษารัฐธรรมนูญทุกฉบับของประเทศไทย จะพบว่า รัฐธรรมนูญเกือบทั้งหมด เป็นรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับประเทศไทย ยกเว้นแต่จะมีการแก้ไขบางมาตราเป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการ
ทั้งนี้เพราะรัฐธรรมนูญของประเทศไทยยิ่งมีมาก ก็มีความยาวมาก บางฉบับลงรายละเอียดตอนเกิดช่องว่างที่ต้องแก้ไข ตีความกันตลอดเวลาซึ่งผิดกับรัฐธรรมนูญของประเทศประชาธิปไตยอื่น ที่ไม่ยาว หรือประเทศที่เป็นแม่บทคืออังกฤษ ที่ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร หรือประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย รัฐธรรมนูญก็ไม่ยาวเหมือนของไทย
ยิ่งไปกว่านั้น นักการเมืองไทย โดยเฉพาะนักการเมืองศรีธนญชัย มักจะดูข้อความที่เป็นลายลักษณ์อักษรมากกว่าเจตนารมณ์ จึงเกิดปัญหารัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลา
สรุปรวมความว่า ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะดีเพียงใด แต่ผู้ปฏิบัติ คือ ผู้ใช้รัฐธรรมนูญโดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มักจะใช้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้องมากกว่าเพื่อประชาชน ฉะนั้นไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะดีสมบูรณ์อย่างไร ก็ไม่มีวันที่จะเป็นที่พอใจของนักการเมืองที่มีอำนาจในเวลานั้นๆ เพราะพวกเขาเป็นพวกปากประชาธิปไตย แต่หัวใจเป็นเผด็จการ
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/4562ปล.ข้อคิดจาก ผู้มีประสบการณ์....ที่สั่งสมมายาวนาน มันดีจริง...เอิ๊ก ๆ ๆ
พฤติกรรมของนักการเมืองกับรัฐธรรมนูญ
มีรัฐธรรมนูญมาแล้วถึง 18 ฉบับ และกำลังจะเพิ่มอีกหนึ่งฉบับ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับประเทศที่มีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอื่นๆ จะพบว่าประเทศไทยใช้รัฐธรรมนูญเปลืองที่สุด
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า บรรดานักกฎหมายบางคนมีส่วนสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของการเมืองในแต่ละยุค
อย่างไรก็ดี ดังที่เคยกล่าวไว้หลายครั้งในบทความก่อนๆว่า สังคมไทยไม่มีวันเป็นสังคมประชาธิปไตยตามคำจำกัดความของประธานาธิบดี ลินคอล์น แห่งสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวไว้ว่า เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
เพราะการปกครองของประเทศไทยเป็นการปกครองของกลุ่มชนที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของประชาชน โดยชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้บอกว่าเขาชนะการเลือกตั้งเพราะเหตุใด (ซื้อเสียง ใช้อิทธิพลโกงการเลือกตั้ง หลอกลวงประชาชน หรือได้จากศรัทธาของประชาชนจริงๆ)
ฉะนั้นเมื่อได้รับเลือกตั้งมา แทนที่จะทำตัวเป็นผู้รับใช้ประชาชน แต่กลับทำตัวเป็นนายประชาชน ตักตวงผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งถูกต้องและผิดกฎหมาย จะสังเกตได้จากพฤติกรรมทั้งฐานะการเงิน ความเป็นอยู่จากที่เรียกตัวเองว่าเป็นพวกไพร่ กลับกลายพันธุ์เป็นกลุ่มที่ตัวเองเรียกว่า เป็นพวกอำมาตย์ (ครั้งหนึ่งทำตัวเป็นองุ่นเปรี้ยว)
พฤติกรรมเช่นนี้มีเห็นได้โดยทั่วไป ซึ่งต่างกว่าประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีจิตและวิญญาณเป็นประชาธิปไตย มิใช่สังคมที่เป็นประชาธิปไตยแต่รูปแบบ กล่าวคือมีกติกาคือรัฐธรรมนูญที่ถูกละเลย หรือเปลี่ยนแปลงโดยผู้มีอำนาจ
ถ้านักการเมืองก็ดี นักกฎหมายก็ดี ประชาชนก็ดี ที่มีใจเป็นธรรมจะศึกษารัฐธรรมนูญทุกฉบับของประเทศไทย จะพบว่า รัฐธรรมนูญเกือบทั้งหมด เป็นรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับประเทศไทย ยกเว้นแต่จะมีการแก้ไขบางมาตราเป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการ
ทั้งนี้เพราะรัฐธรรมนูญของประเทศไทยยิ่งมีมาก ก็มีความยาวมาก บางฉบับลงรายละเอียดตอนเกิดช่องว่างที่ต้องแก้ไข ตีความกันตลอดเวลาซึ่งผิดกับรัฐธรรมนูญของประเทศประชาธิปไตยอื่น ที่ไม่ยาว หรือประเทศที่เป็นแม่บทคืออังกฤษ ที่ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร หรือประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย รัฐธรรมนูญก็ไม่ยาวเหมือนของไทย
ยิ่งไปกว่านั้น นักการเมืองไทย โดยเฉพาะนักการเมืองศรีธนญชัย มักจะดูข้อความที่เป็นลายลักษณ์อักษรมากกว่าเจตนารมณ์ จึงเกิดปัญหารัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลา
สรุปรวมความว่า ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะดีเพียงใด แต่ผู้ปฏิบัติ คือ ผู้ใช้รัฐธรรมนูญโดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มักจะใช้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้องมากกว่าเพื่อประชาชน ฉะนั้นไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะดีสมบูรณ์อย่างไร ก็ไม่มีวันที่จะเป็นที่พอใจของนักการเมืองที่มีอำนาจในเวลานั้นๆ เพราะพวกเขาเป็นพวกปากประชาธิปไตย แต่หัวใจเป็นเผด็จการ
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/4562
ปล.ข้อคิดจาก ผู้มีประสบการณ์....ที่สั่งสมมายาวนาน มันดีจริง...เอิ๊ก ๆ ๆ