ลิ้งค์ตอนเก่าค่า
บทที่ 1
http://pantip.com/topic/36590456
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/36597398
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/36600609
==============
บทที่ 4
ฉันนั่งเล่นเกมรูเล็ตแสนโปรดของตนเองตอนฆ่าเวลารอเพื่อนอยู่ที่ม้านั่งตัวประจำของเรา
รายงานชิ้นสุดท้ายของเทอมนี้ที่กลุ่มของเราอยากทำออกมาให้ดีที่สุดถึงได้นัดกันมาแต่เช้าเพื่อสรุปความเห็นกันให้ได้ก่อนที่จะแจกจ่ายกันไปทำในส่วนของตน
แปลกดีนะคะ ไม่ว่าเล่นกี่ตากี่ตาฉันก็ไม่เคยแทงถูกเลยแม้แต่ครั้งเดียวกระทั่งความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นมาเป็นริ้วจนต้องเลิกเล่นไปในที่สุด
รายงานกลุ่มวันนี้ดูกร่อยเต็มทน เพื่อนในกลุ่มของฉันต่างมองหน้ากันอย่างกังวล แล้วหันกลับมามองฉันแบบไม่รู้จะปลอบใจอะไรดี
ฉันไม่พร้อมจะพูดอะไร ก็แน่นอนว่าไม่มีทางที่ฉันจะเปิดปากให้เพื่อนรับรู้ แม้ว่าคนนั้นจะเป็นหนูดีก็ตาม
ฉันหายหน้าไปจากร้านพี่ปรินซ์เกือบสองอาทิตย์เต็มๆ ค่ะ ซึ่งนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มไปร้านของพี่ปรินซ์มาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะพวกเราเริ่มเตรียมสอบกันแล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งนั้น ได้โปรดอย่าบังคับให้ฉันต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูดถึงเลยนะคะ
ธรรมดาฉันก็จะไปอ่านหนังสือที่บ้านหนูดีบ้างค่ะ แต่การสอบครั้งนี้ฉันสมัครใจอ่านหนังสืออยู่กับบ้านและห้องสมุดมหาวิทยาลัยมากกว่า ช่วงเวลาสอบที่ห้องสมุดจะเปิดดึกกว่าปกติ ฉันจึงใช้เวลาส่วนมากในนั้น
“ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดถึงพี่ปรินซ์ต่อหน้าผักกาดเลย ผักกาดไม่อยากได้ยิน”
ฉันเห็นแววตาสงสัยของเพื่อนเป็นอย่างดี หนูดีมองหน้าฉันอย่างลังเล แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจไม่ถามกลับเอ่ยอีกเรื่องหนึ่งอย่างกระตือรือร้น
“ผักกาดจำพี่มาส์เพื่อนพี่ปรานต์ที่หนูดีเคยเล่าให้ฟังได้ไหม”
ฉันขมวดคิ้วก่อนพยักหน้าน้อยๆ มีชื่อผู้ชายไม่กี่ชื่อที่จะได้ยินจากหนูดีค่ะ คนที่หนูดีพูดถึง ถ้าไม่ใช่พี่ชาย ก็จะเป็นผู้ชายคนอื่นที่หล่อสะดุดตามากๆ เท่านั้น สำหรับ ‘พี่มาส์’ คนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้ว่าฉันจะไม่เคยเห็นแม้แต่ภาพของเขาก็ตาม
ไม่ใช่ว่าหนูดีจะเป็นผู้หญิงที่มีจริตเอาแต่พร่ำเพ้อถึงเพศตรงข้ามแบบนั้นนะคะ หนูดีเพียงแค่ฝังใจกับจินตนาการของนิทานมากเสียจนไม่มีสายตาแลใครนอกจากคนที่มีคุณสมบัติดุจดั่งเจ้าชายในเทพนิยายเท่านั้น
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือคะ ทั้งพี่ปรานต์ทั้งพี่ปรินซ์ก็มีคุณสมบัตินั้นครบถ้วน
ชื่อพี่ปรินซ์ทำให้ฉันต้องรีบหักห้ามใจทันที หาไม่แล้วคงได้น้ำตาไหลออกมาอีกแน่ๆ
“พี่มาส์กำลังจะกลับจากอังกฤษ หนูดีไม่ได้เจอพี่เขามาหลายปีแล้ว กะว่าจะไปรับพี่เขาที่สนามบิน ผักกาดไปด้วยกันไหม” ท่าทางเหมือนเด็กที่ต้องการแบ่งของเล่น ทำให้ฉันนึกขัน หนูดีพยายามจะหาทางให้ฉันอารมณ์ดีในแบบที่เธอทำได้ แต่บางที ‘พี่มาส์’ คนนี้คงไม่ใช่ของเล่นอย่างที่ฉันคิดหรอก ดวงตาของหนูดีวาววับพร้อมกับแก้มแดงปลั่งทำให้ทราบว่าเรื่องนี้อาจรวมถึงหัวใจของเพื่อนก็เป็นได้
เขาอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้หนูดีไม่เหลือสายตาไว้มองใครอีก
“หนูดีไปเถอะ เราก็ไม่รู้จักพี่เขาสักหน่อยจะไปทำไม” ฉันยิ้มให้เพื่อนอย่างขอบใจ อย่างไรเสียนั่นก็เป็นความหวังดีของหนูดีล่ะนะ
ตัวหนังสือเป็นพรืดกับพจนานุกรมเล่มใหญ่อยู่ตรงหน้าฉันแทบไม่เข้าหัว ฉันถอนใจเงยหน้านวดหัวคิ้วตนเองช้าๆ พยายามตั้งสมาธิกับการอ่านหนังสือสอบให้มากที่สุด ฉันไม่อยากให้มีอะไรมารบกวนคะแนนที่เป็นผลจากความอุตสาหะของตนเองที่ทำมาตลอดหกเทอมให้เป็นหมันไปหรอกนะคะ อีกแค่ไม่กี่ก้าวที่จะเอื้อมคว้าเกียรติยศ ฉันไม่อยากให้ความอ่อนแอนั่นมาเป็นสิ่งกีดขวางได้หรอกค่ะ
แต่การที่เรามุ่งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งประกอบกับที่ฉันไม่ได้พบหน้าเขา ทำให้อะไรหลายๆ อย่างลงตัวมากขึ้น จนฉันคิดว่าตนเองสามารถลืมเรื่องนี้ได้จริงๆ จนกระทั่งสอบเสร็จ ส่งรายงานและปิดภาคเรียน ฉันจึงเพิ่งรู้ตัวว่าฉันไม่มีทางลืมมันได้อย่างที่เพียรพยายามหลอกตัวเองหรอก
ในวันที่ฉันทำความสะอาดห้องหลังจากที่ปล่อยให้รกมาหลายวันเพราะมุ่งมั่นกับการสอบ แค่เพียงเผลอทำกล่องใส่เครื่องประดับในห้องตกจากพื้น ต่างหู สร้อยคอ รวมทั้งแหวนกระจายเต็มพื้น
แต่สิ่งที่สะดุดตาฉันที่สุดกลับกลายเป็นกิ๊บติดผมรูปดอกไม้บอบบางอันนั้นที่ฉันใส่ไว้รวมกับของมีค่าต่างๆ
เท่านั้นเอง ความคิดเรื่องที่ฉันกดทับมันดุจลาวาก็ปะทุขึ้นหลังจากแรงบีบอัดนั่น มันไหลบ่าอย่างน่ากลัวจนจำไม่ได้ว่าตัวเองร้องไห้ไปแล้วกี่ครั้ง สภาพของฉันยับเยินจนดูไม่ได้
นัยน์ตาเรียวเล็กแต่บวมแดง ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระจัดกระจายเพราะไม่ได้ดูแลตัวเอง เสื้อผ้าก็เป็นเพียงเสื้อยืดเก่าๆ เนื้อผ้านิ่มใส่สบายกับกางเกงขาสั้นมีรูขาด
ถ้าใครเรียกฉันว่าซาดาโกะ ฉันจะถือว่าเป็นคำชมค่ะ
ฉันหยิบปอยผมยาวที่ทั้งหนาและหนักของตนเองมามองอย่างพิจารณา ปลายผมนั้นดูแห้งกรอบราวกับไร้น้ำหล่อเลี้ยง ฉันจึงหันดูด้านหลังเพื่อให้เห็นความยาวของผมตนเองดูชัดๆ และพบว่ามันยาวเลยบั้นเอวไปแล้ว
เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้น เป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ฉันไม่คุ้นเคยเลยค่ะ
หรือว่าเพื่อนของฉันที่ต่างจังหวัดจะเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์เสียแล้วก็ไม่รู้ คิดได้ดังนั้นฉันจึงรับโทรศัพท์อย่างกระตือรือร้นมากขึ้นเพราะไม่ได้คุยกับเพื่อนนาน
“ผักกาดหรือ พี่เอง”
ฉันตัวแข็งทันที เดาได้ใช่ไหมคะว่าใครโทรมา
“เอ่อ...พี่ปรินซ์นะ” เขาบอกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจเมื่อฉันยังคงเงียบ
“ค่ะ พี่ปรินซ์” ฉันเพิ่งหาเสียงเจอ “พี่ปรินซ์ได้เบอร์ผักกาดมาจากไหนคะ”
เป็นคำถามที่โง่มากใช่ไหมคะ สำหรับการถามพี่ชายของเพื่อนตัวเองว่าเอาหมายเลขโทรศัพท์ฉันมาจากใครถ้าไม่ใช่หนูดี
“พี่ถามหนูดีมา” พี่ปรินซ์ตอบมาเบาๆ น้ำเสียงเขาลังเล
เห็นไหมคะว่าฉันเซ่อแค่ไหน
“พี่ปรินซ์มีอะไรหรือเปล่าคะ”
คราวนี้เป็นฝ่ายนั้นที่อึ้งไปบ้าง ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เสียงต่ำฟังแล้วเย็นชาอย่างนี้เลย แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้พี่ปรินซ์คงจะจับได้ว่าน้ำตาฉันไหลลงมาอีกแล้ว
“พี่เห็นผักกาดหายไปนาน” เขาเอ่ยเสียงอ่อน “เลยถามหนูดี หนูดีบอกช่วงนี้มีสอบแล้วผักกาดก็ดูเครียดๆ เลยไม่ได้ไปที่ร้านอีก”
“ค่ะ” ฉันตอบสั้นๆ เปิดเสียงลำโพงแล้วโยนไว้บนเตียง เอาตัวออกห่างจากโทรศัพท์ให้ไกลที่สุดเพื่อที่จะสูดจมูกไม่ให้เสียงเล็ดลอดเข้าโทรศัพท์ไปได้
“แล้ว...จะมาที่ร้านอีกไหม” ยิ่งคำถามนี้ฉันยิ่งรู้สึกเขาลังเลหนักกว่าเดิมในขณะที่ความเงียบคือคำตอบของฉัน เสียงถอนใจอีกฝ่ายเต็มสองหู
“ยังไงก็แวะมาที่ร้านบ้างก็ดีนะ ร้านกำลังจะปิดเร็วๆ นี้”
“ร้านจะปิดหรือคะ” ฉันแทบถลาไปยังเตียง ถามเสียงหลงทันที
“อือ” เขาตอบสั้นๆ
แทนที่จะเป็นเสียงเศร้าทำไมฉันไม่ยักรู้สึก ฉันว่าเสียงเขาเหมือนลิงโลดมีชัยมากกว่า ประสาทหูฉันฟั่นเฟือนหรือว่าน้ำตาฉันทำให้หูอื้อจนฟังเพี้ยนไปแล้วมั้งคะ
“เกิดอะไรขึ้นคะพี่ปรินซ์ ทำไมต้องปิด” ฉันรีบพูดเป็นรถไฟด่วนแทบจะลืมหายใจ
“มาที่นี่ก็แล้วกัน ไว้พี่จะเล่าให้ฟัง”
แล้วพี่ปรินซ์ก็วางหูไปดื้อๆ ทิ้งคำถามร้อยแปดไว้ให้ฉันคิดเป็นการบ้าน ความเศร้าอันตรธานไปเป็นปลิดทิ้งเหลือแต่ความกระวนกระวายในสถานการณ์ที่พี่ปรินซ์เผชิญอยู่ตอนนี้
ฉันนอนกระสับกระส่ายเกือบทั้งคืน เลยกลายเป็นว่าผล็อยหลับตอนเช้ามืดแล้วตื่นอีกทีคือตอนที่ตะวันเกือบจะตรงศีรษะอยู่รอมร่อ
ซิ่งค่ะ...นี่คือคำจำกัดความของฉันตอนขับรถในวันนี้
ฉันหงุดหงิดอยู่บ้างที่ออกสายทำให้หาที่จอดรถละแวกนั้นไม่ได้เลย รีบจนลืมนึกถึงที่จอดรถไปเสียสนิทใจทีเดียวค่ะ
วนตรอกซอกซอยอยู่เป็นนานกว่าจะหาที่จอดรถได้ ถือว่าอยู่ห่างจากร้านพี่ปรินซ์ไม่น้อยทีเดียว ฉันเลยจัดการโบกรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างให้มาส่งที่ร้าน
ทว่าฉันเห็นรถยนต์ยุโรปคันเล็กที่ฉันจำได้แม่นขับออกมาจากซอยที่ฉันมักนำรถไปจอดเพื่อมาบ้านพี่ปรินซ์ และแม่นยิ่งกว่านั้นคือหน้าตาของคนขับ...
นั่นพี่ปรินซ์แน่นอนค่ะ
จะเรียกว่าฉันมาช้าไปจึงไม่ทันพี่ปรินซ์ หรือจะเรียกว่ามาเร็วไปเลยทำให้เห็นภาพบาดตานี้ดีคะ
เงาร่างที่มองจากด้านหลังรถเห็นชัดว่ามีคนสองคนนั่งไปด้วยกันอย่างนี้ คนที่นั่งข้างๆ ก็คงหนีไม่พ้นเจ้าของรถแหละค่ะ
ฉันเกร็งมือที่จับด้านหลังรถมอเตอร์ไซด์แน่น ความรู้สึกภายในกำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรงระหว่างบอกให้รถจอดที่หน้าร้านพี่ปรินซ์อย่างที่ควรจะเป็นหรือว่าบอกให้รถตามรถยุโรปคันนั้นไปอย่างที่ใจอยากทำดี
คนอย่างฉันจะเลือกทางไหนได้ล่ะคะ
ฉันเดินหงอยๆ ไปที่ร้านของพี่ปรินซ์ แล้วก็เป็นอย่างที่ฉันคิด พี่ต๋อมอยู่เฝ้าร้านพอดี เขากำลังดูดไอศกรีมแท่งนั่งเล่นเกมมือถืออยู่เพราะไม่มีลูกค้า ถ้าฉันมองภาพหน้าจอแสนคุ้นเคยนั่นไม่ผิด น่าจะเป็นเกมรูเล็ตที่ฉันติดงอมแงมอยู่นะคะ
เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด เขาก็ซ่อนไอศกรีมนั่นไว้ด้านหลัง ซุกมือถือ แล้วหันมาเตรียมยิ้มเครื่องหมายการค้าให้ฉันอย่างเต็มที่
“อ้าว! ผักกาดหายไปไหนมาตั้งนาน คิดถึงจัง” พี่ต๋อมเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ รีบกระวีกระวาดเข้ามาดึงแขนฉันให้มานั่งที่โซฟาพลางกวาดตามองฉันอย่างสำรวจ
“เป็นอะไรไป ดู...ไม่สดใสเลย”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” ฉันลูบหน้าตัวเอง สัมผัสขอบตาที่ค่อนข้างช้ำเพราะการอดนอนและการร้องไห้ติดๆ กันหลายวัน
คำว่า ‘ไม่สดใส’ ดูจะเป็นคำเบาที่สุดเท่าที่พี่ต๋อมจะหาได้ค่ะ ฉันยิ้มแล้วชำเลืองมองกระจกภายในร้าน เห็นตัวฉันเองที่นัยน์ตาลึกโหล ปากซีด ใบหน้าขาวจนเกือบเหลืองเพราะไม่ได้แต่งหน้า ผมยาวนั่นพันกันยุ่งเพราะนั่งรถมอเตอร์ไซด์มา เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีจางบ่มให้ฉันยิ่งดูแย่กว่าเดิมมากมาย
“ไม่มีอะไรตรงไหน” พี่ต๋อมขมวดคิ้วค้าน “ไหนใครไปทำอะไรให้ บอกพี่มาสิ เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง”
ฉันหัวเราะเบาๆ กับท่าทีแข็งขันนั่นแล้วเปลี่ยนเรื่องไป
“พี่ปรินซ์โทรบอกว่าร้านจะปิด ให้ผักกาดรีบมาที่นี่ เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
“คุณปรินซ์บอกผักกาดอย่างนั้นหรือ” พี่ต๋อมเลิกคิ้ว ก่อนจะพึมพำเบาๆ “มิน่าล่ะ เดินว่อน ชะเง้อจนคอยาวเป็นเต่าตั้งแต่เช้า”
“คะ ใครเป็นเต่าอะไรคะพี่ต๋อม” ฉันเลิกคิ้วสงสัย
“อ๋อ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” พี่ต๋อมส่ายหน้าทันที ฉันจึงดึงกลับเข้าเรื่องเดิม
“แล้วสรุปว่าร้านปิดเมื่อไร อย่างไรคะพี่ต๋อม”
“ถ้าบอกว่าปิดที่นี่ก็คงเรียกว่าปิด” พี่ต๋อมงึมงำ วันนี้เจ็บคอหรือไงไม่รู้ถึงได้พูดเบาจนฉันแทบไม่ได้ยินบ่อยๆ “แต่ถ้าเรียกให้ถูกก็คือย้ายร้านมากกว่า ผักกาดไม่เห็นประกาศแจ้งข้างหน้าหรือ”
ฉันกะพริบตาแล้วรีบเดินออกไปด้านนอกอีกครั้ง มีป้ายประกาศอย่างที่พี่ต๋อมว่าไว้จริงๆ ค่ะ บอกว่าจะย้ายร้านไปอยู่ซอยข้างๆ ในเดือนหน้า ฉันเลยเดินเข้ามาหาพี่ต๋อมด้วยเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเริ่ม
“เผอิญเจ้าของที่ตรงร้านใหม่เป็นลูกค้าประจำคุณปรินซ์” พี่ต๋อมเก่งเสมอเรื่องอ่านสีหน้าฉัน “พอรู้เรื่องก็เลยเสนอบอกว่าให้ไปเช่าตรงนั้นแทน ราคาเท่ากับราคาเก่าที่เช่าที่นี่แต่ได้พื้นที่มากกว่าด้วยนะ คุณปรินซ์ก็เลยเลิกต่อสัญญาที่ร้านนี้ แล้วย้ายไปร้านนั้นแทน”
“อ้าว...อย่างนั้นก็ต้องตกแต่งใหม่อีก...”
“เห็นคุณปรินซ์ว่าคุ้มนะ จิ้มเครื่องคิดเลขใหญ่เลย” พี่ต๋อมอธิบายพลางกัดเล็กไอศกรีมไปด้วย “ผักกาดจำคุณป้าที่พี่ทำสีให้วันที่คุณวิชองค์ลงแล้วมาก่อเรื่องหรือเปล่า”
ฉันนึกถึงคุณป้าคนที่ช่วยฉันปล่อยหมัดได้แวบๆ แล้วพยักหน้า
“นั่นล่ะ เจ้าของที่ที่ว่า”
หือ...คุณป้าคนนั้นน่ะนะ!
“แกมาทำบ่อย พี่ก็เลยเปรยๆ บ่นให้แกฟัง” พี่ต๋อมยอมรับด้วยสีหน้าเขินๆ “ใครจะไปคิดล่ะว่าเป็นเจ้าของซอยข้างๆ ทั้งซอย แกเลยบอกใจป้ำว่าจะให้เช่าที่ของแกราคาปัจจุบันที่คุณปรินซ์เช่าอยู่ แกชอบฝีมือคุณปรินซ์ ไม่อยากให้ทนคุณวิชไม่ได้แล้วย้ายร้านหนีไปไกลหูไกลตาแก ขี้เกียจไปตามหา”
“แล้วคุณวิชเขายังมาที่นี่อีกไหมคะ” ฉันเลียบเคียงถาม เกรงว่ายายแม่มดจะตามมารังควานที่ร้านพี่ปรินซ์อีก
“โอ๊ย! ไม่มาหรอก ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ยังไม่เห็นเงา” พี่ต๋อมส่ายหน้าหัวเราะจนตัวกระเพื่อม “ขนาดโดนขัดใจนิดหน่อยยังแทบเต้น ป่านนี้คงอกแตกตายไปแล้วมั้ง”
ฉันค่อยยิ้มออกมาได้ จริงอย่างที่พี่ปรินซ์ว่า เมื่อถึงเวลามันจะมีทางออกมาเอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าทางไหนเท่านั้น แต่เมื่อคิดถึงเรื่องของตนเอง ฉันก็ถอนใจเมื่อมองไม่เห็นทางออกที่ว่าเลย
ถ้าจะมีก็คงเป็นตัวฉันเองที่ต้องหลีกเร้นไปสินะ
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : แผนลับราพันเซล บทที่ 4 (จบ)
บทที่ 1
http://pantip.com/topic/36590456
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/36597398
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/36600609
==============
บทที่ 4
ฉันนั่งเล่นเกมรูเล็ตแสนโปรดของตนเองตอนฆ่าเวลารอเพื่อนอยู่ที่ม้านั่งตัวประจำของเรา
รายงานชิ้นสุดท้ายของเทอมนี้ที่กลุ่มของเราอยากทำออกมาให้ดีที่สุดถึงได้นัดกันมาแต่เช้าเพื่อสรุปความเห็นกันให้ได้ก่อนที่จะแจกจ่ายกันไปทำในส่วนของตน
แปลกดีนะคะ ไม่ว่าเล่นกี่ตากี่ตาฉันก็ไม่เคยแทงถูกเลยแม้แต่ครั้งเดียวกระทั่งความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นมาเป็นริ้วจนต้องเลิกเล่นไปในที่สุด
รายงานกลุ่มวันนี้ดูกร่อยเต็มทน เพื่อนในกลุ่มของฉันต่างมองหน้ากันอย่างกังวล แล้วหันกลับมามองฉันแบบไม่รู้จะปลอบใจอะไรดี
ฉันไม่พร้อมจะพูดอะไร ก็แน่นอนว่าไม่มีทางที่ฉันจะเปิดปากให้เพื่อนรับรู้ แม้ว่าคนนั้นจะเป็นหนูดีก็ตาม
ฉันหายหน้าไปจากร้านพี่ปรินซ์เกือบสองอาทิตย์เต็มๆ ค่ะ ซึ่งนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มไปร้านของพี่ปรินซ์มาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะพวกเราเริ่มเตรียมสอบกันแล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งนั้น ได้โปรดอย่าบังคับให้ฉันต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูดถึงเลยนะคะ
ธรรมดาฉันก็จะไปอ่านหนังสือที่บ้านหนูดีบ้างค่ะ แต่การสอบครั้งนี้ฉันสมัครใจอ่านหนังสืออยู่กับบ้านและห้องสมุดมหาวิทยาลัยมากกว่า ช่วงเวลาสอบที่ห้องสมุดจะเปิดดึกกว่าปกติ ฉันจึงใช้เวลาส่วนมากในนั้น
“ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดถึงพี่ปรินซ์ต่อหน้าผักกาดเลย ผักกาดไม่อยากได้ยิน”
ฉันเห็นแววตาสงสัยของเพื่อนเป็นอย่างดี หนูดีมองหน้าฉันอย่างลังเล แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจไม่ถามกลับเอ่ยอีกเรื่องหนึ่งอย่างกระตือรือร้น
“ผักกาดจำพี่มาส์เพื่อนพี่ปรานต์ที่หนูดีเคยเล่าให้ฟังได้ไหม”
ฉันขมวดคิ้วก่อนพยักหน้าน้อยๆ มีชื่อผู้ชายไม่กี่ชื่อที่จะได้ยินจากหนูดีค่ะ คนที่หนูดีพูดถึง ถ้าไม่ใช่พี่ชาย ก็จะเป็นผู้ชายคนอื่นที่หล่อสะดุดตามากๆ เท่านั้น สำหรับ ‘พี่มาส์’ คนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้ว่าฉันจะไม่เคยเห็นแม้แต่ภาพของเขาก็ตาม
ไม่ใช่ว่าหนูดีจะเป็นผู้หญิงที่มีจริตเอาแต่พร่ำเพ้อถึงเพศตรงข้ามแบบนั้นนะคะ หนูดีเพียงแค่ฝังใจกับจินตนาการของนิทานมากเสียจนไม่มีสายตาแลใครนอกจากคนที่มีคุณสมบัติดุจดั่งเจ้าชายในเทพนิยายเท่านั้น
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือคะ ทั้งพี่ปรานต์ทั้งพี่ปรินซ์ก็มีคุณสมบัตินั้นครบถ้วน
ชื่อพี่ปรินซ์ทำให้ฉันต้องรีบหักห้ามใจทันที หาไม่แล้วคงได้น้ำตาไหลออกมาอีกแน่ๆ
“พี่มาส์กำลังจะกลับจากอังกฤษ หนูดีไม่ได้เจอพี่เขามาหลายปีแล้ว กะว่าจะไปรับพี่เขาที่สนามบิน ผักกาดไปด้วยกันไหม” ท่าทางเหมือนเด็กที่ต้องการแบ่งของเล่น ทำให้ฉันนึกขัน หนูดีพยายามจะหาทางให้ฉันอารมณ์ดีในแบบที่เธอทำได้ แต่บางที ‘พี่มาส์’ คนนี้คงไม่ใช่ของเล่นอย่างที่ฉันคิดหรอก ดวงตาของหนูดีวาววับพร้อมกับแก้มแดงปลั่งทำให้ทราบว่าเรื่องนี้อาจรวมถึงหัวใจของเพื่อนก็เป็นได้
เขาอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้หนูดีไม่เหลือสายตาไว้มองใครอีก
“หนูดีไปเถอะ เราก็ไม่รู้จักพี่เขาสักหน่อยจะไปทำไม” ฉันยิ้มให้เพื่อนอย่างขอบใจ อย่างไรเสียนั่นก็เป็นความหวังดีของหนูดีล่ะนะ
ตัวหนังสือเป็นพรืดกับพจนานุกรมเล่มใหญ่อยู่ตรงหน้าฉันแทบไม่เข้าหัว ฉันถอนใจเงยหน้านวดหัวคิ้วตนเองช้าๆ พยายามตั้งสมาธิกับการอ่านหนังสือสอบให้มากที่สุด ฉันไม่อยากให้มีอะไรมารบกวนคะแนนที่เป็นผลจากความอุตสาหะของตนเองที่ทำมาตลอดหกเทอมให้เป็นหมันไปหรอกนะคะ อีกแค่ไม่กี่ก้าวที่จะเอื้อมคว้าเกียรติยศ ฉันไม่อยากให้ความอ่อนแอนั่นมาเป็นสิ่งกีดขวางได้หรอกค่ะ
แต่การที่เรามุ่งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งประกอบกับที่ฉันไม่ได้พบหน้าเขา ทำให้อะไรหลายๆ อย่างลงตัวมากขึ้น จนฉันคิดว่าตนเองสามารถลืมเรื่องนี้ได้จริงๆ จนกระทั่งสอบเสร็จ ส่งรายงานและปิดภาคเรียน ฉันจึงเพิ่งรู้ตัวว่าฉันไม่มีทางลืมมันได้อย่างที่เพียรพยายามหลอกตัวเองหรอก
ในวันที่ฉันทำความสะอาดห้องหลังจากที่ปล่อยให้รกมาหลายวันเพราะมุ่งมั่นกับการสอบ แค่เพียงเผลอทำกล่องใส่เครื่องประดับในห้องตกจากพื้น ต่างหู สร้อยคอ รวมทั้งแหวนกระจายเต็มพื้น
แต่สิ่งที่สะดุดตาฉันที่สุดกลับกลายเป็นกิ๊บติดผมรูปดอกไม้บอบบางอันนั้นที่ฉันใส่ไว้รวมกับของมีค่าต่างๆ
เท่านั้นเอง ความคิดเรื่องที่ฉันกดทับมันดุจลาวาก็ปะทุขึ้นหลังจากแรงบีบอัดนั่น มันไหลบ่าอย่างน่ากลัวจนจำไม่ได้ว่าตัวเองร้องไห้ไปแล้วกี่ครั้ง สภาพของฉันยับเยินจนดูไม่ได้
นัยน์ตาเรียวเล็กแต่บวมแดง ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระจัดกระจายเพราะไม่ได้ดูแลตัวเอง เสื้อผ้าก็เป็นเพียงเสื้อยืดเก่าๆ เนื้อผ้านิ่มใส่สบายกับกางเกงขาสั้นมีรูขาด
ถ้าใครเรียกฉันว่าซาดาโกะ ฉันจะถือว่าเป็นคำชมค่ะ
ฉันหยิบปอยผมยาวที่ทั้งหนาและหนักของตนเองมามองอย่างพิจารณา ปลายผมนั้นดูแห้งกรอบราวกับไร้น้ำหล่อเลี้ยง ฉันจึงหันดูด้านหลังเพื่อให้เห็นความยาวของผมตนเองดูชัดๆ และพบว่ามันยาวเลยบั้นเอวไปแล้ว
เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้น เป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ฉันไม่คุ้นเคยเลยค่ะ
หรือว่าเพื่อนของฉันที่ต่างจังหวัดจะเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์เสียแล้วก็ไม่รู้ คิดได้ดังนั้นฉันจึงรับโทรศัพท์อย่างกระตือรือร้นมากขึ้นเพราะไม่ได้คุยกับเพื่อนนาน
“ผักกาดหรือ พี่เอง”
ฉันตัวแข็งทันที เดาได้ใช่ไหมคะว่าใครโทรมา
“เอ่อ...พี่ปรินซ์นะ” เขาบอกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจเมื่อฉันยังคงเงียบ
“ค่ะ พี่ปรินซ์” ฉันเพิ่งหาเสียงเจอ “พี่ปรินซ์ได้เบอร์ผักกาดมาจากไหนคะ”
เป็นคำถามที่โง่มากใช่ไหมคะ สำหรับการถามพี่ชายของเพื่อนตัวเองว่าเอาหมายเลขโทรศัพท์ฉันมาจากใครถ้าไม่ใช่หนูดี
“พี่ถามหนูดีมา” พี่ปรินซ์ตอบมาเบาๆ น้ำเสียงเขาลังเล
เห็นไหมคะว่าฉันเซ่อแค่ไหน
“พี่ปรินซ์มีอะไรหรือเปล่าคะ”
คราวนี้เป็นฝ่ายนั้นที่อึ้งไปบ้าง ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เสียงต่ำฟังแล้วเย็นชาอย่างนี้เลย แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้พี่ปรินซ์คงจะจับได้ว่าน้ำตาฉันไหลลงมาอีกแล้ว
“พี่เห็นผักกาดหายไปนาน” เขาเอ่ยเสียงอ่อน “เลยถามหนูดี หนูดีบอกช่วงนี้มีสอบแล้วผักกาดก็ดูเครียดๆ เลยไม่ได้ไปที่ร้านอีก”
“ค่ะ” ฉันตอบสั้นๆ เปิดเสียงลำโพงแล้วโยนไว้บนเตียง เอาตัวออกห่างจากโทรศัพท์ให้ไกลที่สุดเพื่อที่จะสูดจมูกไม่ให้เสียงเล็ดลอดเข้าโทรศัพท์ไปได้
“แล้ว...จะมาที่ร้านอีกไหม” ยิ่งคำถามนี้ฉันยิ่งรู้สึกเขาลังเลหนักกว่าเดิมในขณะที่ความเงียบคือคำตอบของฉัน เสียงถอนใจอีกฝ่ายเต็มสองหู
“ยังไงก็แวะมาที่ร้านบ้างก็ดีนะ ร้านกำลังจะปิดเร็วๆ นี้”
“ร้านจะปิดหรือคะ” ฉันแทบถลาไปยังเตียง ถามเสียงหลงทันที
“อือ” เขาตอบสั้นๆ
แทนที่จะเป็นเสียงเศร้าทำไมฉันไม่ยักรู้สึก ฉันว่าเสียงเขาเหมือนลิงโลดมีชัยมากกว่า ประสาทหูฉันฟั่นเฟือนหรือว่าน้ำตาฉันทำให้หูอื้อจนฟังเพี้ยนไปแล้วมั้งคะ
“เกิดอะไรขึ้นคะพี่ปรินซ์ ทำไมต้องปิด” ฉันรีบพูดเป็นรถไฟด่วนแทบจะลืมหายใจ
“มาที่นี่ก็แล้วกัน ไว้พี่จะเล่าให้ฟัง”
แล้วพี่ปรินซ์ก็วางหูไปดื้อๆ ทิ้งคำถามร้อยแปดไว้ให้ฉันคิดเป็นการบ้าน ความเศร้าอันตรธานไปเป็นปลิดทิ้งเหลือแต่ความกระวนกระวายในสถานการณ์ที่พี่ปรินซ์เผชิญอยู่ตอนนี้
ฉันนอนกระสับกระส่ายเกือบทั้งคืน เลยกลายเป็นว่าผล็อยหลับตอนเช้ามืดแล้วตื่นอีกทีคือตอนที่ตะวันเกือบจะตรงศีรษะอยู่รอมร่อ
ซิ่งค่ะ...นี่คือคำจำกัดความของฉันตอนขับรถในวันนี้
ฉันหงุดหงิดอยู่บ้างที่ออกสายทำให้หาที่จอดรถละแวกนั้นไม่ได้เลย รีบจนลืมนึกถึงที่จอดรถไปเสียสนิทใจทีเดียวค่ะ
วนตรอกซอกซอยอยู่เป็นนานกว่าจะหาที่จอดรถได้ ถือว่าอยู่ห่างจากร้านพี่ปรินซ์ไม่น้อยทีเดียว ฉันเลยจัดการโบกรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างให้มาส่งที่ร้าน
ทว่าฉันเห็นรถยนต์ยุโรปคันเล็กที่ฉันจำได้แม่นขับออกมาจากซอยที่ฉันมักนำรถไปจอดเพื่อมาบ้านพี่ปรินซ์ และแม่นยิ่งกว่านั้นคือหน้าตาของคนขับ...
นั่นพี่ปรินซ์แน่นอนค่ะ
จะเรียกว่าฉันมาช้าไปจึงไม่ทันพี่ปรินซ์ หรือจะเรียกว่ามาเร็วไปเลยทำให้เห็นภาพบาดตานี้ดีคะ
เงาร่างที่มองจากด้านหลังรถเห็นชัดว่ามีคนสองคนนั่งไปด้วยกันอย่างนี้ คนที่นั่งข้างๆ ก็คงหนีไม่พ้นเจ้าของรถแหละค่ะ
ฉันเกร็งมือที่จับด้านหลังรถมอเตอร์ไซด์แน่น ความรู้สึกภายในกำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรงระหว่างบอกให้รถจอดที่หน้าร้านพี่ปรินซ์อย่างที่ควรจะเป็นหรือว่าบอกให้รถตามรถยุโรปคันนั้นไปอย่างที่ใจอยากทำดี
คนอย่างฉันจะเลือกทางไหนได้ล่ะคะ
ฉันเดินหงอยๆ ไปที่ร้านของพี่ปรินซ์ แล้วก็เป็นอย่างที่ฉันคิด พี่ต๋อมอยู่เฝ้าร้านพอดี เขากำลังดูดไอศกรีมแท่งนั่งเล่นเกมมือถืออยู่เพราะไม่มีลูกค้า ถ้าฉันมองภาพหน้าจอแสนคุ้นเคยนั่นไม่ผิด น่าจะเป็นเกมรูเล็ตที่ฉันติดงอมแงมอยู่นะคะ
เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด เขาก็ซ่อนไอศกรีมนั่นไว้ด้านหลัง ซุกมือถือ แล้วหันมาเตรียมยิ้มเครื่องหมายการค้าให้ฉันอย่างเต็มที่
“อ้าว! ผักกาดหายไปไหนมาตั้งนาน คิดถึงจัง” พี่ต๋อมเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ รีบกระวีกระวาดเข้ามาดึงแขนฉันให้มานั่งที่โซฟาพลางกวาดตามองฉันอย่างสำรวจ
“เป็นอะไรไป ดู...ไม่สดใสเลย”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” ฉันลูบหน้าตัวเอง สัมผัสขอบตาที่ค่อนข้างช้ำเพราะการอดนอนและการร้องไห้ติดๆ กันหลายวัน
คำว่า ‘ไม่สดใส’ ดูจะเป็นคำเบาที่สุดเท่าที่พี่ต๋อมจะหาได้ค่ะ ฉันยิ้มแล้วชำเลืองมองกระจกภายในร้าน เห็นตัวฉันเองที่นัยน์ตาลึกโหล ปากซีด ใบหน้าขาวจนเกือบเหลืองเพราะไม่ได้แต่งหน้า ผมยาวนั่นพันกันยุ่งเพราะนั่งรถมอเตอร์ไซด์มา เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีจางบ่มให้ฉันยิ่งดูแย่กว่าเดิมมากมาย
“ไม่มีอะไรตรงไหน” พี่ต๋อมขมวดคิ้วค้าน “ไหนใครไปทำอะไรให้ บอกพี่มาสิ เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง”
ฉันหัวเราะเบาๆ กับท่าทีแข็งขันนั่นแล้วเปลี่ยนเรื่องไป
“พี่ปรินซ์โทรบอกว่าร้านจะปิด ให้ผักกาดรีบมาที่นี่ เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
“คุณปรินซ์บอกผักกาดอย่างนั้นหรือ” พี่ต๋อมเลิกคิ้ว ก่อนจะพึมพำเบาๆ “มิน่าล่ะ เดินว่อน ชะเง้อจนคอยาวเป็นเต่าตั้งแต่เช้า”
“คะ ใครเป็นเต่าอะไรคะพี่ต๋อม” ฉันเลิกคิ้วสงสัย
“อ๋อ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” พี่ต๋อมส่ายหน้าทันที ฉันจึงดึงกลับเข้าเรื่องเดิม
“แล้วสรุปว่าร้านปิดเมื่อไร อย่างไรคะพี่ต๋อม”
“ถ้าบอกว่าปิดที่นี่ก็คงเรียกว่าปิด” พี่ต๋อมงึมงำ วันนี้เจ็บคอหรือไงไม่รู้ถึงได้พูดเบาจนฉันแทบไม่ได้ยินบ่อยๆ “แต่ถ้าเรียกให้ถูกก็คือย้ายร้านมากกว่า ผักกาดไม่เห็นประกาศแจ้งข้างหน้าหรือ”
ฉันกะพริบตาแล้วรีบเดินออกไปด้านนอกอีกครั้ง มีป้ายประกาศอย่างที่พี่ต๋อมว่าไว้จริงๆ ค่ะ บอกว่าจะย้ายร้านไปอยู่ซอยข้างๆ ในเดือนหน้า ฉันเลยเดินเข้ามาหาพี่ต๋อมด้วยเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเริ่ม
“เผอิญเจ้าของที่ตรงร้านใหม่เป็นลูกค้าประจำคุณปรินซ์” พี่ต๋อมเก่งเสมอเรื่องอ่านสีหน้าฉัน “พอรู้เรื่องก็เลยเสนอบอกว่าให้ไปเช่าตรงนั้นแทน ราคาเท่ากับราคาเก่าที่เช่าที่นี่แต่ได้พื้นที่มากกว่าด้วยนะ คุณปรินซ์ก็เลยเลิกต่อสัญญาที่ร้านนี้ แล้วย้ายไปร้านนั้นแทน”
“อ้าว...อย่างนั้นก็ต้องตกแต่งใหม่อีก...”
“เห็นคุณปรินซ์ว่าคุ้มนะ จิ้มเครื่องคิดเลขใหญ่เลย” พี่ต๋อมอธิบายพลางกัดเล็กไอศกรีมไปด้วย “ผักกาดจำคุณป้าที่พี่ทำสีให้วันที่คุณวิชองค์ลงแล้วมาก่อเรื่องหรือเปล่า”
ฉันนึกถึงคุณป้าคนที่ช่วยฉันปล่อยหมัดได้แวบๆ แล้วพยักหน้า
“นั่นล่ะ เจ้าของที่ที่ว่า”
หือ...คุณป้าคนนั้นน่ะนะ!
“แกมาทำบ่อย พี่ก็เลยเปรยๆ บ่นให้แกฟัง” พี่ต๋อมยอมรับด้วยสีหน้าเขินๆ “ใครจะไปคิดล่ะว่าเป็นเจ้าของซอยข้างๆ ทั้งซอย แกเลยบอกใจป้ำว่าจะให้เช่าที่ของแกราคาปัจจุบันที่คุณปรินซ์เช่าอยู่ แกชอบฝีมือคุณปรินซ์ ไม่อยากให้ทนคุณวิชไม่ได้แล้วย้ายร้านหนีไปไกลหูไกลตาแก ขี้เกียจไปตามหา”
“แล้วคุณวิชเขายังมาที่นี่อีกไหมคะ” ฉันเลียบเคียงถาม เกรงว่ายายแม่มดจะตามมารังควานที่ร้านพี่ปรินซ์อีก
“โอ๊ย! ไม่มาหรอก ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ยังไม่เห็นเงา” พี่ต๋อมส่ายหน้าหัวเราะจนตัวกระเพื่อม “ขนาดโดนขัดใจนิดหน่อยยังแทบเต้น ป่านนี้คงอกแตกตายไปแล้วมั้ง”
ฉันค่อยยิ้มออกมาได้ จริงอย่างที่พี่ปรินซ์ว่า เมื่อถึงเวลามันจะมีทางออกมาเอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าทางไหนเท่านั้น แต่เมื่อคิดถึงเรื่องของตนเอง ฉันก็ถอนใจเมื่อมองไม่เห็นทางออกที่ว่าเลย
ถ้าจะมีก็คงเป็นตัวฉันเองที่ต้องหลีกเร้นไปสินะ