ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณนัน turtle_cheesecake, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ PuPaKae, น้องนุ้ย ณวลี, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
บทที่ 1 - บทที่ 2
http://pantip.com/topic/35694173
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/35729733
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/35740933
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/35748337
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/35759425
บทที่ 7
รัญญาทิ้งหลานไว้กับแม่แล้วตามน้องชายไปสถานีตำรวจ เมื่อขอพบน้อง คนที่นั่นกลับบอกว่ายังพบไม่ได้จนกว่าการสอบปากคำจะเสร็จสิ้น พยายามถามว่าประกาศิตถูกควบคุมตัวไว้แล้วใช่ไหม แต่ก็ไม่มีใครตอบได้ เมื่อหมดหนทางจริงๆ เธอจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหา 'เขา' ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นอีก อีกทั้งยังนึกไม่ออกในทันทีว่าจะขอความช่วยเหลือจากใครในเวลานี้และในกรณีแบบนี้ รู้แน่เพียงว่าจะต้องหาทนายให้ได้สักคนเพื่อเป็นตัวแทนน้องด้านกฎหมาย แต่ก็ไม่รู้จักทนายความที่ไหนอื่นนอกจาก บ๊อบ แบส แต่แกก็เป็นทนายที่รับว่าความเฉพาะคดีซึ่งเกี่ยวข้องกับครอบครัวเสียอีก
ตัดสัญญาณโทรศัพท์เพียงไม่นาน เขาก็มาถึงรวดเร็วราวบินมาก็ไม่ปาน
“ประกาศิตมีทนายความอยู่ด้วยหรือเปล่า” นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาถาม
เธอตอบไม่ได้เพราะจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้พบตัวน้อง เขาจึงเข้าไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ในบริเวณซึ่งมีป้ายบอกว่าเป็นแผนกประชาสัมพันธ์ บอกขอพบผู้บัญชาการตำรวจ ฝ่ายนั้นคงรู้ดีว่าเขาเป็นใคร จึงผลุบหายเข้าไปในห้องตอนใน เพียงชั่วอึดใจก็กลับออกมาพร้อมนายตำรวจร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีเทาเกือบดำ รัญญาเฝ้าดูทั้งคู่เจรจาอะไรกันบางอย่าง เธอยืนห่างออกมาค่อนข้างไกล จึงได้ยินไม่ชัดเจน ครู่ใหญ่เขากลับออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“รัญกลับไปบ้านก่อนจะดีกว่า ถ้าคอยอยู่ที่นี่ก็คงอีกเป็นชั่วโมง ไม่ต้องห่วงเรื่องประกาศิต ผมจัดการเอง”
รู้ว่าน้องจะต้องอยู่ที่นี่อีกนาน เธอใจไม่ดีขึ้นมาอีก เสียงที่ถามทอดละเหี่ย
“แบบนี้แสดงว่าตำรวจเขาจับก้าแล้วใช่ไหมคะ”
เขาวางมือลงบนบ่าทั้งสองข้างของเธอราวปลอบประโลม
“ตำรวจมีหลักฐาน”
“หลักฐาน?” รัญญาอุทาน แล้วครางกับตัวเอง “หลักฐานอะไร?”
“ผมยังไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย รัญกลับไปก่อนดีที่สุด ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ ไปดูหลาน...” เธอสบตาเขาอย่างซาบซึ้งใจ อย่างไรเขาก็ยังละเอียดอ่อนเสมอ เธอเองเสียอีก ทุกครั้งที่มีปัญหาให้ต้องคิด เธอมักลืมคนรอบข้าง
“...ไม่อย่างนั้นก็คงต้องนั่งคอยอยู่ตรงนี้อีกนาน”
รัญญารับคำแต่โดยดี พอเดาได้ว่าในเวลานี้น้องชายกำลังอยู่ในสภาพเช่นไร เขาเข้าไปดูได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ตำรวจเอาตัวประกาศิตมาที่นี่เกือบชั่วโมงแล้ว ป่านนี้น้องสารภาพอะไรไปบ้างแล้วก็ไม่รู้
“มีอะไรโทรบอกด้วยนะคะ ฉันจะไปคอยอยู่ที่ร้านแม่”
“ไม่มีอะไรต้องห่วงนะรัญ อย่าคิดมาก จะไม่สบายไปอีก”
คำพูดเหล่านั้นอ่อนหวานนัก...อ่อนหวานและปลอบโยนจนเธอคลายกังวลได้มากทีเดียว เธอเชื่อมั่นในตัวเขาเสมอมา และถ้าเวลานี้เขาไม่มีคนอื่นอยู่ข้างกาย...คนซึ่งเธอเห็นแล้วว่าดีแสนดีเพียงไร...เธอคงโผเข้าหาอ้อมอกอุ่นที่โหยหาอยู่ทุกชั่วขณะจิตนี้เสียนานแล้ว
“ค่ะ” หากในสภาพการณ์เช่นนี้ เธอทำได้เท่านี้เอง
แม่ยังไม่เปิดร้านเมื่อรัญญามาถึง แต่ก็เริ่มมีคนโทรศัพท์มาสั่งอาหารบ้างแล้ว ลูกค้าร้านอาหารของแม่ส่วนใหญ่จะโทรศัพท์มาสั่งอาหารล่วงหน้าแล้วมารับด้วยตัวเอง เพราะเหตุนั้นจึงแทบไม่ต้องอาศัยคนเสิร์ฟและดูแลกันเองได้ภายในครอบครัว ถ้าเมื่อไรที่มีลูกค้ามานั่งทานในร้านก็จะเสิร์ฟกันเองและเก็บเงินกันเอง พอไม่มีประกาศิตซึ่งทำหน้าที่รับโทรศัพท์ออเดอร์อาหารและเสิร์ฟอาหารภายในร้านเสียคน แม่จึงไม่รู้ว่าควรเปิดร้านดีหรือไม่
“เปิดเถอะแม่” รัญญาตัดสินใจอย่างนั้น “ถ้านั่งอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรทำ มีหวังฟุ้งซ่าน ยังไงตอนนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากคอย”
แม่จึงปลดล็อกประตูกระจกหน้าร้านแต่โดยดี ปากบ่นไปด้วยเมื่อเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์เก็บเงิน
“ว่าจะรับแต่ออเดอร์ที่โทรมา”
ดูเหมือนแม่ยังไม่กล้ายอมรับว่าเรื่องนี้ร้ายแรง เป็นได้ว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นติดๆ กันจนท่านเริ่มรับอะไรไม่ได้อีกแล้ว รู้ว่าเธอต้องเข้มแข็งและรอบคอบเพื่อพาครอบครัวให้ผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปให้จนได้
รัญญาพิจารณาดูสองมือเหี่ยวย่นที่ทยอยบรรจุกล่องโฟมอาหารสามกล่องลงในถุงกระดาษเพื่อเตรียมให้ลูกค้ามารับ แม่ดูแก่ลงอีกหลายสิบปี ใจหายเมื่อคิดว่าถ้าน้องชายต้องติดคุก แม่จะอยู่อย่างไร แล้วยังหลานอีก ชั่วเดือนกว่านับแต่เสียน้องสาวไป หลานไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านแม่กับดูเพล็กซ์ของเธอซึ่งอยู่อีกเมือง ถ้าเหลือแต่แม่คนเดียวคงเลี้ยงหลานไม่ไหวแน่เพราะต้องดูแลร้านด้วย อาจเปิดรับแต่ลูกค้าที่โทรศัพท์มาสั่งอาหาร แต่จะทำแบบนั้นไปได้นานแค่ไหนกัน ท้ายที่สุดแล้วท่านก็คงรับภาระร้านอาหารต่อไปเพียงคนเดียวไม่ไหว ร้านคงต้องปิด
“แล้วนี่ตำรวจเขาจะเอาตัวก้าไว้นานแค่ไหน”
“ยังไม่รู้เลยค่ะแม่ เห็นไมลส์ว่าคงอีกหลายชั่วโมงกว่าจะสอบปากคำกันเสร็จ ก้าคงไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ มีไมลส์อยู่ด้วยทั้งคน”
ไม่รู้ตัวเลยว่าประโยคหลังสะท้อนความรู้สึกในส่วนลึกออกมาเป็นคำพูดได้ตรงเพียงไร เธอวางใจที่เขาอาสาเข้ามาช่วยเรื่องน้องชาย เธอเชื่อมั่นในตัวเขา และแม่ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน
ในเวลานี้จิตใจเธอสงบลงมากแล้ว แทบไม่อยากเชื่อว่าเพียงเขาก้าวเข้ามา เพียงเห็นหน้าเขาเปิดประตูเข้ามาในสถานีตำรวจเมื่อครู่นี้ เธอก็รู้แล้วว่าภาระหนักอึ้งเรื่องน้องชายถูกแบ่งไปเกือบหมด บางทีประกาศิตอาจกลับมาพร้อมเขาก็เป็นได้
ณ สุดปลายรัก (บทที่ 7)
ขอบคุณ คุณนัน turtle_cheesecake, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ PuPaKae, น้องนุ้ย ณวลี, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
บทที่ 1 - บทที่ 2 http://pantip.com/topic/35694173
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/35729733
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/35740933
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/35748337
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/35759425
รัญญาทิ้งหลานไว้กับแม่แล้วตามน้องชายไปสถานีตำรวจ เมื่อขอพบน้อง คนที่นั่นกลับบอกว่ายังพบไม่ได้จนกว่าการสอบปากคำจะเสร็จสิ้น พยายามถามว่าประกาศิตถูกควบคุมตัวไว้แล้วใช่ไหม แต่ก็ไม่มีใครตอบได้ เมื่อหมดหนทางจริงๆ เธอจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหา 'เขา' ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นอีก อีกทั้งยังนึกไม่ออกในทันทีว่าจะขอความช่วยเหลือจากใครในเวลานี้และในกรณีแบบนี้ รู้แน่เพียงว่าจะต้องหาทนายให้ได้สักคนเพื่อเป็นตัวแทนน้องด้านกฎหมาย แต่ก็ไม่รู้จักทนายความที่ไหนอื่นนอกจาก บ๊อบ แบส แต่แกก็เป็นทนายที่รับว่าความเฉพาะคดีซึ่งเกี่ยวข้องกับครอบครัวเสียอีก
ตัดสัญญาณโทรศัพท์เพียงไม่นาน เขาก็มาถึงรวดเร็วราวบินมาก็ไม่ปาน
“ประกาศิตมีทนายความอยู่ด้วยหรือเปล่า” นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาถาม
เธอตอบไม่ได้เพราะจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้พบตัวน้อง เขาจึงเข้าไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ในบริเวณซึ่งมีป้ายบอกว่าเป็นแผนกประชาสัมพันธ์ บอกขอพบผู้บัญชาการตำรวจ ฝ่ายนั้นคงรู้ดีว่าเขาเป็นใคร จึงผลุบหายเข้าไปในห้องตอนใน เพียงชั่วอึดใจก็กลับออกมาพร้อมนายตำรวจร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีเทาเกือบดำ รัญญาเฝ้าดูทั้งคู่เจรจาอะไรกันบางอย่าง เธอยืนห่างออกมาค่อนข้างไกล จึงได้ยินไม่ชัดเจน ครู่ใหญ่เขากลับออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“รัญกลับไปบ้านก่อนจะดีกว่า ถ้าคอยอยู่ที่นี่ก็คงอีกเป็นชั่วโมง ไม่ต้องห่วงเรื่องประกาศิต ผมจัดการเอง”
รู้ว่าน้องจะต้องอยู่ที่นี่อีกนาน เธอใจไม่ดีขึ้นมาอีก เสียงที่ถามทอดละเหี่ย
“แบบนี้แสดงว่าตำรวจเขาจับก้าแล้วใช่ไหมคะ”
เขาวางมือลงบนบ่าทั้งสองข้างของเธอราวปลอบประโลม
“ตำรวจมีหลักฐาน”
“หลักฐาน?” รัญญาอุทาน แล้วครางกับตัวเอง “หลักฐานอะไร?”
“ผมยังไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย รัญกลับไปก่อนดีที่สุด ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ ไปดูหลาน...” เธอสบตาเขาอย่างซาบซึ้งใจ อย่างไรเขาก็ยังละเอียดอ่อนเสมอ เธอเองเสียอีก ทุกครั้งที่มีปัญหาให้ต้องคิด เธอมักลืมคนรอบข้าง
“...ไม่อย่างนั้นก็คงต้องนั่งคอยอยู่ตรงนี้อีกนาน”
รัญญารับคำแต่โดยดี พอเดาได้ว่าในเวลานี้น้องชายกำลังอยู่ในสภาพเช่นไร เขาเข้าไปดูได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ตำรวจเอาตัวประกาศิตมาที่นี่เกือบชั่วโมงแล้ว ป่านนี้น้องสารภาพอะไรไปบ้างแล้วก็ไม่รู้
“มีอะไรโทรบอกด้วยนะคะ ฉันจะไปคอยอยู่ที่ร้านแม่”
“ไม่มีอะไรต้องห่วงนะรัญ อย่าคิดมาก จะไม่สบายไปอีก”
คำพูดเหล่านั้นอ่อนหวานนัก...อ่อนหวานและปลอบโยนจนเธอคลายกังวลได้มากทีเดียว เธอเชื่อมั่นในตัวเขาเสมอมา และถ้าเวลานี้เขาไม่มีคนอื่นอยู่ข้างกาย...คนซึ่งเธอเห็นแล้วว่าดีแสนดีเพียงไร...เธอคงโผเข้าหาอ้อมอกอุ่นที่โหยหาอยู่ทุกชั่วขณะจิตนี้เสียนานแล้ว
“ค่ะ” หากในสภาพการณ์เช่นนี้ เธอทำได้เท่านี้เอง
แม่ยังไม่เปิดร้านเมื่อรัญญามาถึง แต่ก็เริ่มมีคนโทรศัพท์มาสั่งอาหารบ้างแล้ว ลูกค้าร้านอาหารของแม่ส่วนใหญ่จะโทรศัพท์มาสั่งอาหารล่วงหน้าแล้วมารับด้วยตัวเอง เพราะเหตุนั้นจึงแทบไม่ต้องอาศัยคนเสิร์ฟและดูแลกันเองได้ภายในครอบครัว ถ้าเมื่อไรที่มีลูกค้ามานั่งทานในร้านก็จะเสิร์ฟกันเองและเก็บเงินกันเอง พอไม่มีประกาศิตซึ่งทำหน้าที่รับโทรศัพท์ออเดอร์อาหารและเสิร์ฟอาหารภายในร้านเสียคน แม่จึงไม่รู้ว่าควรเปิดร้านดีหรือไม่
“เปิดเถอะแม่” รัญญาตัดสินใจอย่างนั้น “ถ้านั่งอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรทำ มีหวังฟุ้งซ่าน ยังไงตอนนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากคอย”
แม่จึงปลดล็อกประตูกระจกหน้าร้านแต่โดยดี ปากบ่นไปด้วยเมื่อเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์เก็บเงิน
“ว่าจะรับแต่ออเดอร์ที่โทรมา”
ดูเหมือนแม่ยังไม่กล้ายอมรับว่าเรื่องนี้ร้ายแรง เป็นได้ว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นติดๆ กันจนท่านเริ่มรับอะไรไม่ได้อีกแล้ว รู้ว่าเธอต้องเข้มแข็งและรอบคอบเพื่อพาครอบครัวให้ผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปให้จนได้
รัญญาพิจารณาดูสองมือเหี่ยวย่นที่ทยอยบรรจุกล่องโฟมอาหารสามกล่องลงในถุงกระดาษเพื่อเตรียมให้ลูกค้ามารับ แม่ดูแก่ลงอีกหลายสิบปี ใจหายเมื่อคิดว่าถ้าน้องชายต้องติดคุก แม่จะอยู่อย่างไร แล้วยังหลานอีก ชั่วเดือนกว่านับแต่เสียน้องสาวไป หลานไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านแม่กับดูเพล็กซ์ของเธอซึ่งอยู่อีกเมือง ถ้าเหลือแต่แม่คนเดียวคงเลี้ยงหลานไม่ไหวแน่เพราะต้องดูแลร้านด้วย อาจเปิดรับแต่ลูกค้าที่โทรศัพท์มาสั่งอาหาร แต่จะทำแบบนั้นไปได้นานแค่ไหนกัน ท้ายที่สุดแล้วท่านก็คงรับภาระร้านอาหารต่อไปเพียงคนเดียวไม่ไหว ร้านคงต้องปิด
“แล้วนี่ตำรวจเขาจะเอาตัวก้าไว้นานแค่ไหน”
“ยังไม่รู้เลยค่ะแม่ เห็นไมลส์ว่าคงอีกหลายชั่วโมงกว่าจะสอบปากคำกันเสร็จ ก้าคงไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ มีไมลส์อยู่ด้วยทั้งคน”
ไม่รู้ตัวเลยว่าประโยคหลังสะท้อนความรู้สึกในส่วนลึกออกมาเป็นคำพูดได้ตรงเพียงไร เธอวางใจที่เขาอาสาเข้ามาช่วยเรื่องน้องชาย เธอเชื่อมั่นในตัวเขา และแม่ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน
ในเวลานี้จิตใจเธอสงบลงมากแล้ว แทบไม่อยากเชื่อว่าเพียงเขาก้าวเข้ามา เพียงเห็นหน้าเขาเปิดประตูเข้ามาในสถานีตำรวจเมื่อครู่นี้ เธอก็รู้แล้วว่าภาระหนักอึ้งเรื่องน้องชายถูกแบ่งไปเกือบหมด บางทีประกาศิตอาจกลับมาพร้อมเขาก็เป็นได้