cnck......สอนลูก.....ทำการค้า

กลางดึกเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ดูหน้าจอปรากฏว่าเป็นเมียโทรมา

ซึ่งปกติไม่เคยโทรหา วินาทีที่รับสาย จึงเกิดความรู้สึก

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ยิ่งพอรับสายเสียงเมียเครียดๆถามว่า

เมีย         "คืนนี้ว่างเปล่า มีเรื่องคุยด้วย"

cnck       ในใจคิดสงสัยมีคลิปหลุดแหงๆ แต่ก็กลั้นใจทำเสียงแข็งสู้ "ไม่ค่อยว่าง มีไร ลองคุยดู"

เมีย        พักนี้ค้าขายไม่ดีลูกเครียดมาก เราอย่าพึ่งยกกิจการให้เลย กลับมาทำก่อนรอจนเศรษฐกิจ

             ดีกว่านี้ค่อยยกให้ลูก

cnck      พอรู้ว่าเป็นแค่เรื่องธุรกิจ กำลังใจมาทันที เสียงแข็งใส่กลับไปว่า

            "เรื่องแค่นี้ แม่ ก็ไปกล่อมลูกดิ บอกว่าอดทนช่วงนี้ไปก่อน เดี๋ยวรัฐบาลก็ทำให้มันดีเอง (คริ คริ)"

เมีย       ก็บอกแล้ว แต่สองคนไม่ยอมฟัง เครียดหนักกว่าเดิม

cnck     [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

          ตอบเบาๆไปว่า "งั้น พรุ่งนี้เย็นเรียกลูกทั้งสองคนกินข้าวกัน"


จบตอนที่ 1


ตอนที่ 2 ทานข้าวเย็นในบ้านพร้อมกันทั้งครอบครัว ทานเสร็จเริ่มการสนทนา

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

cnck       ได้ข่าวว่าเครียด เครียดเรื่องไร ? ไหนเล่าปัญหาทั้งหมดให้ฟัง แล้วมาหาวิธีแก้กัน

ลูกสาว     การค้าเราตกลงไป 30 % จัดโปรโมชั่นยังไง ยอดขายก็ไม่กระเตื้อง  เก็บเงินลูกค้าก็ลำบาก

              (วงการค้าแบบเดียวกับบ้านเราทุกคนปล่อยเครดิต 150-180 วัน)

             ขนาดลูกค้าบอกซื้อเงินสด ผ่านไปตั้งสองอาทิตย์ ยังเก็บเงินไม่ได้เลย รายจ่ายก็มีแต่สูงขึ้น ลดไม่ลง

cnck       ปัญหาหลักๆมีแค่นี้ใช่ไม๊ งั้นตั้งใจฟังดีๆ  


ร้านเรานี่ อากง (พ่อ cnck )ตั้งมาตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 2511  เเละ พ่อมาช่วย อากง ตั้งแต่อายุ 12

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่รุ่นพ่อลงมา มีคนเดียวที่ไม่มีปริญญาคือ cnck

ยอดขายเดือนแรกที่ทำการค้า อากง ทำได้ประมาณ 1 แสน 5 หมื่นกว่าบาท

และร้านเรามียอดขายเกิน 100 ล้านบาทต่อปีในปี พ.ศ 2533 และเกิน 200 ล้านต่อปีในปีพ.ศ 2545

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ถ้าดูจาก time line จะเห็นว่า เราใช้เวลาถึง 22 ปี ในการทำยอดขาย 100 ล้าน แต่ใช้เวลาเพียง 11 ปี

ในการสร้างยอดขายถึง 200 ล้าน


สมุดบันทึกยอดขายตั้งแต่รุ่นพ่อทำการค้า










ในช่วงเวลาเกือบ 50 ปีที่ร้านเราทำการค้า มีวิกฤตใหญ่ๆเกิดขึ้นในร้านเรา 3 ครั้งคือ

ครั้งที่ 1 ปี 2522 วิกฤต ราชาเงินทุน สมัยนั้น คนทำการค้าเวลาจะหาเงินมักจะตั้งวงแชร์

หรือไม่ก็กู้ทรัสต์  (เพราะกู้ง่ายกว่าแบงค์)
  เมื่อทรัสต์มีปัญหาจึงล้มกันเป็นลูกโซ่

ตอนนั้นลูกค้าเราเจ๊งไปกว่าครึ่งหนี้เสียมาก แต่โชคดีที่ผ่านมาได้

ครั้งที่ 2 ปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้ง ตอนนั้น พ่อบริหารเต็มตัวมาประมาณ 10 ปีแล้ว

วิธีแก้ปัญหาตอนนั้น อากง ไม่เห็นด้วย ทะเลาะกันทุกคืน แต่สุดท้าย พ่อ ก็แก้ปัญหาสำเร็จ

ครั้งที่ 3 ปี 2559 คือครั้งนี้ จึงเป็นหน้าที่ลูก ต้องแก้ปัญหาให้ผ่านไปให้ได้ เพราะถ้าลูกผ่าวิกฤต

ครั้งนี้ไปได้ ลูกก็จะมีภูมิต้านทานเหนือกว่าคนอื่น
นี่เป็นเหตุผลที่พ่อไม่กลับมาบริหารเอง

สีหน้าลูกทั้งสองคนเริ่มผ่อนคลาย

จบตอนที่ 2

ตอนที่ 3 วิธีแก้ปัญหา


เมื่อเกิดวิกฤต ต้องนิ่ง มองภาพรวมของทั้งบริษัท ซึ่งทุกชนิดการค้ามีด้านหลักๆคือ รายได้ และ รายจ่าย

การที่ลูกออกโปรโมชั่นมากมายเพื่อกระตุ้นยอดขาย มองเผินๆอาจจะถูกเพราะทุกคนทำกัน

แต่ที่จริงแล้วในภาวะอย่างนี้ เป็นวิธีที่ ผิด  เพราะกำลังซื้อในตลาดมันไม่ดี

สำหรับลูกค้าบางคนอาจจะซื้อได้ แต่เมื่อเขาซื้อเดือนนี้แล้ว แน่นอนเดือนหน้ายังขายไม่หมด

เขาก็จะหยุดซื้อ
ทำไมเดือนนี้ขายได้ เดือนหน้ายิ่งเงียบ แต่เราเสียสัดส่วนกำไรไป ซึ่งคำนวนดีๆแล้วไม่คุ้ม

เรื่องการขายให้ข้ามไปก่อน


มาถึงเรื่องรายจ่าย ซึ่งสำคัญที่สุดในภาวะเช่นนี้ ต้องคุมให้อยู่ ป้องกันให้ดีทุกจุดอย่าให้รั่วไหล

และเสียหาย ตามมาด้วยการประหยัด ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออก



การรั่วไหล เป็นสิ่งที่ต้องระวังมากที่สุด เพราะถ้าเกิดขึ้นจะเสียหายมากกว่าค่าใช้จ่ายจริงมากมาย

สิ่งที่จะเกิดการรั่วไหลมีหลักๆคือ

1  ลูกน้องขโมยของไปขาย แต่ร้านเราโชคดีที่มีลูกน้องเก่าอายุงาน 20 ปี up 10 กว่าคน ส่วนนี้จึงไม่ค่อยหนักใจ

บทสนทนาเรื่องลูกน้อง อยู่ใน spoil

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


มาถึงส่วนสำคัญที่สุดที่อยากเตือนลูกคือ

ให้ระวังลูกค้าประเภทซื้อ 10 บาท ขาย 7 บาท แต่เขาได้กำไร 4 บาท


เนื้อหาอยู่ใน spoil

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


มาถึงส่วนค่าใช้จ่าย

ค่าใช้จ่ายหลักๆของเราจะมีอยู่คือ

1 เงินเดือน โบนัส โอที  2 ค่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ packaging + เครื่องใช้สำนักงาน

3 ค่าน้ำมัน 4 ค่าไฟฟ้าและประปา 5 ค่าใช้จ่ายในบ้าน



ในข้อ 1 เงินเดือน ให้แต่ละเดือนหยุด 3 เสาร์แรก พร้อมกับลดเงินเดือนพนักงานทุกคนลง 10 %

ยกเลิก โอที และให้ลดโบนัสจากปีที่แล้วคนละ 1/2 ถึง 1 เดือน

เมื่อเรามีวันหยุดเพิ่มขึ้นแล้ว ลูกจะได้มีเวลาว่างมากขึ้น เมื่อนั้นควรไปงานแสดงสินค้าตามประเทศต่างๆ

เพื่อคอยหาสินค้าหรือนวัตรกรรมใหม่ๆ เพื่อจะนำมาใช้เมื่อตอนเศรษฐกิจดี


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ข้อ 2 และข้อ 3 4 5 แก้ปัญหาแบบเดียวกัน ให้หาค่าเฉลี่ยรายจ่ายของแต่ละหมวดแล้ว

ประชุมลูกน้องทั้งหมดบอกว่า

"นับตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป ถ้าสมมุติว่าค่า packaging ร้านเราเคยจ่ายเดือนละ 300,000

ถ้าช่วยกันประหยัดให้เราได้ต่ำกว่า 270,000 ส่วนที่เหลือให้ทุกคนไปแบ่งกัน

ความหมายคือ ถ้าเดือนต่อไป เราจ่ายแค่ 220,000 เงิน 50,000 ก็จะเป็นของลูกน้องไปแบ่งกัน"


ทุกๆส่วนของค่าใช้จ่ายใช้วิธีนี้เหมือนกันหมด


วิธีนี้เคยใช้ได้ผลช่วงวิกฤต ต้มยำกุ้ง รายจ่ายลดลงอย่างมากเกินความคาดหมาย

ลูกน้องที่โดนลดเงินเดือนก็จะมีรายได้ส่วนนี้ไปชดเชย ทำให้ไม่รู้สึกว่า ได้เงินน้อยกว่าเดิม



แต่จะใช้วิธีนี้ได้ตอนเศรษฐกิจไม่ดีเท่านั้น ช่วงเศรษฐกิจดีต้องขายให้มากที่สุด

ทำงานให้เร็วให้หนักทิ้งเรื่องจุกจิกพวกนี้ไปก่อน เพราะตอนนั้นยอดขายต้องสูง

น้ำขึ้นให้รีบตัก มุ่งความสนใจไปที่การบริการลูกค้า ยังไงเสียรายได้ชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้แน่นอน


ป.ล เนื้อหายาวมาก น่าจะแบ่งเป็น 3 ภาคใหญ่ๆ แต่ถ้าไม่มีคนสนใจก็คงไม่ได้เขียนต่อ

ป.ล 2 บริษัทเกือบไปไม่รอดตอน "ต้มยำกุ้ง" แต่ก็ฟันฝ่าไปได้ และฟื้นตัวได้เร็วกว่าบริษัทอื่น

ป.ล 3 ตอนต่อไป จะเขียน เพิ่มยอดขายยังไง โดยไม่ลงทุนเพิ่ม กับ วิธีดัดหลังเซล ไซด์ไลน์

ป.ล 4 สอนลูกทุกคนให้เดินหมากรุก และให้เดินกับมือที่แข็งกว่า เพื่อฝึกลูกเคยชินกับความพ่ายแพ้

จะได้ไม่ทะนงตัว และ ประมาท


ป.ล 5 โชคดีที่ลูกทุกคนเชื่อฟัง และชอบฟังเรื่องราวในอดีตเหมือนเรา

ป.ล 6 วิธีแก้ปัญหาตอน ต้มยำกุ้ง จขกท ใช้หลักว่า "เข้าไปที่จุดตาย จากนั้นถึงจะรอด"

ป.ล 7 เอาใจช่วยรัฐบาลให้ฟันฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้ เพราะถ้าแก้ไม่ได้ คนที่พังคือ

คนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่พวกใคร หรือ พรรคการเมืองใดๆ

ตรงกับพิชัยยุทธซุนวูที่ว่า "投之亡地 , 然后生 ."

รายละเอียดจะเล่าให้ฟังในตอนต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่